หลิวลี่เซียงเริ่มฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งจนเธอตกใจสะดุ้งตื่นกลางดึก บางครั้งถึงกับนอนน้ำตาไหลจนเพื่อนต้องรีบปลุก หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วเธอยังคงจำความรู้สึกต่าง ๆ ได้ดี หากเรื่องราวเหล่านั้นเป็นแค่ความฝันที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปคงจะดี แต่ทว่าเธอกลับต้องเข้าไปมีชีวิตอยู่ในฝันเหล่านั้นอีกครั้ง ไม่เป็นคนอาภัพรัก ก็เป็นคนที่ถูกใส่ความ ร้ายแรงที่สุดก็ต้องตายอย่างทรมาน หากรู้ชะตาของตนย่อมจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง เธอจึงทำทุกวิถีทางให้ตัวเองรอดจากความตาย ปล. โลกความฝันในเรื่องนี้เป็นจีนโบราณและเทพเซียนแล้วแต่ตอน ส่วนโลกความจริงเป็นยุคปัจจุบันนะคะ ปล.2 ความฝันมีทั้งหมด 5 เรื่อง แบ่งเป็น 7 บท
Lihat lebih banyakต้นไม้ยอดหญ้าที่เริ่มผลิใบในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา สถานที่แห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยมาพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว ร้านรวงริมถนนทางด้านขวาเริ่มประดับดอกไม้หลายหลากสีและตกแต่งบริเวณร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้า
หลิวลี่เซียง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปีสาม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินเล่นเที่ยวชมธรรมชาติและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เธอคิดว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะออกไปเดินเล่นแต่เช้าในสวนแห่งนี้ แล้วตอนขากลับค่อยแวะซื้อหนังสือมาอ่านสักเล่ม แม้ว่าในห้องจะมีหนังสือที่ดองเก็บไว้มากมายก็ตาม
ขณะเดินเล่นอยู่รอบนอกสวน ท้องฟ้าที่แจ่มใสตั้งแต่ช่วงเช้ากลับมีเค้าลางก้อนเมฆเริ่มก่อตัว สายลมพัดพากลิ่นไอดินมาตรงที่หลิวลี่เซียงยืนอยู่ เธอจึงเดินจ้ำอ้าวไปร้านหนังสือในซอยก่อนเม็ดฝนจะโปรยปรายลงมา
ขออภัย ร้านอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราว
ฝนเม็ดใหญ่เริ่มหล่นกระทบพื้น เธอควานหาร่มพับในกระเป๋าก่อนนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่หอพัก พลันเหลือบเห็นแสงสลัวจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จึงตัดสินใจไปหลบฝนในร้านแห่งนี้
“มอคค่าเย็นเพิ่มหวานหนึ่งแก้วค่ะ”
หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เธอก็เดินไปนั่งเก้าอี้ไม้ริมหน้าต่าง ทอดสายตาไปข้างนอกร้าน คิดเรื่องราวต่าง ๆ เรื่อยเปื่อยแล้วจดลงในสมุดบันทึกที่มักพกติดตัวอยู่เสมอ
“มอคค่าเย็นค่ะ สมุดบันทึกเล่มนี้ทางร้านแจกให้ฟรีเนื่องจากเปิดร้านวันแรกนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” หลิวลี่เซียงกล่าวขอบคุณแล้วรับมาดู สมุดมีขนาดพอดีมือ หน้าปกเป็นลวดลายภาพสีน้ำแบบจีนโบราณ ด้านในเป็นกระดาษเปล่าสีนวล มีเชือกคั่นกระดาษเส้นเล็กสีแดง ดูรวม ๆ แล้วสวยงามอย่างน่าประหลาด เธอจึงตั้งใจจะใช้สมุดเล่มนี้แทนเล่มที่พกอยู่
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เขากวาดสายตาดูเมนูแล้วสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รีปั่น เมื่อหลิวลี่เซียงได้ยินเสียงกระดิ่งดัง เธอก็หลุดจากภวังค์เงยหน้ามองไปยังหน้าร้าน ราวกับสวรรค์มาโปรด แค่มองเห็นใบหน้าและลักษณะท่าทางของเขา พล็อตนิยายในหัวก็เริ่มทำงานในทันที พลางคิดว่าเขาคนนี้แหละคือพระเอกเรื่องถัดไป
เขาเดินมานั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วหยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋าเป้ ทำท่าครุ่นคิดสักพักก่อนบรรจงวาดภาพร้านดอกไม้ที่ค้างไว้ หลิวลี่เซียงไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้เลย เธอแอบมองดูเขาทำงานอย่างจดจ่อจนลืมตัว เพราะรู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน
เวลาผ่านไปสองสามชั่วโมงจนฝนเริ่มซา เธอจึงเก็บข้าวของเตรียมขึ้นรถเมล์กลับหอที่อยู่ห่างออกไปสามป้ายรถเมล์ พลางมองเขาอีกครั้งก่อนเดินออกจากร้าน โดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามหลัง
ขณะที่เธอกำลังลงจากรถเมล์ เสียงแหลมตะโกนของหญิงสาวผมยาวสลวยใส่ส้นสูงกำลังวิ่งมาหาเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อาเซียง รอด้วย”
“ซินซิน ไม่ต้องรีบก็ได้ เดี๋ยวหกล้ม” ซินซิน หรือ ไป๋เยว่ซิน คือเพื่อนสนิทของหลิวลี่เซียง ในวัยเด็กบ้านของทั้งสองคนอยู่ในระแวกเดียวกัน นอกจากเรียนห้องเดียวกันแล้ว ทั้งสองยังไปโรงเรียนพร้อมกันและชอบไปปั่นจักรยานเล่นริมแม่น้ำอยู่บ่อย ๆ จึงมีความสนิทสนมเป็นพิเศษ แม้ว่าตอนขึ้นชั้นมัธยม ไป๋เยว่ซินต้องย้ายบ้านไปอยู่ต่างเมือง ก็ยังคงติดต่อถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่เสมอ เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน จึงตัดสินใจอยู่หอพักด้วยกันและไปเที่ยววันหยุดเหมือนอย่างที่เคย
“อาเซียง หาข้าวกินกันเถอะ มัวแต่ฝึกงานยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“งั้นรีบขึ้นห้องกัน เดี๋ยวฉันทำกับข้าวให้กินนะ”
----------------------------------------------------------------------
“ซินซิน ตื่นได้แล้ว วันนี้เรามีนัดไปดูดอกโบตั๋นนะ” หลิวลี่เซียงปลุกเพื่อนที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ อย่างนุ่มนวล ไป๋เยว่ซินค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยความงัวเงีย หลับตาเดินเข้าห้องน้ำ แต่หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เพื่อนคนนี้ดูสวยสดใสราวกับคนละคน
“อาเซียง ถ้าขึ้นรถเมล์สายเก้าไม่ทันเดี๋ยวเรียกแท็กซี่ก็ได้”
ไป๋เยว่ซิน ลูกสาวคนเล็กตระกูลใหญ่ เจ้าของโรงแรมหลายแห่ง มีชีวิตร่ำรวย สุขสบาย ไม่เคยต้องขัดสนเงินทอง เธอสามารถเลือกที่จะอยู่คอนโดใจกลางเมือง มีรถยนต์ส่วนตัวพร้อมคนขับรถรับส่ง และพี่เลี้ยงคอยดูแลอาหารการกินเหมือนกับทายาทคนดังอื่น ๆ ก็ได้ แต่เธอก็ชอบที่จะใช้ชีวิตธรรมดาสามัญเหมือนตอนเด็ก ๆ มากกว่า เธอมีความสุข สนุกสนาน เมื่อได้อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างหลิวลี่เซียง
เทศกาลชมดอกโบตั๋นในช่วงกลางเดือนนั้น เป็นที่นิยมของผู้คนมากมาย แค่ได้เห็นดอกโบตั๋นหลากหลายสีบานสะพรั่งทั่วทั้งสวน ก็ทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
“ซินซิน จะถ่ายรูปแล้วนะ เธอยืนตรงนี้ โอเค สวยแล้ว”
“ไปถ่ายเซลฟี่ตรงนั้นกัน” หลิวลี่เซียงพูดพลางชี้ไปที่พุ่มดอกโบตั๋นสีขาว ก่อนคล้องแขนไป๋เยว่ซินเดินไปอย่างเบิกบานใจ
“โอ๊ะ! ผู้ชายคนนั้นนี่”
“คนไหน” ไป๋เยว่ซินมองตามสายตาของเธอ
“คนนั้นไง ที่เคยเล่าให้ฟัง ว่ารู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” หลิวลี่เซียงพูดถึงชายหนุ่มคนที่เธอเจอในร้านกาแฟเมื่อเดือนก่อน
“อื้ม คุ้นหน้าจริงด้วย ขอนึกก่อน” ไป๋เยว่ซินทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อ “อ๋อ ลูกพี่ลูกน้องของซือมู่เฉิน ตาคนเจ้าชู้นั่น”
แค่นึกถึงซือมู่เฉิน ไป๋เยว่ซินก็รู้สึกหมั่นไส้คู่หมั้นคู่หมายที่พ่อแม่ให้แต่งงานด้วยเพื่อเสริมบารมีทางธุรกิจ เธอเข้าใจว่าพ่อแม่หวังดีอยากให้ลูกสาวมีสิทธิ์มีเสียงในบริษัทมากขึ้น สามารถใช้อำนาจสยบความวุ่นวายของคณะกรรมการบริหารได้ แต่โดนคลุมถุงชนแบบนี้ก็ไม่ไหว เธอจะช่วยพี่สาวบริหารธุรกิจของตระกูลและแต่งงานกับคนที่รักเท่านั้น ทุกวันนี้เธอจึงมุ่งมั่นเรียนรู้งานบริหารต่าง ๆ ในยามว่างและวันหยุดปิดเทอม แต่ก็ไม่พลาดที่จะปลีกตัวมาผ่อนคลายสมอง ความเหนื่อยล้าและเติมพลังให้ชีวิต แค่ได้ทำสิ่งที่เคยทำตอนเด็ก ตอนที่ยังไม่ต้องรับรู้และแบกรับภาระอะไรก็มีความสุขมากแล้ว หลิวลี่เซียงรู้ดีว่าเพื่อนสาวนั้นต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง เธอจึงคอยให้กำลังใจและชวนไปเที่ยวเล่นยามว่างอยู่เสมอ
“ผู้ชายคนนั้น เหรินฮ่าวหราน ฉันเคยเจอตอนไปบ้านตระกูลซือสองสามครั้ง ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ ออกจะเป็นคนเก็บตัวไม่เข้ากับคนเยอะ ๆ ”
“อื้ม มิน่าล่ะ รู้สึกคุ้นหน้า” หลิวลี่เซียงเผลอยิ้มออกมา
“อาเซียง ทำหน้าแบบนี้ คือยังไง”
“เปล่านิ แค่จะเอามาเป็นตัวละครในนิยายเรื่องใหม่แค่นั้นเอง จริง ๆ นะ” หลิวลี่เซียงพูดเสียงสูงพลางหุบยิ้ม
ท่ามกลางหมู่มวลดอกโบตั๋นสีขาว เหรินฮ่าวหรานนั่งอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ กำลังตั้งใจวาดภาพพุ่มดอกไม้ที่มีฉากหลังเป็นศาลาริมน้ำ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกัน ก็เงยหน้าขึ้นมาดูแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้าวาดรูปต่อ มุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้น
“อาเซียง ตรงนั้นมีจักรยานให้เช่าด้วย ไปกันเถอะ”
“อื้อ ปั่นจักรยานเล่นริมน้ำกัน อากาศกำลังดี”
“อาเซียง ตรงนั้นมีสายไหมด้วย ฉันอยากกิน”
“อื้อ แล้วไปกินขนมตรงร้านหัวมุมกัน มีแต่คนบอกว่าอร่อย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่หยุด แถมแวะชิมขนมของกินตลอดทาง เป็นวันหยุดพักผ่อนหย่อนใจที่อยากให้เวลาเดินช้า ๆ กว่าทุกวัน
---------------------------------------------------------------------
เช้าวันจันทร์ ขณะที่นักศึกษาใหม่กำลังวุ่นวายกับการเลือกชมรม หลิวลี่เซียงเลือกเข้าชมรมศิลปะเพราะอยากฝึกฝีมือไว้วาดรูปทำหน้าปกนิยายแม้จะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยก็ตาม เธอเดินตามแผนที่ไปห้องชมรม บรรยากาศในห้องเงียบสงบ ตรงมุมขวามีเพียงชายคนหนึ่งนั่งวาดรูปอยู่ แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าของเขา เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ
“สมาชิกใหม่เหรอ ดูเหมือนเธอจะมาเร็วไปหนึ่งวันนะ ชมรมเรานัดกันวันพรุ่งนี้ เธอชื่ออะไร อยู่ปีไหน” เหรินฮ่าวหรานถามตอนเดินมาที่โต๊ะลงทะเบียน
“อ่อ หลิวลี่เซียง ปีสาม”
“เหรินฮ่าวหราน ปีสาม” เขาแนะนำตัวกับเธอ
“นั่งเล่นที่นี่ก่อนได้นะ ถ้ายังไม่อยากกลับ”
“ไม่เป็นไร ไม่อยากรบกวนสมาธินาย เจอกันพรุ่งนี้นะ” เธอตอบกลับก่อนขอตัวกลับ
“อื้อ เจอกัน” เขาตอบสั้น ๆ
หลิวลี่เซียงเดินกลับหอด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งแถมอยู่ชมรมเดียวกัน ทำไมซินซินถึงไม่บอกว่าเขาเรียนอยู่ที่เดียวกับเรานะ ดูแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนเงียบ ๆ ขนาดนั้นนี่นา
---------------------------------------------------------------------
คืนนั้น หลิวลี่เซียงนั่งเขียนนิยายเรื่องเก่าที่ค้างไว้จนดึกดื่น ก่อนเข้านอน เธอได้ยินเสียงใครบางคนเป่าขลุ่ยเบา ๆ จากด้านนอก ท่วงทำนองแช่มช้า ๆ ดูเศร้าสร้อย ด้วยความที่เหนื่อยล้าจากการเรียนมาทั้งวัน เธอจึงค่อย ๆ ผล็อยหลับไปก่อนที่เสียงเพลงขลุ่ยจะจบลง
เช้าวันต่อมา
“อาเซียง ตื่นสิ อาเซียง ๆ” เสียงของไป๋เยว่ซินร้องเรียกเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอนอนร้องไห้
หลิวลี่เซียงสะดุ้งตื่น แววตาเศร้าสร้อยแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ฝันร้ายเหรอ” เธอถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ ในฝันเศร้ามากเลย” หลิวลี่เซียงพูดพลางเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะ อาเซียง ก็แค่ความฝัน เธอไม่ต้องคิดมาก เล่าให้ฉันฟังได้นะ” ไป๋เยว่ซินปลอบ
เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในฝันให้เพื่อนฟัง รายละเอียดในฝันแม้จำได้ไม่หมด แต่เธอก็จำความรู้สึกต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนั้นเธอยังจดเรื่องราวต่าง ๆ ในฝันลงในสมุดบันทึกที่ได้มาจากร้านกาแฟ คิดว่าจะเอาไว้เป็นพล็อตเขียนนิยายแล้วเปลี่ยนตอนจบให้ต่างจากที่เธอฝัน
เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลิวลี่เซียงเพิ่งสังเกตว่าเธอมักจะฝันร้ายในคืนที่ได้ยินเสียงขลุ่ย บางทีเธอจะร้องไห้ตอนหลับหรือไม่ก็สะดุ้งตื่น แล้วไป๋เยว่ซินจะเป็นคนคอยปลอบเธอทุกครั้ง
“อาเซียง คืนนี้สงสัยฝันดี นอนยิ้มเชียว” ไป๋เยว่ซินมองเพื่อนด้วยความสงสัย “ดีแล้วล่ะ นอนหลับฝันดีนะ อาเซียง”
หลังสอบเสร็จวันสุดท้าย ทั้งคู่ทำอาหารกินเลี้ยงฉลองที่หอพัก ส่วนไป๋เยว่ซินถือไวน์มาด้วยสองขวด
“อาเซียง ดื่มไวน์กัน ยี่ห้อนี้พ่อชอบเอาไปซ่อนไว้ ดูท่าทางน่าอร่อยนะ” ไป๋เยว่ซินกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวโดนดุหรอก”
“พ่อไม่ว่าอะไรหรอกน่า แค่ขวดสองขวด ที่บ้านมีอีกเป็นโหล”
หลังจากกินเลี้ยงดื่มไวน์ไปสักพัก หลิวลี่เซียงก็เดินเซซ้ายขวาไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานแล้วก้มลงจดอะไรบางอย่าง
ไป๋เยว่ซินที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ หันมาเห็นหลิวลี่เซียงขีด ๆ เขียน ๆ สมุดบันทึกก่อนฟุบหลับตรงโต๊ะทำงาน จึงพามานอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้ ก่อนเดินมาดูสมุดบันทึก
“อาเซียง เมาขนาดนี้ยังเขียนนิยายได้อีกเหรอ น่านับถือจริง ๆ”
ไป๋เยว่ซินที่ตาสว่างอยู่ ค่อย ๆ เปิดอ่านสมุดบันทึกทีละหน้า ในนั้นมีเรื่องราวจากความฝันที่เธอเคยฟังและพล็อตนิยายเรื่องอื่น ๆ อยู่ ปกติแล้วหลิวลี่เซียงจะคอยส่งต้นฉบับให้เธออ่านก่อนเสมอ
“เอ๋ พล็อตนี้คุ้น ๆ มากเลยนะ แต่จบไม่ถูกใจเลยอ่ะ” ไป๋เยว่ซินบ่นพึมพำเมื่อได้อ่านตอนจบ เธอจึงเขียนคอมเมนต์ตอนจบของเรื่องนั้นใหม่ แล้วเปิดหน้าต่อไป
“หน้าที่กำลังเขียนเมื่อกี้นี่ แต่เอ๊ะ! ไหนว่าไม่ได้คิดอะไรกับเหรินฮ่าว หราน ทำไมแต่งเนื้อเรื่องเหมือนหลงรักเขาไปแล้วอย่างนั้น” ไป๋เยว่ซินอ่านเนื้อความแล้วเกิดนึกสนุกขึ้นมา เธอค่อย ๆ ตัดกระดาษหน้านั้นออก แล้วพับใส่ซองจดหมาย หน้าซองเขียนชื่อเหรินฮ่าวหราน เธอคิดจะนำจดหมายนี้ไปหย่อนกล่องรับจดหมายของเขาวันเทศกาลชีซี
คืนวันพระจันทร์เต็มดวง หลิวลี่เซียงนั่งที่เตียงของเธอริมหน้าต่างสายตามองดวงจันทร์กลมโตอยู่พักหนึ่ง เธอได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากด้านนอกห้องอีกครั้ง แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเดินตามเสียงเพลงนั้น เธอค่อย ๆ หลับตาลงก่อนจมเข้าสู่ห้วงนิทรา
หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม
เมื่อเหออี้เทียนเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ยังคงไม่นึกสงสัยในตอนแรกจึงถามเขาด้วยความเป็นห่วง“หลี่หงจวิ้น เจ้าเป็นอันใด”คำตอบของเขามีเพียงรอยยิ้มหิวกระหายวิญญาณของเหออี้เทียน“เทียนเทียน เกิดอันใดขึ้น” ถานลี่อิงวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังเขา“ลี่อิง เจ้าถอยไปก่อน” เขาบอกนางก่อนจะหันมาพูดกับหลี่หงจวิ้น“หลี่หงจวิ้น มองหน้าข้า เจ้าต้องตั้งสติ เข้าใจหรือไม่” เหออี้เทียนพูดกับเขาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออกเหออี้เทียนเคยศึกษาในตำรามาก่อน อาการเช่นนี้คืออาการของคนในพรรคมารยามที่พลังมารควบคุมร่างกายและจิตใจ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ หลี่หงจวิ้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเหออี้เทียน แววตาของเขาหิวกระหาย ปากขยับท่องวิชามารพลันดอกพลับพลึงแดงเริ่มผุดขึ้นมารอบบริเวณ เตรียมพร้อมที่จะเสพวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า“หลี่หงจวิ้น หยุดได้แล้ว” เหออี้เทียนจ้องตาเขาตอบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าหลี่หงจวิ้นไม่มีท่าทีจะฟังเขา จึงวาดฝ่ามือผลักเขาออกไปหนึ่งชุ่นแล้วใช้วิชาสายหนึ่งพยายามทำให้จิตใ
หลี่หงจวิ้นเข้ามาสวมกอดเหออี้เทียนโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง“ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าขอโทษจริง ๆ” หลี่หงจวิ้นพูดกับเขา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล หากคนจากพรรคมารมาเห็นคงต้องบอกว่าเป็นน้ำตาแห่งคำลวงเป็นแน่ ไม่มีทางที่หลี่หงจวิ้นจะร้องไห้ให้กับผู้ใด มีแต่ผู้อื่นที่เสียน้ำตาให้เขา“คุณชายท่านนี้ ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เหออี้เทียนพยายามบอกเขาให้ปล่อยตัวเอง ในใจคิดว่าบุรุษสองคนยืนกอดกันแนบแน่น แถมอีกคนยังร้องไห้อาวรณ์เป็นภาพที่ค่อนข้างดูแปลกตาอยู่บ้าง“คุณชาย ปล่อยข้าก่อนเถิด ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว” เหออี้เทียนบอกเขาอีกครั้งเพราะคนผู้นี้กลับกอดเขาแน่นขึ้นอีก“เหออี้เทียน เขาคือผู้ใดหรือ” ถานลี่อิงถามเขาด้วยความสงสัย แต่เหออี้เทียนกลับส่ายหัวแทนคำตอบ นางจึงพยายามช่วยแกะมือที่โอบเพื่อนของนางอยู่“คุณชาย ท่านปล่อยเพื่อนของข้าได้หรือไม่” น่าสงสัยว่าหลี่หงจวิ้นรู้สึกกำลังถูกขัดขวางอยู่ เขาปรายตามองถานลี่อิงด้วยสายตาพิฆาต จนนางผงะถอยหลังสามก้าว“ลี่อิง ทำไมหรือ เจ้ามาช่วยข้าก่อน”
ถานลี่อิง หญิงสาวอายุย่างยี่สิบลี้ภัยสงครามจากแคว้นฉินมายังเมืองต้าซิงเพียงลำพัง หวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เงียบสงบในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายมาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าซิงไม่มากนัก เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่มีเหลือแล้ว และนางรู้ตัวว่าร่างกายอันอ่อนแอใกล้จะทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน“พี่สาว ท่านเจ็บป่วยที่ใดหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง“น้ำ ขอน้ำได้หรือไม่”“ท่านรอตรงนี้สักครู่” เด็กน้อยรีบวิ่งไปตักน้ำมาให้นางเมื่อได้ดื่มน้ำดับกระหาย นางขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยเหลือ พอได้มองไปรอบหมู่บ้าน กลับเห็นแค่เพียงเด็ก และคนชราไม่กี่คนจึงรู้สึกสงสัย“เจ้าชื่ออะไรหรือ”“เสี่ยวเฟย”“ครอบครัวของเจ้าล่ะ”“ท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปในเมืองหลวงได้สามวันแล้ว ยังไม่กลับมา” เขาตอบพลางมองไปยังทิศทางนั้นขณะที่ทั้ง
Komen