ด้านจางลู่หลินนั้นหลังจากที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกปวดหนึบไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เขาจะกระทำต่อร่างกายของนางรุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจรู้ได้
หลังจากที่กินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว จางลู่หลินก็ออกมาเดินรับลมที่นอกเรือน ระหว่างนั้นมีสาวใช้น้อยเพิ่งกลับมาจากตลาด พร้อมกับพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
"นี่เจ้าดูสิ หัวไชเท้าหัวนี้ใหญ่มาก"
จางลู่หลินหันไปมอง และพบว่าในมือของสาวใช้น้อยนางหนึ่งกำลังถือหัวไชเท้าสีขาวอวบเอาไว้ ฉับพลันนางก็คิดถึงภาพนั้นขึ้นมา ภาพท่อนเอ็นลำมังกรของหลี่เหว่ยซ้อนทับอยู่บนหัวไชเท้าหัวนั้น จางลู่หลินรีบส่ายหน้าไปมาทันที เรื่องระหว่างชายหญิงใช่ว่านางจะไม่เคยผ่านมา ในยุคปัจจุบันที่ผ่านมานางก็เรียนรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เรือนกายกำยำของเขามันถึงติตตาของนางไม่จางหายเช่นนี้
เดินต่ออีกครู่หนึ่ง นางจึงกลับเข้ามาที่เรือนของตน ยามนี้เองจางลู่หลินถึงได้มีเวลาเดินดูรอบๆเรือนอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าในจวนองค์ชายใหญ่ตกแต่งได้อย่างหรูหราโออ่าไม่แพ้ในวังหลวง พื้นปูพรมเปอร์เซียขนยาวทอลายบุปผา ทั่วทั้งเรือนมีอัญมณีห้อยระย้าให้ความงดงาม ในห้องจรุงกลิ่นหอมอบอวลจากกำยานกลิ่นดอกสาลี่ชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก การตกแต่งนับว่าใส่ใจไม่น้อย แต่ว่าภายในจวนกลับไม่ได้ปลูกดอกไม้เอาไว้มากนัก ก็ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าของจวนไม่ชอบหรืออย่างไรนางก็ไม่อาจทราบได้
"พระชายาเอกเพคะ ยามนี้ท่านและองค์ชายใหญ่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว ท่านจะต้องรีบตั้งครรภ์นะเพคะ จะได้มีตำแหน่งมั่นคงมากกว่าเดิม"
หลิงหลิงเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ ในขณะที่มือก็กำลังสาละวนปักดอกไม้ลงไปในแจกันที่ตั้งอยู่ภายในห้อง จางลู่หลินไม่เอ่ยสิ่งใด มีบุตรหรือ ให้มีการร่วมรักกันครั้งที่สองเกิดขึ้นเสียก่อนเถิด เขาออกจะหวงตัวถึงเพียงนั้น นางเองไม่ชอบบังคับจิตใจใคร เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาและนางจะได้ไม่มีพันธะผูกพันกัน
"อีกสองวันข้าจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม พวกเจ้าจัดเตรียมข้าวของพร้อมแล้วหรือยัง"
"พร้อมแล้วเพคะ พ่อบ้านหม่าเป็นคนจัดการด้วยตนเอง"
"อืม"
จางลู่หลินพยักหน้ารับ ก่อนจะเอนกายลงนอนบนเตียงและงีบหลับไปอีกคราเพราะยังรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายอยู่
ส่วนหลี่เหว่ยนั้น เขาได้เข้าวังหลวงไปโวยวายกับมารดาของตน จากนั้นก็จัดการถีบกงกงอย่างที่เอ่ยเอาไว้จริงๆ กงกงชราถึงกับร้องไห้โฮ รีบวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากสวีฮองเฮาอย่างน่าเวทนา หลี่เหว่ยไม่กล้าเอ่ยวาจาต่อว่ามารดา ทำได้เพียงกลับจวนของตนไปทั้งอย่างนั้น เขาคิดจะเอาโทสะทั้งหมดไปลงกับจางลู่หลินที่จวน
มันน่านัก นางจะต้องชดใช้ให้เขา!
ชายหนุ่มมุ่งหน้ากลับจวนและตรงมาที่เรือนของจางลู่หลิน เมื่อมาถึงเขาก็ไม่สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย รีบปรี่เข้าไปด้านในหวังจะด่าทอและเอาโทสะไปลงที่สตรีบัดซบนางนั้น แต่เมื่อเข้ามาด้านในเขาก็ถึงกับต้องชะงัก
ตอนนี้จางลู่หลินกำลังเอนกายพิงหัวเตียง หญิงสาวหลับตาพริ้ม มือข้างหนึ่งรองเอาไว้ใต้ศีรษะ เสื้อผ้าที่สวมใส่คล้ายจะไม่เรียบร้อย เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวผ่องที่โผล่ออกมาเล็กน้อย กระโปรงของนางเลิกขึ้นมาจนเห็นเรียวขาขาวนวลเนียนชวนสัมผัส หลี่เหว่ยลอบกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้เพราะเหตุใดหลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อคืนนี้มา ร่างกายของเขาก็ผิดแปลกไป คล้ายว่ามันต้องการเรื่องอย่างว่าอยู่ตลอดเวลา
เขาหลับตาลง พยายามระงับโทสะ และเดินเข้าไปดึงตัวจางลู่หลินให้ลุกขึ้นมาจากเตียง จางลู่หลินตกใจตื่นร่างกายของนางซวนเซซบเข้าไปที่แผงอกของเขา แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับผลักนางออกด้วยความรังเกียจ
"เจ้ามันไร้ยางอาย กลางวันแสกๆยังให้ท่ายั่วยวนข้าเช่นนี้"
จางลู่หลินถึงกับมึนงง นางก็นอนหลับของนางอยู่ดีดี ไปยั่วยวนเขาตอนไหนกัน
"ข้าไปยั่วท่านตอนไหน แล้วท่านเข้ามาทำสิ่งใดที่เรือนของข้า ไสหัวไป"
เมื่อถูกนางเอ่ยปากไล่ หลี่เหว่ยก็รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาตั้งท่าจะเข้าไปกระชากแขนนางอีกรอบแต่เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เย็นชาชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าทันที
ไม่เข้าไปดีกว่า เดี๋ยวถูกนางถีบจะได้ไม่คุ้มเสีย!
เขาไม่เข้าใจ จางลู่หลินเองก็เป็นสตรีบอบบางแต่เหตุใดจึงมือเท้าหนักเช่นนี้
"ว่าอย่างไร ท่านมาหาข้ามีอะไร"
"ข้าเพียงมาดูว่าหญิงใจบาปเช่นเจ้ามีสำนึกบ้างหรือไม่"
จางลู่หลินถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย เห็นทีหลี่เหว่ยคงจะโรคประสาทกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว เขาไม่ยอมจบเรื่องเมื่อคืนกับนาง
"ท่านจะเอาอย่างไร ไม่จบใช่หรือไม่ หากไม่จบเช่นนั้นมาต่ออีกรอบดีไหมละ"
"หา! เจ้ามันบ้าไปแล้ว"
“ท่านสิบ้า บุกเข้ามาหาเรื่องข้า กลับไปซะข้าไม่อยากทะเลาะกับท่าน อีกอย่างข้าต้องการพัก อีกสองวันจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม ท่านจะไปด้วยหรือไม่"
"ไม่ไป เจ้าไสหัวไปคนเดียวเถอะ"
"ได้ เช่นนั้นกลับไปเถอะ ข้าจะนอน อย่ามารบกวน"
เอ่ยจบนางก็ทิ้งกายลงนอนอีกครา หลี่เหว่ยมองดูเรือนกายบางระหงของนางคราหนึ่ง ในใจพลันร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสบัดชายเสื้อเดินหนีออกไปจากเรือนทันที ครั้นกลับมาถึงเรือนของตนก็ยังร้อนรนแทบทนไม่ไหว ต่อให้อาบน้ำสักกี่รอบก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น หลี่เหว่ยคิดได้วิธีหนึ่ง เขาเองก็เคยทำอยู่บ่อยครั้งเพื่อระบายความอัดอั้น
แต่การทำเช่นนี้จะต้องทำอย่างลับๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะขายหน้าบ่าวไพร่เอาได้!
กลางดึกคืนนั้นหลี่เหว่ยเหินกายขึ้นไปบนต้นไม้ จากตรงนี้ค่อนข้างลับตาคนและบรรยากาศก็ดีมาก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองหนานฉี ชายหนุ่มไม่รอช้าเขารีบชักรูดลำแท่งเอ็นร้อนขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะให้ถี่ระรัวมากยิ่งขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่ร่างกายจะเกร็งสะท้าน น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งออกมาจนเปรอะเปื้อนเต็มฝ่ามือ หลี่เหว่ยสลัดมันออกจากมืออย่างรีบร้อน ก่อนจะเอนกายพิงต้นไม่ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สุนทรีย์ตรงหน้า
โล่งสบายดีจัง!
ในขณะเดียวกันพ่อบ้านหม่าก็กำลังเดินมาตรวจตราความเรียบร้อยภายในจวน ชายวัยกลางคนเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะรู้สึกว่ามีน้ำอะไรบางอย่างหยดลงมาที่หน้าผากของเขาสองสามหมด พ่อบ้านหม่าชะงักพร้อมกับเงยหน้ามองไปโดยรอบแต่กลับไม่พบสิ่งใด
ฝนตกหรือ!
เขายกมือขึ้นลูบน้ำปริศนาออกจากใบหน้า พรอ้มกับใช้โคมไฟส่องดูเพื่อความแน่ใจ หว่างคิ้วของพ่อบ้านหม่าพลันขมวดมุ่น ก่อนจะเอ่ยอย่างเดือดดาล
"บัดซบ ใครเอาแป้งมันในครัวมาเล่นกัน! นี่มันไม่ใช่ฝน แต่มันคือแป้งมันชัดๆ!"
ชายชรารีบเช็ดแป้งมันออกจากใบหน้า แต่รู้สึกว่ากลิ่นมันออกจะติดคาวๆไปสักหน่อย เขาเดินไปพลางครุ่นคิดไปพลาง
เหตุใดแป้งมันจึงมีกลิ่นแปลกๆเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นของไม่ดี ไม่ได้การต้องรีบไปแจ้งพระชายาเอกให้จัดการถ่ายของเก่าออกไปและทำบัญชีครัวเรือนใหม่ จะใช้แป้งมันเสียๆเช่นนี้ต่อไปไม่ได้มันไม่ดีต่อสุขภาพของคนในจวน!
ตกเย็นวันนั้น พ่อบ้านหม่าก็เร่งรุดมาหาจางลู่หลินที่เรือนทันที ยามนี้จางลู่หลินกำลังตรวจทานบัญชีรายรับรายจ่ายภายในจวนอ๋องอย่างเคร่งเครียด นางเพิ่งเคยทำบัญชีเช่นนี้เป็นครั้งแรกย่อมต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ อย่างไรนี่ก็เป็นหน้าที่ของนางย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
"พระชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ"
จางลู่หลินละสายตาจากสมุดบัญชี ก่อนจะเอ่ยถามพ่อบ้านหม่า
"มีอันใดหรือพ่อบ้านหม่า"
พ่อบ้านหม่ามีท่าทีครุ่นคิด และเอ่ยกับเจ้านายอย่างจริงจัง
"เมื่อคืนบ่าวเดินตรวจภายในเรือน พบว่ามีคนมือสกปรกเอาแป้งมันมาผสมน้ำเล่นพ่ะย่ะค่ะ”
“แป้งมันหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ กลิ่นมันไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ติดจะคาวๆต้องเสียแล้วเป็นแน่ พระชายาเอก เห็นทีต้องรีบจัดการเรื่องในโรงครัวอย่างเร่งด่วนไม่อย่างนั้นพวกบ่าวไพร่จะเหิมเกริมเอาได้"
จางลู่หลินมึนงงสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดให้มากความ เพียงจัดการตามที่พ่อบ้านหม่าแนะนำ
คนบ้าที่ไหนกันจะเอาแป้งมันมาเล่นยามวิกาล จวนแห่งนี้มันเป็นโรคประสาททั้งนายทั้งบ่าวจริงๆ!
หลังจากดื่มกินกันอย่างสำราญใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางดึก หลี่เหวยกลับมายังที่พักของตน ก่อนจะพบว่ายามนี้จางลู่หลินยังคงไม่เข้านอน หญิงสาวเอาแต่มองดวงจันทร์ที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่วูบไหว เขาที่เริ่มมึนเมาเล็กน้อย ตรงเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบใบหน้าลงไปที่ซอกคอขาวเนียนของนาง พลางเอ่ยถาม"พระจันทร์น่ามองตรงที่ใดกัน ข้ายังน่ามองกว่าตั้งเยอะ"จางลู่หลินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง "หลงตนเองเกินไปแล้ว"หลี่เหว่ยหันตัวนางให้กลับมามองเขา จางลู่หลินมองสบตากับบุรุษตรงหน้าเล็กน้อย"จางลู่หลิน เจ้ามันน่ารังเกียจ น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใด"เพียงเขาเอ่ยปากพูดก็เอาแต่พ่นวาจาเหน็บแนมนางจนนางคร้านที่จะถกเถียงกับเขาแล้ว หญิงสาวยื่นสองมือไปประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ และพินิจมองอย่างชื่นชม"หลี่เหว่ย ข้าว่า ข้าคงชอบท่านเข้าแล้วล่ะ ไม่สิ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชอบเท่านั้นแต่ข้าหลงรักท่านแล้วต่างหาก"หลี่เหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายวูบไหว เขาไม่ได้เมามายถึงขนาดขาดสติ ย่อมฟังวาจาที่นางกล่าวออกมาได้อยางชัดเจนแจ่มแจ้ง ใจของเขาเต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าค
เมื่อสงครามจบลง หลี่เหว่ยได้สั่งให้ฝังศพเหล่าทหารกล้าเอาไว้ที่ริมแม่น้ำซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในชายแดน อีกทั้งยังเทสุราลงบนพื้นเป็นการไว้อาลัยให้กับพวกเขาที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาจนได้รับชัยชนะหลายบ้านที่บุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัยล้วนดีใจเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่ต้องสูญเสียบุตรชายในสนามรบต่างเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลี่เหว่ยเองก็ปลอบประโลมพวกเขาเป็นอย่างดีเมื่อได้เห็นว่าเขาอ่อนโยนกับเหล่าชาวบ้านเช่นนี้ จางลู่หลินก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย เขาเอาใจใส่ราษฎรเป็นอย่างดี เรื่องเล็กๆน้อยๆล้วนคิดอ่านอย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ที่หลี่หรงลอบนำกองกำลังทหารออกไปได้ และจัดการเผาทำลายหมู่บ้านหลานฮวา โชคดีที่หลีเหว่ยส่งคนเฝ้าจับตาดูมานานจึงช่วยเหล่าชาวบ้านออกมาได้ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหนานหลิงและปลอดภัยดี เฟิ่งเฉวียนก็ให้การดูแลพวกเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเมื่อได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเฉลิมฉลอง เหล่าชาวบ้านในชายแดนชำนาญการล่าสัตว์และใช้เหยี่ยว อาหารที่นำมาเลี้ยงฉลองจึงมีแต่อาหารที่ชาวบ้านกินกันเป็นประจำ แต่หลี่เหว่ยกลับไม่ได้รังเกียจ เขาร่วมดื่มกินกับเหล่าทหารอย่
เมื่อแผนการถูกเปิดเผย แน่นอนว่าหรงหวาที่เป็นท่านหญิงผู้มาจากแคว้นฉานซี รวมถึงคนของแคว้นฉานซีทั้งหมดต้องถูกจับตัวมาขังเอาไว้เพื่อรอการไต่สวนเว้นแต่อาซาน ที่หลี่เหวยพาเขาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตนและบอกความจริงทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนยามนี้ล้มป่วยหนักจึงยกมอบเรื่องราวทุกอย่างให้หลี่เหว่ยเป็นคนจัดการ หลี่เหว่ยจึงเสนอความเห็นว่าจะให้อาซานร่วมรบกับแคว้นฉานซี เขาจะทำได้หรือไม่ที่ต้องสู้รบกับแคว้นบ้านเกิดของตน อาซานกลับรับปากโดยไม่ลังเล เขาบอกเพียงว่าขอเพียงหลี่เหว่ยไม่ทำร้ายราฎรผู้บริสุทธิ์ของแคว้นฉานซีเขาก็ยินดีร่วมรบ ส่วนท่านอ๋องและขุนนางชั่วทั้งหลายก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดหลี่เหว่ยนับถือในความเด็ดเดี่ยวของอาซาน นับว่าคนผู้นี้ยังมีสติปัญญารู้คิดว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว หลี่เหว่ยก็ได้ทราบข่าวที่ส่งมาจากมู่กุ้ยเหมยที่อยู่ชายแดนว่า หลี่หรงนำกองทัพของตนเข้าร่วมกับแคว้นฉานซี บุกโจมตีชายแดนแคว้นหนานฉีอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้ทหารล้มตายไปไม่น้อย ยามนี้นางพยายามต้านอย่างสุดกำลัง ขอให้เขาส่งกำลังเสริมมาช่วยนางโดยด่วนฮ่องเต้หลี่เจี้ยนมีราชโองการให้หลี่เหว่ยยนำกองทัพไปปราบ
"ว่าอย่างไรนะ คนหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ หายไปได้เช่นไรกัน!"หรงหวาที่ได้ยินองค์รักษ์ลับเข้ามารายงานว่าบิดามารดาของอาซานได้หายออกไปจากจวนของแม่ทัพใหญ่มู่แล้วนางก็กำมือแน่น อีกทั้งยังลอบก่นด่าคนตระกูลมู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาแคว้นหนานฉีชินอ๋องหลี่หรงลูกพี่ลูกน้องของนางที่เกิดจากน้องสาวของท่านพ่อ ได้ฝากฝังนางให้แม่ทัพใหญ่มู่คอยดูแล นางจึงส่งบิดามารดาของอาซานไปคุมขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินของจวนตระกูลมู่ อีกทั้งยังให้แม่ทัพใหญ่มู่ทรมานคนตามที่นางสั่ง แม่ทัพใหญ่มู่เป็นคนของชินอ๋องหลี่หรง และเขาเองก็ร่วมมือกับแคว้นฉานซีต้องการจะโค่นล่มแคว้นหนานฉีเช่นเดียวกัน ความแค้นหนหลังของแม่ทัพใหญ่มู่และฮ่องเต้หลี่เจี้ยนนั้นนางไม่ได้ทราบรายละเอียดมากเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าดีไม่น้อยที่มีคนหนุนหลังคอยช่วยเหลือแคว้นฉานซีของนาง ซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มากฝีมือแห่งแคว้นเสียด้วยแต่ยามนี้คนกลับหายไป ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักโทษที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของจวนตระกูลมู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน หากเรื่องราวนี้รู้ถึงหูของฮ่องเต้หลี่เจี้ยนเกรงว่าแม้แต่นางก็อาจจะไม่รอดที่สำคัญ ยามนี้ไม่มีบิดามารดาขอ
ด้านหลี่เหว่ยนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เสด็จพ่อของตนฟัง รวมถึงบอกว่าคนที่ถูกจับมาจะสามารถเป็นพยานอย่างดีให้พวกเราได้ และแม่ทัพใหญ่มู่ก็ไม่อาจหนีรอดจากการจับกุมในครั้งนี้ไปได้ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่มู่จะทรยศและหักหลังเขาเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าก็เคยร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบด้วยกันมา ต่อสู่ฝ่าฟันทุกอย่างมาด้วยกัน แต่วันนี้กลับคิดทรยศหักหลังเขาได้อย่างเลือดเย็น"รักษาคนที่ถูกจับให้หายดี แล้วทำการไต่สวนพวกเขา หาหลักฐานให้ได้มากที่สุด อีกไม่นานพวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว เราต้องรีบจัดการก่อนที่คนร้ายจะไหวตัวทัน""พ่ะย่ะค่ะ""ที่สำคัญ พ่อเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่มู่คงไม่อาจจะวางแผนการนี้ได้คนเดียว ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นแน่ เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี""ลูกทราบแล้ว เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน"“อืม”เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วหลี่เหว่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เขายังไม่ได้บอกเรื่องของอาซานให้เสด็จพ่อทรงทราบ เพราะเรื่องของแม่ทัพใหญ่มู่ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว เรื่องอื่นเขายังจัดการด้วยตนเองได้ หากหรงหวายังไม่ยอมรามือจากน้องสาวของเขา เขาจะไม่เก็บนางเอาไว้ คงทำได้เพียงส่งศีรษะของนางกลับ
มู่กุ้ยเหมยขมวดคิ้วมุ่น นางสบตากับหลี่เหว่ยอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเกรงกลัว แต่ที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดหลี่เหวยจึงมาอยู่ในจวนของนางได้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงหลี่ฮวาที่ตามมาด้วยหลี่เหว่ยที่เห็นว่ามู่กุ้ยเหมยไม่เอ่ยตอบ ก็ตรงเข้ามาประชิดตัวนาง ก่อนจะยกมีดสั้นวางทาบลงบนลำคอขาวเนียนของมู่กุ้ยเหมยอย่างรวดเร็ว"ตอบมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า ต่อให้เป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการละเว้น"มู่กุ้ยเหมยที่ถูกหลี่เหว่ยข่มขู่กลับไม่โกธร นางรู้ดีว่ายามอยู่ในสถาณการณ์คับขัน หลี่เหว่ยก็จะเย็นชาเช่นนี้อยู่เสมอ นางรู้จักเขามานานหลายปี นิสัยของเขานางเข้าใจดีมู่กุ้ยเหมยรีบคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม"เดิมทีหม่อมฉันก็สงสัยในตัวบิดาตนเองเช่นกัน จึงเข้ามาตรวจดูในห้องตำรานี้ ไม่คาดคิดว่าจะพบห้องลับ และพบว่าเขาจับคนมาขังเอาไว้และทรมานคนเหล่านั้นอย่างทารุณเช่นนี้ องค์ชายใหญ่โปรดวางพระทัย ต่อให้ตัวต้องตาย กุ้ยเหมยก็ไม่มีทางทรยศบ้านเมืองเด็ดขาด หากพระองค์มาเพื่อช่วยคน เช่นนั้นก็รีบมือเถิดเพคะ หม่อมฉั