ความฝันครั้งนั้น หลี่เหลียนฮวาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นางจำได้ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเสี่ยวหาน ชะตากรรมของเขาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะตื่นจากฝันแล้วนางยังคงเศร้าและน้ำตาเอ่อล้นไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจไปหลายวัน
“เสี่ยวหาน เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”
“ขอโทษที่ทำให้คุณหนูเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะขอรับ” เสี่ยวหานเห็นหลี่เหลียนฮวาร้องไห้ไม่หยุด และกอดเขาไม่ปล่อย จึงค่อย ๆ ลูบหัวนางช้า ๆ
หลังจากตั้งสติได้ หลี่เหลียนฮวาจึงค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง เสี่ยวหานเล่าว่าที่เขาหายไปหลายวันเพราะทางเดินป่าไม่ค่อยดีจึงเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอยู่หลายวัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เสี่ยวหานใช้เวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่เรียนการต่อสู้ ทำงานช่วยแม่บ้านจางและพักที่ห้องอาเฉินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านของตนเท่าใดนัก เพื่อความสบายใจของหลี่เหลียนฮวา
ราวกับเหตุการณ์จริงยังไม่ได้เกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาจึงยังไม่ตื่นจากความฝัน ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางความคิดไปได้
เมื่อได้พบเจอกันบ่อย เที่ยวเล่นด้วยกัน พูดคุยกันทุกวันพวกเขาต่างรู้สึกสนิทสนมผูกพันกันมากขึ้น
“เสี่ยวหาน นี่แตงโมที่เจ้าชอบ” หลี่เหลียนฮวาชวนเขามากินแตงโมที่ศาลาหลังจากเลิกเรียน
“ส่วนนี่ซาลาเปาสองลูกของอาเฉินแล้วก็อันนี้ข้าให้เจ้าจิ่วเอ๋อร์” นางจัดแจงของทานเล่นให้ทุกคนอย่างเคยชิน
เรื่องราวในชีวิตประจำวันดำเนินไปได้ด้วยดีจนทำให้หลี่เหลียนฮวาลืมความฝันไปเสียสนิท จนเมื่อได้เห็นใบแป๊ะก๊วยสีเหลืองร่วงหล่นจากต้น ความกลัวของนางจึงเริ่มก่อตัวอีกครา
“เสี่ยวหาน ปีนี้เจ้าไม่ต้องเข้าป่าหาฟืนได้หรือไม่ เหมันตฤดูครั้งนี้ เจ้าอยู่ที่จวนนี้เถิด” หลี่เหลียนฮวาบอกเขาแกมขอร้อง
เสี่ยวหานเข้าใจว่าทำไมหลี่เหลียนฮวาพูดกับเขาเช่นนี้ นางคงกลัวว่าจะเกิดเรื่องเหมือนครั้งก่อนที่เขาไปหาฟืนในป่า เขาไม่อยากเห็นนางต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะเขา จึงรับปากอย่างง่ายดาย
---------------------------------------------------------------------------
ใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงพื้นเป็นสัญญาณเปลี่ยนผ่านกาลเวลา เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวในวังหลวง บัดนี้ถึงคราผลัดแผ่นดินเช่นเดียวกัน
“เหลียนฮวา เวลานี้เจ้าอยู่ในจวนอย่าได้ออกไปที่ใด ข้าต้องไปที่วังหลวงจะไม่ได้พบเจ้าสักระยะ” ใต้เท้าหลี่บอกกับบุตรสาวก่อนรีบเดินทางไปวังหลวง
ข่าวคราวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้เริ่มกระจายไปนอกวังหลวงผู้คนต่างพากันไว้ทุกข์ตามธรรมเนียม ขุนนางต่าง ๆ กำลังวุ่นวายกับการขึ้นครองบัลลังก์ขององค์รัชทายาท หากแต่เรื่องราวทั้งหมดมีเท่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย
เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน กลุ่มชายชุดดำฉวยโอกาสเข้าโจมตีวังหลวงหมายจะเอาชีวิตองค์รัชทายาทและขัดขวางการขึ้นครองราชย์ บัดนี้เหล่าขุนนาง ทหาร ต่างมีหน้าที่ปกป้องเชื้อพระวงศ์ให้รอดจากการลอบทำร้ายครั้งนี้ แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าจุดประสงค์ของคนเหล่านี้คืออะไร แต่การกระทำเช่นนี้คือการก่อกบฏ
ชาวบ้านที่รู้ข่าวย่อมหวาดกลัวพากันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ถนนหนทางไร้ผู้คน บรรยากาศวังเวงเงียบสงัด
ใต้เท้าหลี่ขอกำลังทหารยามมาเฝ้าที่จวนสกุลหลี่และคอยดูแลบุตรสาวของเขา ผู้คนในจวนต่างวางแผนเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะหลี่เหลียนฮวา เริ่มฤดูหนาวครั้งใดมักมีเรื่องอยู่ร่ำไป
กระนั้นกลุ่มชายชุดดำก็ไม่สามารถโจมตีวังหลวงที่มีกองทหารหลายพันนายคอยสับเปลี่ยนเฝ้ายามอารักขาความปลอดภัยทั้งวันทั้งคืนได้ดังใจ ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวในช่วงแผ่นดินมีการเปลี่ยนผ่านและอาศัยความวุ่นวายทางการเมือง ใต้เท้าหลี่ผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย จึงรู้สึกสงสัยคนบางกลุ่มที่ต้องการสืบทอดอำนาจและความยิ่งใหญ่ เพียงแต่ยังหาหลักฐานที่เชื่อมโยงกันไม่ได้
เหล่าขุนนางฝ่ายซ้ายเริ่มวางกับดักเพื่อจับกุมกลุ่มชายชุดดำนี้ได้ทีละคน แต่การสืบสาวเรื่องราวไม่เกิดผลอันใด คนพวกนั้นไม่ปริปากพูดมูลเหตุจูงใจหรือเปิดเผยข้อมูลของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง นอกจากนั้นยังยอมสละชีวิตตนเองกินยาพิษที่พกไว้ติดตัว ไม่ยอมให้ตนต้องโดนคุมขังอีกต่อไป ส่วนคนที่เหลือข้างนอกต่างพากันเก็บตัวเงียบเพื่อรอคำสั่งต่อไป
ราวกับช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและตึงเครียดได้ค่อย ๆ คลี่คลาย ผู้คนจึงเริ่มกลับมาทำมาหากินและใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่มีใครรู้เลยว่ากลุ่มชายชุดดำกำลังวางแผนอย่างลับ ๆ
---------------------------------------------------------------------------
ณ จวนสกุลหลี่
“คุณหนูนายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่บ้านจางรีบมาแจ้งหลี่เหลียนฮวา
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ อยู่ที่ศาลาใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ นายท่านรอคุณหนูอยู่ที่เดิมเจ้าค่ะ”
หลี่เหลียนฮวารีบวิ่งไปหาใต้เท้าหลี่เพราะนางไม่ได้เจอเขาหลายอาทิตย์แล้ว
“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้านึกเป็นห่วงเจ้าเลยกลับมาที่จวนก่อนผู้ใด” ใต้เท้าหลี่กอดบุตรสาวด้วยความคิดถึง
“ข้าก็คิดถึงท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม้ใต้เท้าหลี่จะเป็นเพียงแค่คนในฝันแต่หลี่เหลียนฮวาก็รู้สึกรักและเคารพเขา ความรู้สึกนั้นเหมือนเป็นความรู้สึกของหลี่เหลียนฮวาตัวจริง
“ข้าแวะมาหาเจ้าเพื่อดูหน้าให้หายคิดถึง แต่ข้ายังมีธุระในวังหลวงที่ต้องทำให้เรียบร้อย อีกสองสามวันเจอกันอีกนะเหลียนฮวา”
พวกเขาทั้งสองทานข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อก่อนใต้เท้าหลี่จะกลับไปที่วังหลวงอีกครั้ง
เรื่องราวในวังหลวงผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างสมพระเกียรติ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่นั่นนำมาซึ่งความไม่พอใจของกลุ่มชายชุดดำที่เหลืออยู่ พวกเขาเริ่มวางแผนที่จะจับครอบครัวของขุนนางเพื่อมาเป็นเครื่องต่อรอง
แม้เหตุการณ์จะคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ใต้เท้าหลี่ก็ยังให้ตรึงกองกำลังอารักขาบางส่วนไว้เผื่อจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะไม่รู้ว่าจำนวนคนในกลุ่มชายชุดดำยังเหลืออยู่อีกเท่าใด เขาตั้งใจเข้าไปจัดการเรื่องราวทุกอย่างนี้ในวังหลวงร่วมกับเหล่าขุนนางอื่น ๆ และในคืนนี้เองที่กลุ่มชายชุดดำเริ่มแผนจับตัวประกัน
กลางดึกกลุ่มชายชุดดำแอบเข้าไปที่จวนสกุลหลี่เพื่อจับตัวหลี่เหลียนฮวา บุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าหลี่ผู้เป็นผู้นำในการวางแผนจับกุมพวกเขา
เสียงเปิดประตูเบา ๆ ดังมาจากด้านนอกเรือนของหลี่เหลียนฮวา โชคดีที่คืนนี้นางนอนไม่หลับ เมื่อได้ยินเสียงผิดวิสัย นางจึงรีบจัดผ้าห่มแล้วรีบไปซ่อนข้างหลังกระจกบานใหญ่ตรงมุมห้อง ถือไม้ท่อนใหญ่ที่วางอยู่ ข้าง ๆ ไว้กับตัว
คนรูปร่างสูงผู้หนึ่งค่อย ๆ ย่องเข้ามาในห้องนอนก่อนจะจับตัวคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อวางยาสลบ หลี่เหลียนฮวาแทบจะหยุดหายใจไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ชายผู้นี้เพียงแค่สัมผัสผ้าห่มที่อุ่น ๆ อยู่ก็รู้แล้วว่าเมื่อสักครู่มีคนอยู่ที่นี่ เขากวาดตามองหานางแม้รอบห้องจะมีแต่ความมืดมิด
เขาสังเกตว่าห้องนอนนี้ไม่กว้างมาก ทางเข้าออกมีทางเดียวคือทางที่เขาเข้ามา หากจะหนีทางหน้าต่างคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะข้างนอกยังมีกลุ่มของเขาเฝ้าอยู่ บุตรสาวสกุลหลี่ผู้นี้ต้องอยู่ภายในห้องนี้อย่างแน่นอน
“เจ้ารีบออกมาจะดีกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในห้องนี้ อย่าทำข้าเสียเวลา” ชายผู้นั้นพูดเชิงข่มขู่นาง
เรื่องอันใดข้าจะออกไปง่าย ๆ เข้ามาสิ ข้าจะฟาดให้ดู แม้จะกลัวแต่หลี่เหลียนฮวาก็พร้อมที่จะสู้สุดใจ
เขาเดินไปหานางตรงฉากกั้น ตู้เก็บของ แล้วเดินตรงไปที่กระจก นางกลั้นใจจังหวะที่เขาก้มหน้ามาทางด้านหลัง ยกไม้รอแล้วตีไปที่หัวหนึ่งครั้งจนชายผู้นั้นร้องโอ๊ย เขาจึงไม่รอช้ารีบคว้าตัวนางมาเพื่อวางยาสลบ หลี่เหลียนฮวาดิ้นสุดกำลังพลางร้องสุดเสียงและตะโกนให้คนช่วย หวังจะมีสักคนได้ยินเสียงของนาง
เมื่อได้ยินเสียงหลี่เหลียนฮวา ทหารที่เฝ้าจวนอยู่ก็รีบวิ่งกรูเข้ามาที่เรือน แต่โดนพรรคพวกของชายผู้นี้ที่อยู่ด้านนอกมาสกัดกั้นไว้ ชายผู้นี้จึงฉวยโอกาสหลบไปอีกทางโดยไม่รู้ว่ามีคนแอบตามมา
เสี่ยวหานและอาเฉินที่เดินเล่นอยู่ใกล้ ๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องของหลี่เหลียนฮวา พวกเขาก็รีบวิ่งมาหานางเช่นกัน ด้านหน้าทหารเฝ้ายามและกองกำลังชุดดำต่อสู้กัน ส่วนอีกฝั่งพวกเขาเห็นนางถูกชายคนหนึ่งอุ้มพาดบ่าออกไป
ระหว่างทางหลี่เหลียนฮวาไม่ได้สลบอย่างที่ชายผู้นี้เข้าใจ นางมองทางที่ถูกพาเขาพามาตลอดทางและเห็นเสี่ยวหานกับอาเฉินกำลังแอบตามมาติด ๆ หลังจากเดินทางมาสักพัก ชายผู้นี้พานางไปซ่อนไว้ที่โรงไม้ในหมู่บ้าน ด้านในมีบุตรหลานของขุนนางที่ถูกจับมาอีกสองสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเด็กน้อย เขานำหลี่เหลียนฮวาไปขังไว้อีกกรงที่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ แล้วปิดประตูกรงไว้ก่อนออกมาด้านนอกเพื่อรวมกลุ่มกับคนเฝ้ายามสามสี่คน
กรงขังไม่จำเป็นต้องมีความแน่นหนาอันใดเพราะพวกเขาคิดว่าทายาทของขุนนางนั้นไม่มีทางสู้และไม่สามารถหนีออกมาได้ บัดนี้โดนยาสลบนอนหลับไม่รู้เรื่อง ยกเว้นหลี่เหลียนฮวา
เจ้าโจรพวกนี้ ร้ายกาจยิ่งนัก ทำแบบนี้กับเด็ก ๆ ได้อย่างไร นางคิดในใจก่อนหยิบมีดพกด้ามเล็กที่ซ่อนอยู่ออกมา ค่อย ๆ เลื่อยเชือกคล้องประตู จังหวะเดียวกันกับที่เสี่ยวหานและอาเฉินลอบเข้ามาเจอพอดิบพอดี
“เสี่ยวหาน อาเฉิน รีบไปตามคนมาช่วยพวกเขากัน” หลี่เหลียนฮวาบอกก่อนจะเดินออกไป
“พวกเจ้า รอข้าด้วย” เสียงจากมุมกรงขังดังมา
หลี่เหลียนฮวามองไปทางต้นเสียงแล้วตกใจ
“เย่ชิงหมิง เจ้า” นางรีบไปพยุงตัวเขาแล้วให้อาเฉินที่ร่างกายสูงใหญ่ที่สุดเป็นคนประคอง
พวกเขาทั้งสี่คน ค่อย ๆ เดินออกทางหลังอย่างช้า ๆ ก่อนที่คนอีกกรงหนึ่งตื่นมาพอดีแล้วร้องไห้เสียงดัง จังหวะที่พวกเขาออกไปได้แล้วชายคนหนึ่งก็เข้ามาพอดี เมื่อเห็นกรงที่ขังหลี่เหลียนฮวาว่างเปล่าเขาส่งเสียงบอกคนที่อยู่ด้านนอกสามคน
“วิ่ง!” เสี่ยวหานสั่งทุกคนก่อนวิ่งนำหน้า เขาจูงมือหลี่เหลียนฮวาไปด้วย เพื่อที่จะให้เย่ชิงหมิงที่กำลังสะลึมสะลือตื่น อาเฉินจึงตบหลังเย่ชิงหมิงไปหนึ่งฝ่ามือจนเขาสะดุ้งเฮือกลืมตาตื่น แล้ววิ่งตามหลังเสี่ยวหาน พวกเขาตั้งใจจะตรงดิ่งไปทางวังหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ
ชายชุดดำปามีดบินเล่มเล็กเพื่อหยุดพวกเขา คมมีดเฉียดขาหลี่เหลียนฮวาไปนิดหนึ่ง
“โอ๊ย!” นางร้องเสียงหลงตัวโอนเอนเสียสมดุล เสี่ยวหานที่จับมือนางไม่ปล่อยมองตาอาเฉินราวกับส่งสารบางอย่างก่อนล้มกลิ้งไปตามทางพร้อมหลี่เหลียนฮวา
“โอ๊ย! เจ็บ” นางร้องอีกครั้งเมื่อกลิ้งมาจนถึงพื้นราบ
“คุณหนู ขาท่าน มีแผลเล็กน้อย” เสี่ยวหานฉีกเสื้อผ้าแล้วนำมาพันแผลให้นาง
“อดทนไว้ก่อนนะขอรับ ยิ่งถึงวังหลวงเร็วเท่าใดยิ่งปลอดภัย”
“อื้อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก ไปต่อเถอะ”
ทั้งสองกลิ้งตกลงมาตามทางที่มีหิมะปกคลุม แม้จะไม่มีบาดแผลบนร่างกายมากแต่ก็ระบมไม่น้อย การวิ่งในป่าที่ไม่ใช่ทางเดินนั้นยากลำบากนัก ทั้งสองจึงได้แต่ค่อย ๆ ไปตามทางที่แสงจันทร์สาดส่องถึงเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอย่างอื่น
เมื่อหนีมาได้ไกลพอสมควรและไม่เห็นวี่แววของชายชุดดำ เสี่ยวหานจึงให้หลี่เหลียนฮวาได้หยุดพักสักครู่หนึ่ง
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่จวนสกุลหลี่จนถึงตอนนี้ได้ผ่านมาแล้วประมาณสองชั่วยาม ท้องฟ้าเริ่มส่องแสงบาง ๆ เป็นสัญญาณให้พวกเขารีบวิ่งหนีอีกครั้งก่อนจะชายชุดดำตามมาเจอ
ด้านอาเฉินและเย่ชิงหมิงหนีไปตามทางเดิมและคอยหลบพวกชายชุดดำไปด้วย
“นี่เจ้า ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่ไหวแล้ว” เย่ชิงหมิงกล่าว
“ข้าขอพักก่อน เจ้าได้ยินหรือไม่”
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากอาเฉิน อีกทั้งขาสองข้างไม่มีเรี่ยวแรงวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว เขาทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว คนอย่างเขานั้นอยู่แต่ในรั้ววังหลวง เรียนหนังสือ ต่อให้วิ่งเล่นหรือฝึกดาบกับเย่ชิงหลงก็ไม่เคยต้องเหนื่อยหนาสาหัสเช่นนี้มาก่อน ไหนจะยาสลบที่ยังไม่จางดีเท่าไหร่ทำให้ทั้งเหนื่อยทั้งสะลึมสะลือยากจะฝืนใจแม้ถูกไล่ตามอยู่
อาเฉินที่ได้ยินเสียงเขาฟุบลงกับพื้นไม่พูดพร่ำทำเพลง พยุงเขาขึ้นหลังแล้วแบกเขาวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดพัก เขาอดทนต่อความเหนื่อยยากทั้งหลายพาเย่ชิงหมิงหนีไปตามที่ตั้งใจ อีกแค่ไม่กี่อึดใจก็จะถึงวังหลวงแล้ว เขาจะได้รีบหาคนไปช่วยคุณหนูกับเสี่ยวหาน และบอกเรื่องคนอื่น ๆ ที่โดนจับไปด้วย ทั้งยังเรื่องการต่อสู้ที่จวน อาเฉินนึกเป็นห่วงแม่บ้านจางและ จิ่วเอ๋อร์
หลังจากเสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาวิ่งมาตามทางสักพักก็เริ่มกลับเข้าเส้นทางลัดที่จะไปวังหลวงได้แล้ว พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นตามแผน หากนับถึงเวลานี้ทางอาเฉินน่าจะใกล้ถึงวังหลวงแล้ว ถ้าไปตามทางนี้ต่อจะต้องได้พบกับทหารวังหลวงที่สวนทางมาอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาจะได้หายห่วงไปสักนิดหนึ่ง
“พวกมันอยู่ตรงนั้น” เสียงดังมาจากอีกทางหนึ่งไม่ไกลนัก
“เสี่ยวหาน วิ่ง ๆ” หลี่เหลียนฮวาตกใจรีบบอกเสี่ยวหาน
พูดไม่ทันขาดคำ ธนูดอกหนึ่งพุ่งทะลุป่ามาทางพวกเขา เสี่ยวหานที่หันมามองข้างหลังพอดีจึงได้เอี้ยวตัวหลบไปอย่างหวุดหวิดแล้วจูงมือ หลี่เหลียนฮวาวิ่งต่อ
เสียงพลุจากฟากตัวเมืองดังขึ้นมีแสงไฟพวยพุ่งราวกับเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง กลุ่มชายชุดดำเมื่อเห็นพลุก็พูดคุยสื่อสารบางอย่างกันอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเร่งฝีเท้าตามพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อพวกเขาวิ่งตามทางลัดมาได้สักพัก เสี่ยวหานได้ยินเสียงที่มาอีกจากอีกฟาก ภาวนาให้เป็นทหารวังหลวง แต่เมื่อมองดี ๆ แล้วกลับเป็นชายชุดดำสามคน พวกเขาจึงหยุดวิ่งก่อนมองหาทางหนี กลุ่มชายชุดดำจากทั้งสองทางบีบให้พวกเขาถอยร่นเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าผา
ที่นี่อีกแล้วหรือ หน้าผา เสี่ยวหาน ไม่ได้นะ ข้าขอร้อง ใครสักคนมาช่วยพวกเราที ได้โปรด หลี่เหลียนฮวาพร่ำขอร้องอยู่ในใจ ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
“พวกเจ้าหนีไม่พ้นแล้ว มานี่ ๆ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ข้าบอกให้มานี่” เขาตะคอก
เสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาไม่ขยับตัวใด ๆ ทั้งสองยืนจับมือกันด้วยความกลัว
เสียงผิวปากดังมาจากทางด้านบน กลุ่มชายชุดดำหันไปมองทางต้นเสียงแล้วพยักหน้าแล้วเดินต้อนทั้งสองคนไปที่ริมผายกดาบเตรียมฟันลงมา เสี่ยวหานรีบเอาตัวมาขวางด้านหน้าหลี่เหลียนฮวา แล้วจับมือนางไว้แน่นกว่าเดิม ชายคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ ยกคันธนูขึ้นมาเล็งที่เสี่ยวหาน ลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งตรงมาที่เขา
เสี่ยวหานข้าขอโทษ ข้าต้องปกป้องเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอี้ยวตัวมาบังข้างหน้าเขา แต่ไฉนเลยเสี่ยวหานกลับเอี้ยวตัวกลับมาด้านหน้านางอีกครั้ง
“เสี่ยวหาน!” หลี่เหลียนฮวาร้องตกใจ
เขามองนางเป็นครั้งสุดท้าย สายตาบ่งบอกว่าเขาจะต้องปกป้องนางสุดชีวิต
แรงจากธนูดอกนี้มหาศาลทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะตกหน้าผา เขาจึงปล่อยมือจากหลี่เหลียนฮวาแต่นางกลับกุมมือเขาแน่นกว่าเดิมเพื่อพยายามรั้งเขาไว้ ทว่าพื้นดินยามหิมะตกนี้ไม่อาจยืนให้มั่นคงได้เลย นางจึงร่วงหล่นจากหน้าผาไปพร้อมกับเขา
ข้านึกออกแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดในฝันครั้งแรก ที่เขาตกหน้าผาและจมทะเลสาบยามเหมันตฤดูที่หนาวเย็นเป็นเพราะข้าหรอกหรือ ไม่นะ ท่านเทพเทวาช่วยเขาด้วย ได้โปรดช่วยเขาด้วย หลี่เหลียนฮวาร้องไห้
หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม