บทสนทนาระหว่างสามีภรรยาจบลงเพียงเท่านั้น ต่างคนก็ต่างกินไม่ได้สนใจกันและกันเหมือนดังเช่นเคยทำต่อกันอย่างที่ผ่านมา อันหนิงค่อย ๆ ละเลียดชิมไปทีละอย่างไม่เร่งรีบ ผิดกับอีกฝ่ายราวกับไปกินรังแตนที่ไหนมากันนะ ถึงได้ฉุนเฉียวอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า
“นายท่านเหล่ยข้าขอกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมได้หรือไม่” จวนตระกูลหลี่อยู่ไม่ไกลกันนัก ตระกูลหวังตั้งอยู่ในย่านการค้า ส่วนตระกูลหลี่อยู่ท้ายตลาดไปอีกสองตรอก เดิมทีไม่ต้องขออนุญาตสามีก็ได้ทว่าหากคิดจะทำตัวเสียใหม่ ควรเริ่มจากการไปไหนมาไหนบอกกล่าวเจ้าของจวนไว้ เจ้าทำดีมากอันหนิง นี่สิถึงจะสมกับที่เจ้าคิดจะกลับตัว
“ไม่ได้ เอาไว้ข้าว่างเมื่อใดข้าจะเป็นคนพาไปเอง” ชายหนุ่มตอบปฏิเสธแทบจะทันที แม้เช้านี้อันหนิงจะดูแปลกไปมากก็ตาม แต่การที่นางไม่เหมือนทุกวันมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวจะต้องวางแผนอะไรไว้สักอย่างเป็นแน่ ไม่อาจจะไว้วางใจได้ในทันที โดยเฉพาะการแอบนัดพบกับโจวเชินชู้รักของนาง ให้อยู่ในสายตาจะดีกว่าปล่อยให้ออกไปไหนมาไหนคนเดียว
“บ้านเดิมข้าอยู่แค่นี้เอง ข้าขอไปไม่นาน หนึ่งชั่วยาม ข้าให้สัญญาข้าจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ” ร่างบางวางตะเกียบลงทันที หวังเหล่ยไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แค่ขอกลับบ้านก็มิได้หรือไร
“ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาตอย่าให้ข้าต้องพูดมากความ ทำไมคิดถึงมันมากนักหรือถึงกับต้องหาวิธีออกไปให้ได้น่ะ” ชายหนุ่มกำตะเกียบแน่นวางถ้วยข้าวลงทันที คิดว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วแต่อีกฝ่ายก็เอาแต่คอยจ้องจะหาทางไปเสียให้ได้
“ไม่รู้หรอกว่าท่านพูดถึงใคร ข้าเพียงแค่อยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่บ้าง ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านกล่าวหาเลยสักนิด” อันหนิงเริ่มทำหน้ามุ่ย ให้รอจนกว่าเขาจะว่างหรือ แล้วเมื่อไรจะว่างเล่า เห็นเอาแต่ทำงานไม่เคยว่างเลยสักวัน
“ฮึ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับโจวเชินนัดพบกันกี่ครั้ง หรือพวกเจ้าไปที่ไหนบ้างข้าก็รู้หมด ถ้ารักกันมากเหตุใดไม่อยู่กับมันให้จบ ๆ มาทำเช่นนี้กับข้าทำไม” สุดจะทนกับพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างของอันหนิง ชายหนุ่มตบโต๊ะเต็มแรงพานทำให้ถ้วยจานอาหารกระจัดกระจายคว่ำเต็มโต๊ะ ที่ผ่านมาไม่พูดเพราะอันเล่อขอไว้ ทว่าครั้งนี้ถึงขั้นออกตัวขอด้วยตนเองมันเกินไปหรือไม่
“ถ้าย้อนเวลาไปตอนนั้นได้ข้าจะไม่ทำ ไม่ให้ไปก็ไม่ไปสิ ไม่เห็นต้องโมโหน่ากลัวเช่นนี้เลย” เมื่อครู่นางคิดว่าหวังเหล่ยจะลุกขึ้นมาตะบันหน้าตนเองเสียแล้ว ยังดีที่เขาเอาอารมณ์ไปลงกับโต๊ะ ไม่เช่นนั้นได้แหลกคามือแน่ กระนั้นนางก็อยากจะบอกให้เข้าใจเสียใหม่ เรื่องความสัมพันธ์กับเจ้าสารเลวนั่นน่ะ ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน “แล้วอีกอย่างข้าไม่เคยรักโจวเชิน เขาก็แค่คนที่ข้าเคยชอบแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว ถ้าเจอหน้าข้าก็จะฆ่ามันให้ตาย”
ร่างบางสะบัดหน้าหนีพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหารที่พังไม่เป็นท่า ก้าวฉับ ๆ กลับเรือนนอนไปทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม คอยดูเถิดไม่ให้กลับนางก็จะแอบกลับเอง ให้อยู่แต่ในจวนแล้วเมื่อไรจะได้ปรับความเข้าใจกับครอบครัวเล่า
หวังเหล่ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อครู่เขาหูฝาดไปหรือไม่ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะหลายต่อหลายครั้งเพื่อตั้งสติ เป็นไปไม่ได้ อันหนิงต้องหลอกล่อให้ตายใจเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรเสียนางก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกนางมองเป็นคนโง่พร้อมสวมเขาให้ตลอดเวลา
“เธอ! แพมหรือ” หนิงเซียนคิดว่าตนเองตาฝาด เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้า มีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกับคนที่ตนสวมร่างราวกับเป็นคนเดียวกัน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับก็รู้แล้วว่าตนเองเดาไม่ผิด“ใช่ แล้วเธอล่ะเป็นใคร” แพมถามกลับอีกฝ่ายบ้าง มั่นใจว่าคนตรงหน้ามิใช่คนในโลกมิตินี้อย่างแน่นอน“ฉันชื่อหนิงเซียน ไม่รู้เธอจะเชื่อหรือไม่ ฉันคือตัวละครจากนิยายเรื่องที่เธอเขียนทิ้งไว้ก่อนตายน่ะ”“หนิงเซียนหรือ อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองใส่บทบาทอะไรให้หนิงเซียนบาง ทำให้นางรู้สึกผิดเสียไม่ได้ ก็ตนเล่นเขียนบทปู้ยี่ปู้ยำให้ชีวิตหนิงเซียนซะไม่เหลือชิ้นดี “ฉันขอโทษนะ ที่เขียนบทให้เธอแบบนั้น พอดีว่าฉันอกหักน่ะ เพื่อนก็ดันมาหักหลังอีกความแค้นมันจุกอก”“ไม่เป็นไรหรอกฉันไม่โกรธ ฉันเองก็มีเรื่องขอโทษเหมือนกัน ฉันแก้นิยายของเธอไม่เหลือเคล้าโคลงเดิมเลย แล้วก็เอาเงินเก็บเธอมาซื้อบ้านหมดแล้ว” หนิงเซียนเองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกัน พอได้มาอยู่ร่างนี้เธอจึงทำอะไรหลาย ๆ อย่างตามใจตนเอง โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งเจ้าของร่างจะกลับมาทวงคืน“ไม่เป็นไรดีแล้วที่ทำแบบนั้น เธออยู่ที่นี่สบายดีใช่ไหม มีความสุขหรือเปล่า” นี่คือสิ่งที่เ
‘นางหนู’ “นั่นใครเรียกข้าน่ะ” เสียงเรียกอันน่าขนลุกทำเอาเสี่ยวถิงสะดุ้งตื่น ทว่าภาพตรงหน้ามันกลับมิใช่เรือนของตนเอง แต่กลับเป็นสถานที่ไม่รู้จัก รอบ ๆ ไม่มีสิ่งใดมีเพียงแสงที่สาดส่องขาวโพลนไปหมด“ข้าเอง”“ข้าไม่อยากเจอท่านเลยเจ้าค่ะท่านเทพ เรียกข้ามามีธุระอะไรหรือเจ้าคะ” ร่างบางยืนกอดอกทำหน้าเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา เมื่อรู้ว่าคนที่เรียกตนเองมาเป็นผู้ใด“ที่เรียกเจ้ามา ข้าแค่อยากให้เจ้าช่วยอะไรข้าสักหน่อยน่ะ” เทพดวงชะตาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน รู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายยังคงไม่พอใจกับเรื่องที่ตนก่อไว้เมื่อคราวก่อน“ไม่เจ้าค่ะ” ไม่ต้องใช้เวลาคิดให้มาก นางตอบได้ทันทีเสียงดังฟังชัดเชียวล่ะ“นะนางหนูช่วยข้าหน่อยเถอะ เช่นนี้ดีหรือไม่ถ้าเจ้ายอมช่วย ข้าจะทำตามคำขอเจ้าหนึ่งข้อ”เสี่ยวถิงถึงกับหูผึ่ง ข้อแลกเปลี่ยนมันก็น่าสนใจไม่น้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจ คิดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสสักครั้งก็อยากจะเห็นด้วยตาตนเองถึงจะวางใจ“แน่นะเจ้าคะ” หญิงสาวหรี่ตามองเทพดวงชะตาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าคราวนี้มีเรื่องอะไรถึงได้มาขอร้องให้นางช่วย“แน่สิ ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้าหนึ่งอย่าง ข้า
จวนแม่ทัพแดนเหนือบัดนี้มิได้เงียบเหงาดั่งเช่นเก่าก่อน ในทุกวันจะมีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ หยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังมีบ่าวไพร่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเจ้าของจวนอย่างไท่ฟงนอกจากจะดำรงตำแหน่งแม่ทัพแดนเหนือแล้ว เขายังมีอีกหนึ่งตำแหน่งที่แสนจะเต็มใจนั่นก็คือบิดาผู้ใจดี คอยตามใจบุตรชายและบุตรสาว เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการให้ท้ายอยู่เสมอ กลายเป็นว่ามารดาอย่างเสี่ยวถิงต้องรับบทเป็นนางมารร้ายอยู่เสมอแต่ถึงเสี่ยวถิงจะรับบทเป็นมารดาผู้ใจร้ายอย่างไร เด็ก ๆ ก็ยังคงรักมารดาของพวกเขามากอยู่ดี โดยเฉพาะในยามที่นางไม่สบาย มีหรือพวกเขาจะกล้าปล่อยให้มารดาอยู่ตามลำพัง“ท่านแม่หลับอยู่พวกเจ้าห้ามเสียงดังกันนะ” ไท่เสี่ยวหลิงพี่สาวคนโตวัยหกหนาวกล่าวเตือนบรรดาน้อง ๆ มิให้เล่นกันเสียงดัง เพราะยามนี้มารดากำลังพักผ่อน เกรงว่าจะรบกวนท่านแม่“พี่ใหญ่พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ” ไท่ปู่อี้ขัดขั้นทันควัน พวกเขาทำเพียงแค่ยืนมองเฉย ๆ เท่านั้น ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ“พี่รองท่านลดเสียงลงหน่อยขอรับ เห็นหรือไม่ท่านแม่ขยับแล้ว” ไท่ฉีหมิงต่อว่าพี่ชาย พร้อมกับยกนิ้วชี้แตะไว้ตรงปากตนเอง เพื่อเตือนให้พี่ชาย
สงครามระหว่างสองแคว้นที่ยืดเยื้อกันมานานในที่สุดก็ถึงจุดสิ้นสุด ทั้งที่มีความได้เปรียบในหลายด้าน แต่แคว้นฉู่กลับพ่ายแพ้สงครามอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากแพ้อย่างราบคาบได้สวามิภักดิ์ยอมอยู่ใต้อาณัติแคว้นฉินอย่างไม่มีข้อแม้ ทำให้แคว้นอื่น ๆ ต่างก็มองแคว้นฉินเปลี่ยนไป ไม่อาจดูแคลนทั้งด้านฝีมือการรบและการบริหารบัญชาการ รวมไปถึงความเชื่อใจเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันจากการแพ้สงครามในครั้งนี้ แคว้นฉู่จะต้องส่งเครื่องบรรณาการ พร้อมกับภาษีที่ต้องจ่ายให้แคว้นฉินเป็นจำนวนมหาศาลในทุกปีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ องค์ฮ่องเต้ได้สั่งละเว้นการเก็บภาษีเป็นเวลาสองปี รวมไปถึงการมอบเงินเยียวยาแก่ครอบครัวทหารผู้เสียสละชีพเพื่อบ้านเมืองในสนามรบ นอกจากนี้ยังได้มีการปูนบำเหน็จให้กับผู้ที่นำชัยชนะอีกด้วยหลิวเสี่ยวถิงฮูหยินแม่ทัพแดนเหนือ ได้สละทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อสนับสนุนกองทัพ อีกทั้งยังมีความดีความชอบอันใหญ่หลวง โดยใช้ตนเองเข้ารับอันตรายเพื่อปกป้องชินอ๋องอย่างไม่กลัวตาย องค์ฮ่องเต้พอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงร่างราชโองการประกาศสถาปนาให้เป็นวีรสตรีคนสำคัญ พร้อมกับได้มอบป้ายทองอภัยโทษให้แก่ครอบครัวตระกูลไท่ เพ
เสี่ยวถิงหลับไปถึงสี่ชั่วยาม เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองได้นอนอยู่ในกระโจมแสนคุ้นตา ความอ่อนเพลียที่ถูกสะสมมาหลายวันทำให้ร่างกายแบกรับไม่ไหว การได้หลับยาวเรี่ยวแรงที่หายไปจึงคืนมา แต่ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่บ้างเล็กน้อย“ตื่นแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้าง ดื่มน้ำแกงสักหน่อยเถิด” ไท่ฟงกลับมาพร้อมกับถ้วยโจ๊กและยาบำรุง เมื่อครู่เขาคิดว่าเมื่อเสี่ยวถิงตื่นขึ้นมานางอาจจะหิว คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ออกไปหาของกินมาเผื่อไว้ก่อน“รู้สึกเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” นางจำได้ว่าตนเองสลบไป จึงไม่รู้เหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดแผลตรงหัวไหล่ นางไม่ได้ตั้งใจจะวิ่งไปรับลูกดอกแทน ร่างกายมันขยับไปเอง ทั้งที่ใจจริงเพียงแค่ต้องการผลักพวกเขาออกเท่านั้น“ทุกคนปลอดภัยดี เด็กโง่ ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีกนะ” กายหนาวางถาดอาหารในมือ นั่งลงข้างกายภรรยา ก่อนจะดึงนางเข้ามากอด “จำเอาไว้ชีวิตเจ้าสำคัญที่สุด ถ้าครั้งนี้เจ้ากับลูกเป็นอะไรไป พี่จะอยู่อย่างไร”“ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ ลูกหรือ ข้าท้องหรือเจ้าคะ” ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตนเองทันที ดีใจและเสียใจในคราวเดียว นางช่างโง่เขลานัก
“น้องหญิง”“เสี่ยวถิง”คนทั้งคู่ร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเสี่ยวถิงจะกล้าเอาตัวเองเข้ามาบังพวกเขาเพื่อรับลูกดอกอาบยาพิษแทน กว่าจะตั้งสติกันได้ เสี่ยวถิงก็ทรุดฮวบลงสลบไปเสียแล้ว ยังดีที่ไท่ฟงพุ่งตัวเข้าไปรับได้ทัน ไม่เช่นนั้นร่างของเสี่ยวถิงคงกระแทกกับพื้นอย่างจังทหารแคว้นฉู่ทั้งหมดถูกป๋อเหวินและกองกำลังกวาดต้อนจับกุมได้อย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดเห็นทีจะเป็นคนในอ้อมแขน แม่ทัพหนุ่มเร่งควบม้ากลับค่ายอย่างรวดเร็ว กรอบหน้างามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สีหน้าดูไม่ดีเอาเสียเลย พานทำให้ไท่ฟงใจคอไม่ดีกลัวว่าหากส่งถึงมือหมอช้าเกินไป เขาจะต้องสูญเสียภรรยาไปตลอดกาลค่ายทหาร“ภรรยาข้าเป็นเช่นไรบ้างท่านหมอ” แม้จะถึงมือหมอแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ ชายหนุ่มคอยเฝ้าภรรยาอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ร้อนใจที่ท่านหมอไม่มีคำตอบให้ตนเสียที“นั่นสิท่านหมอ เหตุใดไม่ฟื้นเสียที นางหลับไปนานมากแล้วนะ” ชินอ๋องเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน หลังจากได้รับรายงานเรื่องพิษที่ปลายลูกดอก พระองค์ได้ตรงดิ่งมากระโจมที่พักทันที โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองแม้แต่น้อย“กระหม่อมไม่แน่ใจ ขอตรวจอย่างละเอียดดูอ