ยามเช้าของวันต่อมา หลังจากที่หลี่เหว่ยลืมตาตื่นขึ้นมานั้น เขารู้สึกปวดหนึบไปทั่วทั้งศีรษะ ชายหนุ่มยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเองคราหนึ่ง เมื่อได้สติกลับคืนมาแล้วเขาก็สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ
นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขานี่!
หลี่เหว่ยพยายามใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยละเอียด เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาถึงจวนก็เป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เสด็จแม่ได้ให้กงกงนำอาหารและสุรารสเลิศมาส่งให้เขาและจางลู่หลินที่จวน หลังจากดื่มสุราดอกซิ่งไปไม่นานเขาและนางก็ถูกขังเอาไว้ในห้อง และเขายังเห็นว่านางร้องไห้อีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็...
จูบนาง!
หลี่เหว่ยตื่นตระหนกถึงกับลุกพรวดขึ้นมานั่ง เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้นอนบนเตียงเลยด้วยซ้ำ แต่กลับนอนอยู่บนพื้่น ชายหนุ่มรู้สึกปวดหลังเป็นอย่างมาก
"อื้อ ปวดหัวจัง"
เมื่อได้ยินเสียงของจางลู่หลิน หลี่เหว่ยจึงหันขวับไปมองข้างกายตน เขาสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นว่ายามนี้จางลู่หลินกำลังนอนอยู่บนพื้น บนร่างกายมีอาภรณ์ปกปิดเอาไว้อย่างลวกๆ หญิงสาวบิดกายไปมาด้วยความเกียจคร้าน ก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อมองให้ชัดก็เห็นว่ายามนี้หลี่เหว่ยกำลังนั่งมองหน้านางอยู่ด้วยความตกใจ ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างมีผ้าปิดเอาไว้เล็กน้อย จางลู่หลินเบิกตากว้างพร้อมกับถลึงตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เพราะนางรีบร้อนมากเกินไป จึงทำให้ผ้าผ่อนที่ปกปิกเรือนกายหลุดร่วงลงไปกองที่พื้น เผยให้เห็นเรือนกายขาวเนียนละเอียดทุกสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
"กรี๊ด!"
จางลู่หลินกรีดร้องจนสุดเสียง ก่อนจะยกเท้าถีบเข้าไปที่กลางอกของหลี่เหว่ยจนเขาหงายท้องล้มตึง ศีรษะกระแทกพื้นจนปวดหนึบ ชายหนุ่มมองจางลู่หลินตาขวาง
"เจ้าถีบข้าทำไมกัน! บัดซบ"
"ท่านลวนลามข้า ท่านฉวยโอกาศกับข้า"
เอ่ยจบนางก็พุ่งเข้ามาหมายจะทุบตีเขาอีกรอบ หลี่เหว่ยรีบใช้มือของตนรวบจับข้อมือเล็กของจางลู่หลินเอาไว้ ก่อนจะกดนางลงไปกับพื้นโดยมีเขาคล่อมทับอยู่บนตัวนาง จางลู่หลินเลื่อนสายตาลงไปที่เบื้องล่าง และลอบอุทานในใจ
ใหญ่จัง!
หล่ี่เหว่ยไม่อยากมองร่างกายของสตรีตรงหน้า แต่เหมือนสายตาเจ้ากรรมจะไม่ยอมเชื่อฟัง เขากวาดตามองไปทั่วเรือนกายงามสะพรั่งของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผิวของนางขาวนวลเนียนราวหิมะ ไม่มีรอยขีดข่วนราวกับได้รับการบำรุงดูแลมาเป็นอย่างดี หน้าอกหน้าใจก็ใหญ่โตชวนให้เคล้นคลึง อีกทั้งเบื้องล่างที่มีแพรไหมดกดำปกคลุมมันช่างเย้ายวนสายตาของเขาเสียเหลือเกิน
คนภายนอกต่างเล่าลือกันว่าเขาเป็นพวกบ้ากาม มักเรียกสตรีมาปรนนิบัติไม่ซ้ำหน้า แต่แท้จริงแล้วเขาไม่เคยหลับนอนกับสตรีเหล่านั้นเลยสักครั้งเดียว เขาเพียงชมพวกนางร่ายรำก็เท่านั้น อย่างไรเขาก็ไม่อยากมีความผูกพันทางกายกับสตรีนางใด สตรีคนเดียวที่เขาจะทอดกายให้ต้องเป็นสตรีที่เขารักเพียงคนเดียวเท่านั้นเหมือนกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ที่เป็นรักแรกและคนแรกของกันและกัน
แต่ยามนี้เขากลับสูญเสียพรหมจรรย์ให้กับจางลู่หลินสตรีที่เขาไม่ชอบหน้าอย่างสุดซึ้ง!
สวรรค์ ! นี่เขาเสียตัวแล้วอย่างนั้นหรือ!
จางลู่หลินที่เห็นหลี่เหว่ยมีท่าทางเหม่อลอยราวกับสตรีน้อยที่ถูกพรากพรหมจรรย์ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น มันควรเป็นนางไม่ใช่หรือที่ต้องมีท่าทีเช่นนั้น
นางอาศัยจังหวะที่เขากำลังเหม่อลอย ผลักชายหนุ่มตรงหน้าออกห่างจากตนเอง และรีบหาเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างลวกๆ พยายามครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก ว่านางและเขากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
สุราดอกซิ่ง!
หลังจากดื่มสุรารสชาติเยี่ยมแก้วนั้นไป นางก็ร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว
หลี่เหว่ยเองก็รีบหาเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างรีบร้อนเช่นเดียวกัน เขาและนางยามนี้มีท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด หลี่เหว่ยพยายามรวบรวมสติและเอ่ยกับจางลู่หลินอย่างเย็นชาห่างเหิน
"อย่าคิดว่าเจ้าได้ตัวข้าไปแล้วจะได้ใจข้า ฝันไปเถอะ"
จางลู่หลินส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง เขาคิดว่าตนเองเป็นสตรีน้อยไร้เดียงสาหรืออย่างไรกัน
"ประโยคนี้ควรเป็นข้าที่ต้องเอ่ยมากกว่ากระมัง ข้าต้องมาสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับท่านอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ท่านจะรับผิดชอบยังไง"
"ให้มันน้อยๆหน่อย ข้าเองก็สูญเสียพรหมจรรย์ให้เจ้าเช่นเดียวกัน!"
"ท่านว่าอย่างไรนะ"
จางลู่หลินคิดว่าตนเองหูฝาดไป ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเขาพาสตรีไม่ซ้ำหน้าเข้าจวนมาปรนนิบัติ ย่อมต้องหลับนอนกับพวกนางอยู่แล้ว แต่วันนี้เขากลับบอกนางว่าเขายังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่
นี่เรื่องประหลาดอันใดกันเนี่ย!
หลี่เหว่ยรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก คนที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเช่นนี้ก็คือเสด็จแม่ เขาทำได้เพียงเจ็บแค้นใจเท่านั้น แต่ไม่อาจเอาผิดมารดาตนได้
เมื่อเห็นว่าระหว่างเขาและนางข้าวสารได้กลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้วก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก นางมาจากยุคปัจจุบัน จึงพอจะเข้าใจได้ ไม่ได้ตีโพยตีพายอันใด จะโวยวายไปทำไมกัน ถึงด่าทอทุบตีเขาไปก็แก้ไขสิ่งใดไม่ได้ คิดซะว่านางได้ลิ้มลองบุรุษรูปงามก็แล้วกัน
แต่น่าเสียดาย ตอนที่เขาทำนางควรจะมีสติรับรู้สิ!
"ว่าแต่ ท่านและข้า เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าจำได้ว่า หลังจากดื่มสุราดอกซิ่งเข้าไป ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย"
"เหอะ ก็เพราะเสด็จแม่อยากให้เราเข้าหอกันจึงได้ทำเช่นนี้ ถึงขั้นลอบวางยาปลุกกำหนัดในสุราดอกซิ่ง ลู่หลิน เจ้าฝันไปเถอะ มันจะไม่มีครั้งที่สอง ไม่มีแน่นอน เจ้าอย่าหวังว่าจะได้แตะต้องตัวข้าอีก"
"อืม"
เมื่อเห็นว่านางตอบรับอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน อีกทั้งยังทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เขาก็ถึงกับตื่นตระหนกทันที
“เจ้าไม่เสียใจไม่ร้องไห้เลยหรือ นั่นมันพรหมจรรย์เลยนะ"
จางลู่หลินยกมือขึ้นเกาศีรษะตนเองคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาพลางเอ่ยปลอบใจ
"ท่านทำใจเถอะ อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้ มิสู้เก็บตัวสวดมนต์ทำให้จิตใจสงบสุขเถอะนะ หากท่านอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ข้าจะนั่งปลอบใจท่านเอง"
"บัดซบ!"
เขาถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก และไม่อยากจะเจอหน้านางอีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นยื นหวังจะเดินจากไป ในขณะเดียวกันจางลู่หลินก็ลุกขึ้นยืนคิดจะเดินออกไปจากห้องนี้พร้อมกับเขาเช่นเดียวกัน ยามนี้ประตูห้องด้านนอกคงถูกปลดล็อคกุญแจแล้ว หากออกไปได้ หลี่เหว่ยคิดว่าจะตรงไปวังหลวงและถีบกงกงชราให้หลาบจำสักหน
ทว่าอยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผากจนแสบร้อนไปหมด ชายหนุ่มมองไปโดยรอบเห็นว่ามีกาสุราอยู่ จึงยกขึ้นดื่มเพื่อคลายความกระหาย จางลู่หลินเองก็กระหายน้ำเช่นกัน จึงมาขอดื่มกับเขาไปหนึ่งจอก ก่อนที่คนทั้งสองจะชะงักและนึกขึ้นมาได้ว่ากาสุราใบนั้นมียาปลุกกำหนัดผสมเอาไว้อยู่
หลี่เหว่ยและจางลู่หลินหันมามองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ต่างฝ่ายจะพ่นสุราดอกซิ่งใส่หน้ากันจนเปียกชุ่มด้วยความตกใจ!
จางลู่หลินยกมือขึ้นลูบใบหน้าตนเอง ในใจนึกอยากจะถีบคนตรงหน้าสักหน!
ช่างเถิด!อย่างน้อยก็คายออกมาทัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบกลับไปที่เรือนของตนเองทันที ส่วนหลี่เหว่ยก็รีบสั่งให้พ่อบ้านหม่านำน้ำร้อนเข้ามา เขาจะอาบน้ำเพื่อล้างรอยบาปนี้ออกไปเสีย อีกทั้งยังก่นด่าพ่อบ้านหม่าไปอีกหลายคำรบ ชายหนุ่มเหนื่อยล้ายิ่งนัก จึงสั่งให้คนนำอาหารเช้าเข้ามา อาหารเช้าวันนี้มีซาลาเปานุ่มๆสองก้อน หลี่เหว่ยชะงักไปชั่วขณะ ภาพหน้าอกของจางลู่หลินลอยวนเข้ามาในหัว เขายื่นมือไปหยิบซาลาเปาสองลูกนั้นมาบีบอย่างเหม่อลอย จนพ่อบ้านหม่า ต้องรีบเอ่ยถาม
"องค์ชายใหญ่ พระองค์ทรงบีบซาลาเปาด้วยเหตุใดกันพ่ะย่ะค่ะ"
หลี่เหว่ยพลันได้สติ มารดามันเถอะ เขาเห็นซาลาเปาเป็นหน้าอกของนางจึงเผลอบีบมันอย่างเคลิบเคลิ้ม นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับเขากันแน่
เขารีบโยนซาลาเปาทิ้งลงพื้นอย่างลนลาน พร้อมกับยกมือลูบอกตนเองป้อยๆพลางพึมพำสวดมนต์ซ้ำไปซ้ำมา พ่อบ้านหม่าที่เห็นเช่นนั้นก็ลอบอุทานในใจ
องค์ชายใหญ่โรคประสาทกำเริบอีกแล้วรีบหนีดีกว่า!
หลังจากดื่มกินกันอย่างสำราญใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางดึก หลี่เหวยกลับมายังที่พักของตน ก่อนจะพบว่ายามนี้จางลู่หลินยังคงไม่เข้านอน หญิงสาวเอาแต่มองดวงจันทร์ที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่วูบไหว เขาที่เริ่มมึนเมาเล็กน้อย ตรงเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบใบหน้าลงไปที่ซอกคอขาวเนียนของนาง พลางเอ่ยถาม"พระจันทร์น่ามองตรงที่ใดกัน ข้ายังน่ามองกว่าตั้งเยอะ"จางลู่หลินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง "หลงตนเองเกินไปแล้ว"หลี่เหว่ยหันตัวนางให้กลับมามองเขา จางลู่หลินมองสบตากับบุรุษตรงหน้าเล็กน้อย"จางลู่หลิน เจ้ามันน่ารังเกียจ น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใด"เพียงเขาเอ่ยปากพูดก็เอาแต่พ่นวาจาเหน็บแนมนางจนนางคร้านที่จะถกเถียงกับเขาแล้ว หญิงสาวยื่นสองมือไปประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ และพินิจมองอย่างชื่นชม"หลี่เหว่ย ข้าว่า ข้าคงชอบท่านเข้าแล้วล่ะ ไม่สิ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชอบเท่านั้นแต่ข้าหลงรักท่านแล้วต่างหาก"หลี่เหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายวูบไหว เขาไม่ได้เมามายถึงขนาดขาดสติ ย่อมฟังวาจาที่นางกล่าวออกมาได้อยางชัดเจนแจ่มแจ้ง ใจของเขาเต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าค
เมื่อสงครามจบลง หลี่เหว่ยได้สั่งให้ฝังศพเหล่าทหารกล้าเอาไว้ที่ริมแม่น้ำซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในชายแดน อีกทั้งยังเทสุราลงบนพื้นเป็นการไว้อาลัยให้กับพวกเขาที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาจนได้รับชัยชนะหลายบ้านที่บุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัยล้วนดีใจเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่ต้องสูญเสียบุตรชายในสนามรบต่างเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลี่เหว่ยเองก็ปลอบประโลมพวกเขาเป็นอย่างดีเมื่อได้เห็นว่าเขาอ่อนโยนกับเหล่าชาวบ้านเช่นนี้ จางลู่หลินก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย เขาเอาใจใส่ราษฎรเป็นอย่างดี เรื่องเล็กๆน้อยๆล้วนคิดอ่านอย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ที่หลี่หรงลอบนำกองกำลังทหารออกไปได้ และจัดการเผาทำลายหมู่บ้านหลานฮวา โชคดีที่หลีเหว่ยส่งคนเฝ้าจับตาดูมานานจึงช่วยเหล่าชาวบ้านออกมาได้ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหนานหลิงและปลอดภัยดี เฟิ่งเฉวียนก็ให้การดูแลพวกเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเมื่อได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเฉลิมฉลอง เหล่าชาวบ้านในชายแดนชำนาญการล่าสัตว์และใช้เหยี่ยว อาหารที่นำมาเลี้ยงฉลองจึงมีแต่อาหารที่ชาวบ้านกินกันเป็นประจำ แต่หลี่เหว่ยกลับไม่ได้รังเกียจ เขาร่วมดื่มกินกับเหล่าทหารอย่
เมื่อแผนการถูกเปิดเผย แน่นอนว่าหรงหวาที่เป็นท่านหญิงผู้มาจากแคว้นฉานซี รวมถึงคนของแคว้นฉานซีทั้งหมดต้องถูกจับตัวมาขังเอาไว้เพื่อรอการไต่สวนเว้นแต่อาซาน ที่หลี่เหวยพาเขาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตนและบอกความจริงทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนยามนี้ล้มป่วยหนักจึงยกมอบเรื่องราวทุกอย่างให้หลี่เหว่ยเป็นคนจัดการ หลี่เหว่ยจึงเสนอความเห็นว่าจะให้อาซานร่วมรบกับแคว้นฉานซี เขาจะทำได้หรือไม่ที่ต้องสู้รบกับแคว้นบ้านเกิดของตน อาซานกลับรับปากโดยไม่ลังเล เขาบอกเพียงว่าขอเพียงหลี่เหว่ยไม่ทำร้ายราฎรผู้บริสุทธิ์ของแคว้นฉานซีเขาก็ยินดีร่วมรบ ส่วนท่านอ๋องและขุนนางชั่วทั้งหลายก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดหลี่เหว่ยนับถือในความเด็ดเดี่ยวของอาซาน นับว่าคนผู้นี้ยังมีสติปัญญารู้คิดว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว หลี่เหว่ยก็ได้ทราบข่าวที่ส่งมาจากมู่กุ้ยเหมยที่อยู่ชายแดนว่า หลี่หรงนำกองทัพของตนเข้าร่วมกับแคว้นฉานซี บุกโจมตีชายแดนแคว้นหนานฉีอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้ทหารล้มตายไปไม่น้อย ยามนี้นางพยายามต้านอย่างสุดกำลัง ขอให้เขาส่งกำลังเสริมมาช่วยนางโดยด่วนฮ่องเต้หลี่เจี้ยนมีราชโองการให้หลี่เหว่ยยนำกองทัพไปปราบ
"ว่าอย่างไรนะ คนหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ หายไปได้เช่นไรกัน!"หรงหวาที่ได้ยินองค์รักษ์ลับเข้ามารายงานว่าบิดามารดาของอาซานได้หายออกไปจากจวนของแม่ทัพใหญ่มู่แล้วนางก็กำมือแน่น อีกทั้งยังลอบก่นด่าคนตระกูลมู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาแคว้นหนานฉีชินอ๋องหลี่หรงลูกพี่ลูกน้องของนางที่เกิดจากน้องสาวของท่านพ่อ ได้ฝากฝังนางให้แม่ทัพใหญ่มู่คอยดูแล นางจึงส่งบิดามารดาของอาซานไปคุมขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินของจวนตระกูลมู่ อีกทั้งยังให้แม่ทัพใหญ่มู่ทรมานคนตามที่นางสั่ง แม่ทัพใหญ่มู่เป็นคนของชินอ๋องหลี่หรง และเขาเองก็ร่วมมือกับแคว้นฉานซีต้องการจะโค่นล่มแคว้นหนานฉีเช่นเดียวกัน ความแค้นหนหลังของแม่ทัพใหญ่มู่และฮ่องเต้หลี่เจี้ยนนั้นนางไม่ได้ทราบรายละเอียดมากเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าดีไม่น้อยที่มีคนหนุนหลังคอยช่วยเหลือแคว้นฉานซีของนาง ซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มากฝีมือแห่งแคว้นเสียด้วยแต่ยามนี้คนกลับหายไป ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักโทษที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของจวนตระกูลมู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน หากเรื่องราวนี้รู้ถึงหูของฮ่องเต้หลี่เจี้ยนเกรงว่าแม้แต่นางก็อาจจะไม่รอดที่สำคัญ ยามนี้ไม่มีบิดามารดาขอ
ด้านหลี่เหว่ยนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เสด็จพ่อของตนฟัง รวมถึงบอกว่าคนที่ถูกจับมาจะสามารถเป็นพยานอย่างดีให้พวกเราได้ และแม่ทัพใหญ่มู่ก็ไม่อาจหนีรอดจากการจับกุมในครั้งนี้ไปได้ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่มู่จะทรยศและหักหลังเขาเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าก็เคยร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบด้วยกันมา ต่อสู่ฝ่าฟันทุกอย่างมาด้วยกัน แต่วันนี้กลับคิดทรยศหักหลังเขาได้อย่างเลือดเย็น"รักษาคนที่ถูกจับให้หายดี แล้วทำการไต่สวนพวกเขา หาหลักฐานให้ได้มากที่สุด อีกไม่นานพวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว เราต้องรีบจัดการก่อนที่คนร้ายจะไหวตัวทัน""พ่ะย่ะค่ะ""ที่สำคัญ พ่อเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่มู่คงไม่อาจจะวางแผนการนี้ได้คนเดียว ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นแน่ เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี""ลูกทราบแล้ว เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน"“อืม”เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วหลี่เหว่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เขายังไม่ได้บอกเรื่องของอาซานให้เสด็จพ่อทรงทราบ เพราะเรื่องของแม่ทัพใหญ่มู่ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว เรื่องอื่นเขายังจัดการด้วยตนเองได้ หากหรงหวายังไม่ยอมรามือจากน้องสาวของเขา เขาจะไม่เก็บนางเอาไว้ คงทำได้เพียงส่งศีรษะของนางกลับ
มู่กุ้ยเหมยขมวดคิ้วมุ่น นางสบตากับหลี่เหว่ยอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเกรงกลัว แต่ที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดหลี่เหวยจึงมาอยู่ในจวนของนางได้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงหลี่ฮวาที่ตามมาด้วยหลี่เหว่ยที่เห็นว่ามู่กุ้ยเหมยไม่เอ่ยตอบ ก็ตรงเข้ามาประชิดตัวนาง ก่อนจะยกมีดสั้นวางทาบลงบนลำคอขาวเนียนของมู่กุ้ยเหมยอย่างรวดเร็ว"ตอบมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า ต่อให้เป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการละเว้น"มู่กุ้ยเหมยที่ถูกหลี่เหว่ยข่มขู่กลับไม่โกธร นางรู้ดีว่ายามอยู่ในสถาณการณ์คับขัน หลี่เหว่ยก็จะเย็นชาเช่นนี้อยู่เสมอ นางรู้จักเขามานานหลายปี นิสัยของเขานางเข้าใจดีมู่กุ้ยเหมยรีบคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม"เดิมทีหม่อมฉันก็สงสัยในตัวบิดาตนเองเช่นกัน จึงเข้ามาตรวจดูในห้องตำรานี้ ไม่คาดคิดว่าจะพบห้องลับ และพบว่าเขาจับคนมาขังเอาไว้และทรมานคนเหล่านั้นอย่างทารุณเช่นนี้ องค์ชายใหญ่โปรดวางพระทัย ต่อให้ตัวต้องตาย กุ้ยเหมยก็ไม่มีทางทรยศบ้านเมืองเด็ดขาด หากพระองค์มาเพื่อช่วยคน เช่นนั้นก็รีบมือเถิดเพคะ หม่อมฉั