LOGINจางจิ้งยิ้มมุมปาก ก่อนตั้งท่าแล้ววาดลวดลายเพลงดาบ ที่แข็งแรงหนักหน่วงรุนแรง แต่กลับมีความพลิ้วไหวและรวดเร็ว แบบนี้อย่างไงเล่าคู่ต่อสู้ถึงตกเป็นลอง ยิ่งหากเวลาลงมือคู่ต่อสู้ขาดสติ คิดแต่ใช้แรงบุกโจมตี ยิ่งเป็นการเปิดช่องว่างทำให้จางจิ้งใช้ความว่องไวที่พลิ้วไหว โจมตีได้อย่างง่ายดาย ฟางเฟยปรบมือให้กับเกาจางจิ้ง ทันทีที่เขาฝึกเสร็จ
“พี่จางจิ้งสุดยอดไปเลย ยิ่งได้เห็นชัด ๆ แบบนี้ ฉันยิ่งรู้ว่าพี่จางจิ้งของฉันเก่งมาก”
“ชมพี่เกินไปแล้ว ไม่มีใครเก่งที่สุดหรอก เราพัฒนาคู่ต่อสู้ก็พัฒนา บางครั้งในสักวันหนึ่งเราอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพลาดท่าก็ได้”
“ก็จริงค่ะ เพราะแบบนี้ถึงต้องฝึกบ่อย ๆ ใช่ไหม”
“สิ่งที่พี่เป็นอยู่ ผิดแผกจากท่านปู่มาก เพราะการต่อสู้ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่อาวุธแบบนี้ แต่มีอย่างอื่นด้วย”
“เหมือนที่พี่สามารถใช้ดาบปัดกระสุนปืนได้ใช่ไหม” จางจิ้งมองหน้าหญิงสาว
“เธอมองเห็นเหรอ”
“ใช่ค่ะฉันเห็นพี่ใช้ดาบปัดลูกกระสุน ก่อนที่มันจะแฉลบแล่นมาทางฉัน”
“พี่ขอโทษ ในเวลานั้นมันไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และพี่ไม่รู้ว่าเธอยืนตรงนั้น”จางจิ้งมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ แค่พี่ป้องกันตัวเองได้ ก็วิเศษมากแล้ว และฉันก็ไม่เป็นอะไรเห็นไหม”
จางจิ้งยิ้มให้หญิงสาว ถ้าเธอเป็นอะไรไปเขาคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด
“พี่ฝึกมากกว่าแค่การใช้ดาบ พี่มีดวงตาที่พิเศษที่มองเห็นในความมืดได้ มีหูที่ได้ยินในความเงียบที่สงัดที่สุดได้ นอกจากอาวุธที่ต้องชำนาญในการใช้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญ”
“พี่จางจิ้งทำได้อย่างไง มันคือความสามารถพิเศษเหรอค่ะ”
“ไม่ใช่ ทั้งหมดนี้มันคือการฝึกฝน”
ฝางเฝยมองหน้าจางจิ้งที่เหม่อมองไปในอากาศ เมื่อพูดถึงการฝึกฝนที่ผ่านมา เกาจางจิ้งนายน้อยแห่งสกุลเกา กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมาบ้างนะ เทียบกับเธอแล้วช่างต่างกันจริง ๆ ฟางเฟยจับมือพี่ชายเอาไว้
“พี่จางจิ้งพอแล้ว เราไม่พูดถึงอดีตดีกว่า ต่อไปนี้เราสองคนจะมีแค่วันนี้กับพรุ่งนี้ ดีไหม”
จางจิ้งยิ้มให้เธอแล้วพยักหน้า
“พี่จางจิ้งหิวไหม ไปกันค่ะ ฉันจะทำของอะไรอร่อย ๆ ให้กินดีกว่า ถือว่าตอบแทนที่พี่จางจิ้งซื้อของให้ฉัน แล้วยังจะไปเซียงไฮ้กับฉันอีก พี่แน่ใจนะว่าไม่ติดอะไร จากเดิมตั้งใจไปแค่ 3 วัน ตอนนี้ต้องไปเป็นอาทิตย์เลย”
“ไม่มีปัญหา การดูแลเธอเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของพี่”
ฟางเฟยให้ซินเอาของไปเก็บ แล้วให้รีบตามไปที่ครัว
“พี่จางจิ้งรอฉันตรงนี้ รอกินของอร่อยฝีมือฉันนะ”
ฟางเฟยพาจางจิ้งมานั่งรอที่สวนข้างบ้านของเธอ ซึ่งเป็นพื้นที่ขั้นกลางระหว่างบ้านของเธอและบ้านของเขาที่อาศัยอยู่กับคุณปูเกาซูว่าน สวนขนาดใหญ่ที่มีสระบัวและศาลากลางน้ำ ตามแบบบ้านโบราณ เพียงครู่เดียวฟางเฟยก็เดินมา โดยมีซินถือถาดอาหารเดินตามหลังมา
“ทำไมเร็วจัง จะกินได้รึเปล่า หวังว่าพี่คงไม่ใช่หนูทดลองนะ”
“พี่จางจิ้งอย่าสบประมาทกันสิค่ะ เมื่อเช้าคุณปู่ยังชมเลยว่า ฉันทำอาหารอร่อย”
“ไหนดูสิเธอทำอะไร”
“ฉันทำบะจ่างพอดีรู้สึกอยากกิน แต่ไม่ได้ใช้ใบไม้ห่อนะ ฉันทำใส่ถ้วยเลย อาจขาดอรรถรสแต่รสชาติอร่อยมาก ส่วนนี้สับปะรดลอยแก้วแบบไทย”
จางจิ้งกินของที่ฟางเฟยทำให้อย่างเอร็ดอร่อย จนทุกอย่างหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว
“อร่อยมาก แบบนี้แม่ครัวตกงานแน่”
ฟางเฟยหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เห็นทุกคนชอบอาหารฝีมือเธอ หญิงสาวก็ดีใจ
ฟางเฟยและทุกคนหันไปมองต้นเสียงที่มาถึง เทพธิดารูปโฉมงดงามนางหนึ่งพร้อมเทพธิดารับใช้ ใบหน้ายิ้มสดใสทอดสายตาไปที่ซือเว่ยต้าตี้ “นาน ๆ ทีท่านจะกลับมาแดนสวรรค์ ไม่คิดกลับตำหนักซื่อเว่ย ไปเข้าเฝ้าองค์ฮั่นยูหวี่ ก็จะกลับแดนห้วงเวหา ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ”“ข้ากำลังพานางไปเข้าเฝ้า แล้วจะกลับห้วงเวหา ไม่คิดจะพักที่นี่ ข้าทิ้งงานมาหลายวัน ข้าไม่อย่าต้องโทษมีความผิดใด ๆ ทั้งสิ้น”“ช่างใจร้ายนัก ท่านไม่คิดถึงข้าบางเลยรึ แดนห้วงเวหาท่านก็ปิดผนึกเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าออกมิได้ ข้าไปหาหลายหน ทหารยามก็ปฏิเสธทุกครั้ง จะฝ่าผนึกพลังเวทย์ก็ทำมิได้ ท่านจะหลบหน้าข้าแบบนี้ตลอดไปเช่นนั้นรึ”เทพเจ้าหนุ่มทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด "ท่านเทพไท่ไป๋จิงซิง รบกวนจัดยาให้นางแล้วให้คนไปส่งให้ข้าด้วย” ซื่อเว่ยต้าตี้หยิบชิ้นเห็ดหลินจือ ส่งให้เทพผู้เฒ่าหนึ่งชิ้น เป็นสินน้ำใจ แล้วเขาก็รีบเดินมาประคองฟางเฟย เพื่อเดินออกจากห้องปรุงยา แต่ก็ถูกเทพธิดาบริวารของนางผู้มาเยือนขวางไว้“บังอาจ” ซื่อเว้ยต้าตี้ตวาดใส่พวกนาง “พวกเจ้าเป็นแค่สาวใช้ อย่ากำเริบกับข้า”พวกนางได้แต่ก้มศีรษะตัวสั้นด้วยความหวาดกลัว“ซื่อเว่ยต้าตี้ ท่
หมอลี่จู ส่งจูบให้จางจิ้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป จางจิ้งได้แต่ขำกับท่าทีของลี่จู เธอเป็นผู้หญิงน่ารักและใจดี เสียก็แต่เขาไม่ได้ชอบเธอ จางจิ้งเดินกลับไปยืนข้างเตียงของฟางเฟย แค่คืนกับวัน ตอนนี้สีหน้าของฟางเฟยดูดีขึ้นจริง ๆ หวังว่าเธอในอีกช่วงเวลาคงปลอดภัย จางจิ้งกุมมือของหญิงสาวเอาไว้ ส่งพลังไปถึงฟางเฟย รีบกลับมานะพี่รออยู่เสียงหัวเราะเฮฮาดังออกมาจากห้องพักฟื้นบนแดนสวรรค์ เกาฟางเฟยเล่าเรื่องมากมายบนโลกมนุษย์ ณ เวลาปัจจุบันให้กับ ซื่อเว่ยต้าตี้ กุ้ยอ้ายป๋อเฉิง และมู่ตัน ฟัง ชายหนุ่มทั้งสองเล่นหมากไปดื่มน้ำชาไป และกินขนมปังกรอบที่เธอเอาติดตัวมา ฟังเรื่องต่าง ๆ ที่เธอเล่า ประหนึ่งฟังนิทานหลอกเด็ก เจ้าเด็กน้อยก็พลอยหัวเราะชอบใจไปด้วย“นี่อะไรกัน พวกเจ้าเป็นถึงเทพระดับสูง มานั่งจับกลุ่มส่งเสียงดังอะไรกัน พวกเจ้านะ พวกเจ้า เห็นสถานพยาบาลของข้าเป็นบ้านของพวกเจ้ากันรึไง”เทพไท่ไป๋จิงซิง ยืนเท้าเอวบ่นพวกเขา ซื่อเว่ยต้าตี้ถึงกับหัวเราะกับท่าทางของท่านเทพอาวุธโส“เกาฟางเฟย ซื่อเว่ยต้าตี้ ข้ากับมู่ตันกลับก่อนดีกว่า ตาเฒ่าอารมณ์เสียแล้ว ข้าเพิ่งก่อเรื่องจากตำหนักสวรรค์มาหมาด ๆ จะมาโดนเรื่องนี้อีก ค
ซื่อเว่ยต้าตี้ทำตามที่เขาบอก แล้วมองใบหน้าของฟางเฟย นับเลขในใจ เป็นอย่างที่กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงพูด เกาฟางเฟยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าแรกที่หญิงสาวเห็นคือซื่อเว้ยต้าตี้ ที่ยิ้มกว้างเทพเจ้าหนุ่มเข้ามากอดเธอเอาไว้ด้วยความดีใจ“โอะ…โอ๊ย ๆ…ซื่อเว่ยต้าตี้ ข้าเจ็บ ข้าจะตายเพราะท่านนี่แหละ เบา ๆ หน่อย”“ขอโทษ ข้าดีใจ เจ้าเจ็บหนักมาก รู้ไหมข้ากังวลมากแค่ไหน เมื่อเช้าท่านพ่อส่งเห็ดหลินจือมาให้ ข้าให้เจ้ากินไปหลายครั้งก็ยังนิ่งอยู่ รู้ไหมข้าเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ”หญิงสาวจับมือของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้“ข้ารู้ ท่านจะไม่ทิ้งข้า ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ข้าดีใจที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นหน้าท่าน กระเป๋าข้าอยู่ไหน”"อยู่นี่เจ้าต้องการอะไรบอกข้า"“ลูกอม อ้อ…น้ำตาลก้อน”“ได้ ๆ ข้าแกะให้ นี่ข้าป้อน” แค่พอเข้าปาก ฝางเฟยก็รีบคายออกทันที“เอาสีอื่น ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ นี่มันรสกาแฟ ข้าปากคอขมไปหมด ท่านยังจะให้กินรสกาแฟอีก เอาสีแดง”“ได้ ๆ ก็ข้าไม่รู้ เจ้าขนเอามาซะเยอะเลย รสชาติไหนเป็นรสอะไรข้าจะรู้ได้อย่างไร”กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงและมู่ตันก้มดูชายหญิงตรงหน้า ด้วยความสนใจ ในกระเป๋าของฟางเฟยนอกจากคันฉ่องทองแดงกับมีดสั้น ก็มีขนมน่าตาแปล
องค์ไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวง หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอด มู่ตันคือเทพธิดาที่เขาหลงรักและพอใจ ถึงขั้นจะแต่งนางขึ้นเป็นชายา โดยไม่สนคำทักท้วงถึงความเหมาะสมคู่ควรใด ๆ แต่ในเมื่อเวลานี้ กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงได้มาแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ มีหรือที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเขา จะดื้อดึงเอาของที่มีเจ้าของมาเป็นของตน ต่อให้ต้องการมากแค่ไหนก็ตาม“ในเมื่อเจ้าพูดถึงเพียงนี้ ข้าดูไม่มีความหมายในชีวิตเจ้าเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความดีที่เจ้าแสดงต่อข้า ทุกอย่างข้าคงคิดไปเอง”ไฉเหลี่ยงหวง คุกเข่าลงต่อหน้าองค์ฮั่นยุหวี่ ผู้เป็นบิดา“ท่านพ่อ ลูกโง่เขลา ดวงตามืดบอดในรัก ขอท่านได้โปรดยกเลิกการเสกสมรสของข้า ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”องค์ฮั่นยุหวี่เงยหน้ามองเพดาห้องโถง รู้สึกสงสารบุตรชาย แต่ในเมื่อความจริงประจักษ์ชัดถึงเพียงนี้ คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามหนทางของมัน“ได้ ประกาศออกไป ข้าขอยกเลิกงานสมรส องค์ไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวงกับเทพธิดามู่ตันแดนบุปผา การหมั้นหมายระหว่างทั้งสองถือว่าขาดต่อกัน จะไม่มีการเสกสมรสระหว่างคนทั้งสองเกิดขึ้นอีกต่อไป”“ขอบพระทัยพระเจ้าข้า” บุคคลทั้งสามกล่าวขึ้นพร้อมกันกุ้ยอ้ายป๋อเฉิงอุ้มบุตรชายเดินจูงม
“อย่ามากพิธี กลับมาแล้วรึ นางหนูตระกูลเกาผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว งานแรกก็เจอเจ้าเล่นงานซะปางตาย ถนอมนางหน่อย หน้าที่ของนางยังไม่จบ"“ขออภัย ในเวลานั้นข้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จึงพลั้งมือทำร้ายนาง และข้าไม่รู้ว่านางเป็นเพียงมนุษย์ ปิ่นเมฆาสวรรค์ของท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ดูจะปิดบังทุกสิ่งได้มิดชิด จนข้ายังคิดว่านางเป็นเทพบนชั้นฟ้า ด้วยพลังแบบนั้นนางน่าจะรับมือได้ ไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้"“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว นางเองตอนนี้ก็ปลอดภัยดี อยู่ในความดูแลของไท่ไป๋จิงซิง เมื่อเช้าข้าได้ส่งเห็ดหลินจือไปให้ อีกไม่นานก็จะกลับมาปกติ ว่าแต่เจ้าเถอะมีอันใดจะบอกข้าอีกหรือไม่”“ข้ามีเรื่องต้องกราบทูล ขอท่านฮั่นยุหวี่ ทรงโปรดอภัย”เทพเจ้ากุ้ยอ้ายป๋อเฉิง วาดแขนทำพิธีคารวะชุดใหญ่ แล้วคุกเข่าลงคำนับ ท่านฮั่นยูหวี่มองดูท่าคารวะแล้วรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ด้านหลังกุ้ยอ้ายป๋อเฉิง มีเทพธิดามู่ตันว่าที่สะใภ้หลวงที่กำลังอุ้มทารกน่ารักในอ้อมอก “ข้า ใคร่ขอให้ท่านช่วยเหลือ ขอทรงโปรดยุติการเสกสมรสระหว่างมู่ตันกับไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวง ด้วยนางเป็นภรรยาของข้า จึงมิอาจแต่งไปเป็นภรรยาผู้อื่นได้”องค์ฮั่นยุหวี
“ท่านคิดทำสิ่งใด”“พูดความจริง ต่อให้ต้องถูกลงโทษ ข้าก็ต้องยอมรับมัน”“ลงโทษ ความรักระหว่างเรามีโทษด้วยเหรอ ต่อให้วันนี้ท่านไม่มา ข้าก็คิดไว้แล้วว่าวันแต่งงาน ข้าจะบอกความจริงต่อตำหนักสวรรค์ ดินแดนสูงส่งเช่นนั้น คงไม่อยากรับผู้หญิงมีตำหนิไปเป็นชายาหรอก”“ทำเช่นนั้นมิได้ ทุกชีวิตที่นี่จะเดือดร้อน ถ้าความเข้าใจกลับแปลเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง”“แล้วแบบนี้จะทำอย่างไง”“เราจะไปกันสามคน เราจะไปกันเฉพาะครอบครัวของเรา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เราสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเราต้องจบมันด้วยตนเอง”กุ้ยอ้ายป๋อเฉินอุ้มลูกชายของเขาในอ้อมอก แขนอีกข้างก็โอบเอวมู่ตันไว้ เสกตัวเองเป็นพญานกยักษ์ บินขึ้นสู่เวหา ทหารแดนบุปผาต่างตกตะลึง กับนกยักษ์ที่โฉบเอามู่ตันกับลูกชายของนางบินขึ้นสู่ท้องฟ้า กว่าจะตั้งสติได้ง้างคันธนูยิงออกไป พญานกยักษ์ก็พาสองแม่ลูกบินไปจนลับสายตาเสียแล้วเกาจางจิ้งยืนมองดูร่างของฟางเฟย ที่ถูกโยงไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภาพที่ฟางเฟยสำลักเอาลิ้มเลือดออกมา ยังคงติดตาเขาจนถึงตอนนี้ เสื้อผ้าของเขายังเต็มไปด้วยเลือดของหญิงสาว แม้เขาจะผ่านการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน แต่กับผู้หญิงคนนี้มันต่างกันออกไป บุ







