เช้าวันต่อมา
เมื่อหลิวลี่เซียงลืมตาตื่นขึ้นมา เธอถึงกับตกใจที่เห็นไป๋เยว่ซินกำลังนั่งจ้องเธออยู่
“อาเซียง ฝันดีเหรอ ยิ้มไม่หุบเลยนะ”
“อ่อ อ้อใช่ ฝันดีมาก”
หลิวลี่เซียงรีบตอบก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไม่ยอมเล่าให้ไป๋เยว่ซินฟัง วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงไปเรียนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และนัดไป๋เยว่ซินมาทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเช่นเคย
“อาเซียง เมื่อคืนฝันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” ไป๋เยว่ซินแกล้งถามเผื่อเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง
“อื้อ แต่ไม่เล่าดีกว่า” เธอยิ้มแกล้งเพื่อนสาว
แต่สุดท้ายแล้วหลิวลี่เซียงก็ต้องเล่าเรื่องความในให้ไป๋เยว่เซินฟังเพราะทนแรงคะยั้นคะยอของเธอไม่ไหว
“ไป๋เยว่ซิน”
เธอมองไปทางเสียงนั้นที่กำลังถือจานข้าวยืนรอคำตอบ
“ซือมู่เฉิน”
“ฉันขอนั่งด้วย มีเรื่องต้องพูดกับเธอพอดี” เขาตอบ
“มีอะไรก็รีบบอกมา” ไป๋เยว่ซินเร่งเพราะไม่อยากโดนจับจ้องจากทุกคน
เรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างไป๋เยว่ซินและซือมู่เฉินนั้นถือเป็นความลับ ทุกคนรู้เพียงว่าทั้งสองครอบครัวต่างสนิทสนมกันเพราะเรื่องธุรกิจ และซือมู่เฉินคิดกับไป๋เยว่ซินเพียงแค่น้องสาว อีกทั้งมีเขามักจะมีข่าวลือเรื่องเจ้าชู้พอสมควร
หลังจากนั่งลงแล้วเขาหันไปทางด้านหลังแล้วเรียกเหรินฮ่าวหรานมาด้วย หลิวลี่เซียงที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลัก
“อาเซียง เป็นอะไรมากไหม ค่อย ๆ” ไป๋เยว่ซินลูบหลังเธอ
“อื้ม ไม่เป็นไร”
“วันนี้รบกวนพวกเธอด้วยนะ” เหรินฮ่าวหรานบอกทั้งสองคน
ทั้งเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงต่างนั่งทานข้าวเงียบ ๆ เพราะซือมู่เฉินกับไป๋เยว่ซินกำลังพูดคุยอย่างจริงจัง
“ซือมู่เฉิน นายบอกกับที่บ้านไปสิว่าไม่ว่าง ต้องไปที่ไหนก็บอกไป” ไป๋เยว่ซินบอกเขา เธอคิดว่าเรื่องแค่นี้เขาน่าจะจัดการได้ เพราะทุกครั้งเขามักจะบ่ายเบี่ยงตลอด
“ครั้งนี้ไม่ได้ ต้องทำตามที่บ้านบอกจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องไปพบพ่อกับแม่พร้อมฉัน เธอจะเอาอย่างนั้นหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง แล้วนายไปทำอะไรให้พวกท่านจับได้ล่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“เปล่าสักหน่อย พ่ออาจจะส่งคนมาตามพวกเราแล้วก็รายงานไปก็ได้”
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ งั้นให้อาเซียงไปด้วย” ไป๋เยว่ซินยืนยันว่าจะพาเพื่อนไปด้วย
“ถ้างั้นเพื่อความสบายใจ เดี๋ยวให้เสี่ยวหรานไปด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ยเสี่ยวหราน” ซือมู่เฉินหันมาขอร้องเหรินฮ่าวหราน
“อื้อ” เหรินฮ่าวหรานตอบสั้น ๆ ทำให้เขาแปลกใจเพราะปกติเหรินฮ่าวหรานมักจะไม่มายุ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการหมั้นหมายของทั้งสองคน
“ถ้างั้น วันเสาร์นี้ไปที่บ้านพักตากอากาศของฉันแล้วกัน” ซือมู่เฉินบอกทุกคน
เช้าวันเสาร์
คนขับรถของไป๋เยว่ซินมารับเธอและหลิวลี่เซียงที่หอพักก่อนขับรถไปส่งพวกเธอที่บ้านพักตากอากาศของซือมู่เฉินที่อยู่นอกเมือง
“อาเซียง ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน ถือว่าไปพักผ่อนนอกเมืองวันหยุดแล้วกันนะ”
“อื้อ ไม่เป็นไร”
“ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้แม่ต้องบังคับให้มาให้ได้ด้วยก็ไม่รู้”
“คงอยากให้พวกเธอสนิทกันมากขึ้นหรือเปล่า แบบไปเที่ยวกัน ทานข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้” หลิวลี่เซียงพยายามคิด
“ตอนนี้คงต้องตามน้ำไปก่อน เรียบจบเมื่อไหร่จะไปขอยกเลิกงานแต่งเลย” ไป๋เยว่ซินกระซิบกับเพื่อนสาวก่อนยิ้มมีเลศนัย
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพักตากอากาศของซือมู่เฉินเรียบ ก็เห็นเขามายืนรอรับที่หน้าบ้านแล้ว
“ยินดีต้อนรับ” เขาพูดอย่างอารมณ์เตรียมพร้อมเป็นเจ้าบ้าน ก่อนจะพาเดินไปเก็บของในห้องนอนของแต่ละคน
“นี่เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันพามาที่บ้านนี้” ซือมู่เฉินอวดไป๋เยว่ซิน
“เหรอ ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ” เธอแซวเขา
หลิวลี่เซียงที่กำลังเก็บของอยู่อีกห้องหนึ่งทอดสายตามองไปทางด้านนอก เธอเห็นเหรินฮ่าวหรานกำลังเดินเล่นในสวน แผ่นหลังของเขาทำให้หลิวลี่เซียงนึกถึงลู่เฟยเทียน ทำให้เธอมองเขาไม่ละสายตา
คล้ายกับคนถูกมองรู้สึกตัวจึงหันกลับมาแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่ง หลิวลี่เซียงถึงกับตกใจรีบก้มตัวหลบ เขาเห็นท่าทางของเธอจึงยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้ามาที่บ้าน
“อาเซียงใกล้ ๆ นี้มีที่เที่ยวด้วย พรุ่งนี้เราไปหมู่บ้านบนเขากันไหม” ไป๋เยว่ซินเดินมาถามเธอที่ห้อง
“แน่นอนอยู่แล้ว ออกมาเที่ยวข้างนอกทั้งทีเนอะ”
“ตรงนี้ถ่ายรูปสวยมาก ดูรีวิวสิ” ไป๋เยว่ซินพูดด้วยความตื่นเต้นพลางปัดหน้าจอมือถือ
“ทั้งสองคน จะแอบไปเที่ยวกันแค่สองคนไม่ได้นะ เดี๋ยวแผนไม่สำเร็จ ฉันไปด้วย” ซือมู่เฉินเดินผ่านมาพอดีกล่าวขึ้น
“นายนี่นะจะเที่ยวป่าเที่ยวเขา” ไป๋เยว่ซินขำ
“เธอรู้จักฉันน้อยไป ไป๋เยว่ซิน” เขาตอบโต้
“เอาน่า ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” หลิวลี่เซียงตัดบทก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกัน
“นายว่าเราต้องทำอะไรนะ” ไป๋เยว่ซินถามแผนเที่ยววันนี้
“สวนสนุก คนที่พ่อส่งมาตามพวกเราอยู่หลังต้นไม้โน่นแน่ะ” ซือมู่เฉินพูดเสร็จแล้วโบกมือให้เขา
“เฮ้อ” ไป๋เยว่ซินถอนหายใจ
-------------------------------------------------------------------------
สวนสนุกแห่งหนึ่ง
“อาเซียง เราไปถ่ายรูปกัน” ไป๋เยว่ซินคล้องแขนหลิวลี่เซียงก่อนเดินไปที่รูปปั้นตัวการ์ตูนเพื่อถ่ายรูปกันสนุกสนาน
“ไป๋เยว่ซิน เธอจะมัวแต่ตัวติดกับหลิวลี่เซียงไม่ได้นะ เดี๋ยวทางนั้นจะไม่มีรูปส่งไปให้พ่อดู”
“นี่นายกลัวคุณลุงขนาดนี้เลยเหรอ”
“เธอไม่กลัวเหรอ ดุจะตาย แม่ยังช่วยไม่ได้เลยนะ” เขาตอบพลางนึกหน้าของพ่อยามที่เขาขัดคำสั่ง
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ฮ่าวหรานฝากเพื่อนรักของฉันด้วย” ไป๋เยว่ซินถอนหายใจแล้ววานให้เหรินฮ่าวหรานเดินมาพร้อมกันกับหลิวลี่เซียง
“อื้ม” เขาเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าหันมามองหลิวลี่เซียงอารมณ์ดี
“เธอไปเล่นม้าหมุนไหม หรือว่ารถรางดี” ซือมู่เฉินชวนไป๋เยว่ซิน
ทว่าไป๋เยว่ซินมองมาที่หลิวลี่เซียงก่อนพยักหน้าให้กันราวกับรู้ใจ
“รถไฟเหาะดีกว่า” เธอลากเขาไปซื้อตั๋วอย่างตื่นเต้น
หลังจากได้ตั๋วมาแล้วไป๋เยว่ซินแจกจ่ายให้กับทั้งสามคนก่อนไปเข้าแถวรอเล่นรอบถัดไป
“ซือมู่เฉิน คนของพ่อนายนี่แน่นอนจริง ๆ ถึงกับตามมาขึ้นเครื่องเล่นด้วย”
“อื้อ” เขาตอบสั้น ๆ ขณะหลับตาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง มือทั้งสองข้างจับตัวล็อคไว้แน่น
ทางด้านหลิวลี่เซียงที่นั่งคู่กันกับเหรินฮ่าวหรานนั้นดูสบาย ๆ เหมือนกับรอเล่นสิ่งที่ชอบ ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยตามประสา
รถไฟเหาะเคลื่อนที่ไปตามรางเรียบก่อนค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปที่สูงอย่างช้า ๆ แล้วจากนั้นทิ้งตัวด้วยความเร็วสูงมายังเบื้องล่าง ก่อนจะเข้าโค้งไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตีลังกาบ้าง
“ซือมู่เฉิน นายไหวหรือเปล่า” ไป๋เยว่ซินรู้สึกว่าที่นั่งข้าง ๆ เธอนิ่งเงียบผิดวิสัยของคนช่างจ้อ จึงหันไปดูเขา ก่อนจะเห็นว่าดวงตาเขาเบิกกว้าง หน้าตายู่ยี่พยายามข่มความกลัวอย่างสุดฤทธิ์
“ม่ายยยยยยย” ในที่สุดซือมู่เฉินก็เปิดปากร้องโหวกเหวกตลอดทางจนไป๋เยว่ซินต้องปิดหู
ตัดภาพมาที่หลิวลี่เซียงและเหรินฮ่าวหราน ทั้งสองสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เล่นรถไฟเหาะ ก่อนจะหันมายิ้มให้กันโดยไม่รู้ตัว
“ซือมู่เฉิน ลงมาได้แล้ว” ไป๋เยว่ซินสะกิดเขา
“อื้อ”
“นายคงกลัวมากสินะ” ไป๋เยว่ซินถาม
“ไม่ใช่สักหน่อย แค่นี้สบายมาก”
“พี่ หน้าตาดูไม่ได้เลย” เหรินฮ่าวหรานมองเขาด้วยความเวทนา เขารู้ว่าซือมู่เฉินกลัวเครื่องเล่นพวกนี้แต่ก็ยังปากไม่ตรงกับใจ
“งั้นไปเล่นเรือไวกิ้งต่อ” ไป๋เยว่ซินดึงเขาไปซื้อตั๋วด้วย
“ฮ่าวหราน พี่นายจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หลิวลี่เซียงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนนี้ไป๋เยว่ซินกำลังสนุกกับการแกล้งซือมู่เฉิน
“ช่วยไม่ได้” เหรินฮ่าวหรานยิ้มมุมปาก
หลังจากเล่นสนุกสนานทั้งวันทั้งสี่คนก็กลับมาที่บ้านพักตากอากาศเพื่อพักผ่อนก่อนจะไปเที่ยวหมู่บ้านบนเขาในวันพรุ่งนี้
“ซินซิน แกล้งเขาเยอะไปไหม”
“ไม่เลย ๆ แค่นี้ยังน้อยไป” ไป๋เยว่ซินหัวเราะเบา ๆ
--------------------------------------------------------------------------
หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเขา
“อาเซียงที่นี่มีให้เช่าชุดโบราณด้วย ไปลองกันเถอะ” ไป๋เยว่ซินชวนหลิวลี่เซียงเช่าชุดโบราณมาใส่เพื่อถ่ายรูปและเดินเล่นรอบหมู่บ้าน
เมื่อทั้งสองคนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็เดินคล้องแขนกันออกมาจากร้านก่อนเดินไปดูตรงโน้นที ถ่ายรูปตรงนี้ทีกันสองคน อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะต่างชอบเที่ยวและผจญภัย
“เสี่ยวหราน ดูท่าเราจะถูกสองคนนั้นเมินแล้ว”
“ปล่อยไปเถอะน่า หรือพี่อยากเป็นเหมือนเมื่อวาน เดี๋ยวผมบอกไป๋เยว่ซินให้” เหรินฮ่าวหรานแกล้งถาม
“อย่าแม้แต่จะคิด”
“นึกว่าจะแน่” เหรินฮ่าวหรานหัวเราะ
หลิวลี่เซียงพาไป๋เยว่ซินนั่งพักที่ม้านั่งต้นต้นแปะก๊วยเพื่อพักเหนื่อยจากการเดินเล่นรอบหมู่บ้าน เหรินฮ่าวหรานที่เดินตามหลังมาได้เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกเหมือนคุ้นเคย
“เสี่ยวหราน รอด้วย” ซือมู่เฉินที่เดินหอบขาลากค่อย ๆ ตามเขามาร้องเรียก
“ซือมู่เฉิน นายมาพอดีเลย ถ่ายรูปให้ฉันหน่อย” ไป๋เยว่ซินที่เห็นเขามาถึงก็รู้สึกอยากแกล้ง
“ไป๋เยว่ซิน เธอ... ได้สิ” ซือมู่เฉินพยายามทำตัวปกติ เพราะถือคติต่อหน้าผู้หญิงอ่อนแอไม่ได้ แม้ขาแทบจะไม่เป็นใจแล้วก็ตาม
เหรินฮ่าวหรานเห็นหลิวลี่เซียงนั่งอยู่จึงเดินเข้าไปคุยด้วย
“วิวสวยดีนะ เธอชอบไหม”
“อื้อ อยู่ตรงนี้แล้วคิดถึงวันเก่า ๆ” เธอตอบพลางนึกถึงความฝันของไป๋อิงที่ได้นั่งเล่นใต้ต้นแปะก๊วยกับลู่เฟยเทียน
“สวยงามเหมือนในความฝัน” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปทิวทัศน์
“อาเซียงกลับกันเถอะ” ไป๋เยว่ซินชวนเธอไปเปลี่ยนชุดก่อนกลับ
“ขอบคุณที่พามาเที่ยวนะ ซือมู่เฉิน” ไป๋เยว่ซินขอบคุณเขาด้วยความจริงใจเพราะสองวันนี้เธอได้เที่ยวอย่างมีความสุขจริง ๆ
“ดีแล้วที่เธอชอบ ไว้ครั้งหน้ามาด้วยกันใหม่” เขาตอบ
หลังจากนั้นพวกเขาต่างแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปเรียนในวันรุ่งขึ้น
หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม