Share

บทที่ 7

ได้ยินอย่างนั้น มหาเสนาบดีฉู่จึงได้หันมามอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ย ก็เห็นฉู่เนี่ยนซียืนชะงักอยู่อย่างนั้น ด้วยท่าทางที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความรีบเร่ง สีหน้าของนางดูแตกต่างออกไปจากปกติ

มหาเสนาบดีฉู่เองก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

กระทั่งหนังสือในมือหล่นลงบนโต๊ะ ชายชราก็เริ่มรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เขารีบยกเสื้อคลุมขึ้นและลุกยืนด้านหลังโต๊ะ รีบก้าวเข้าไปจับมือฉู่เนี่ยนซีอย่างเร็ว

“ทำไมเจ้าถึงไม่บอกคนรับใช้ว่ามาถึงแล้ว? รีบเข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วให้พ่อมองเจ้าชัด ๆ” น้ำเสียงของมหาเสนาบดีฉู่สั่นเครือเล็กน้อย ไม่อาจฝืนแสดงความน่าเกรงขามได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นลูกสาว

เขาจับมือฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

ฉู่เนี่ยนซีตามผู้เป็นพ่อไปด้วยแววตาที่ว่างเปล่ามึนงง ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขานั่งลง แล้วเอ่ยถามเขาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อแกล้งป่วยเพื่อที่จะทำให้ลูกได้ออกมาจากวังของท่านอ๋องหลีใช่หรือไม่?”

เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฮูหยินเดินออกมาจากห้องด้านข้างด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลย แม่ได้ยินมาว่าท่านอ๋องหลีได้พาคุณหนูซ่างกวานคนนั้นมาเป็นนางสนม พ่อของเจ้าก็นอนไม่หลับทั้งคืน กลัวว่าเจ้าจะน้อยใจ ก็เลยรีบหาข้ออ้างหลอกเจ้าให้ออกมา”

ฮูหยินฉู่รีบหยิบขนมที่เพิ่งอบออกมาจากมือสาวใช้อย่างเร็ว ก่อนจะยื่นให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรัก “รีบชิมดูสิ”

ฉู่เนี่ยนซีหยิบขนมขึ้นมากัดเบา ๆ ความหอมหวานกำลังกรุ่นอยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย

หลับตาลงด้วยดวงตาและหัวใจที่ร้อนผ่าว

ในที่สุดนางก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในยุคสมัยนี้

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสบายดี ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ”

ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพ่อและแม่ด้วยแววตาที่ทั้งรักและสิ้นหวัง บางทีการที่ได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ อาจจะเป็นพรที่พระเจ้าตั้งใจมอบให้นางแล้วก็ได้

ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซูกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง และถอนหายใจออกมาเบา ๆ ฉู่เจี้ยนอี้ที่กำลังนั่งอยู่ในรถเข็นก็ตาแดงก่ำ

ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางสง่างามราวกับรูปปั้น โค้งมุมปากเล็กน้อย หลังจากที่มองเธออยู่นาน ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องหลีปฏิบัติกับเจ้าดีหรือไม่ ถึงไม่ได้กลับมาบ้านนานขนาดนี้ ผอมลงไปเยอะเลย”

ฉู่เนี่ยนซีหันไปมองผู้ที่มาใหม่ ก็พบว่าเป็นฉู่เจี้ยนอี้พี่ชายคนโตของนางนั่นเอง

ย้อนกลับไปตอนนั้นที่นางโกรธครอบครัวแล้วหนีออกจากบ้าน นางตกอยู่ในอันตราย และเขาเองที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามาช่วยนางเอาไว้

แต่ด้วยความเอาแต่ใจของนางเอง ที่ทำให้ชายผู้ร่าเริงคนนี้ต้องกลายเป็นคนพิการ เขาต้องทนทุกข์จากการโดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ไม่ใช่แค่นั้น เจ้าของร่างเดิมคนนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แม้แต่จะไปเยี่ยมเขา จนกระทั่งแต่งงาน

เธอจึงคิดว่าฉู่เจี้ยนอี้คงจะเสียใจเมื่อพบนางอีกครั้ง แต่กลับไม่คิดว่าคำพูดแรกที่เขาเอ่ยจะเป็นความห่วงใยเช่นนี้

ชั่วครู่ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่หลากหลายภายในใจ

นางคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ช่วงนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ได้ยินนางถามออกมาแบบนั้น จ้าวม่อเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะจับรถเข็นแน่น อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เหลือไว้เพียงแววตาแห่งความกังวลที่มีต่อนาง

แต่เมื่อฉู่เจี้ยนอี้ได้ยินคำพูดเรียบง่ายเหล่านี้ เขาก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปรากฏรอยยิ้มที่ลึกขึ้นบนใบหน้า

ยิ่งฉู่เจี้ยนอี้ดูสง่างามและใจดีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งน่าเสียดายที่เขาจะไม่สามารถยืนได้อีกต่อไปแล้ว

จ้าวม่อเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังรถเข็น ก้มลงมองด้วยแววตาที่แดงก่ำ

ในครั้งแรกที่นางเห็นฉู่เจี้ยนอี้ ก็รู้สึกได้ว่าเป็นรักแรกพบ

แต่น่าเสียดายที่ผู้เป็นแม่กลับบูชาเงินเท่าชีวิต และคิดว่าการที่ให้นางแต่งงานกับลูกชายคนโตของมหาเสนาบดีจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและโชคดี แต่...

เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของฉู่เจี้ยนอี้ไม่มีทางรักษาให้หาย ทั้งแม่และครอบครัวของนางก็บังคับให้นางหย่ากับเขา

แต่ให้ตายอย่างไร นางก็จะไม่หย่ากับเขา!

หรือแม้ว่าจะต้องตาย นางก็จะยังเป็นภรรยาของฉู่เจี้ยนอี้ เป็นผีอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้กำลังทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็ได้แต่ถอนหายใจ

แม้จะไม่ต้องพูดอะไร นางก็เข้าใจหัวอกของพี่สะใภ้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ครอบครัวได้ทักทายกัน ฉู่เนี่ยนซีก็กระแอมเล็กน้อย แล้วจับมือของผู้เป็นพ่อ พลางเอ่ยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านพ่อ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้มีโอกาสไปร่ำเรียนกับหมอมีฝีมือมา ข้าได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่างจากเขา ทำไมไม่ลองให้ข้าตรวจดูอาการของพี่ชายข้าดูกันเล่า บางทีขาของพี่ชายข้าอาจจะมีทางรักษาหายก็เป็นได้”

ฉู่เจี้ยนอี้ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง พลางมีประกายบางอย่างฉายผ่านในแววตาของเขาอย่างชัดเจน ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพอารมณ์เดิม “พี่รู้ดีที่สุดว่าอาการของขาที่เป็นยังไง ท่านพ่อเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาทางรักษามัน แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พี่อาจจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต แล้วตอนนี้พี่เองก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปแล้ว”

ฉู่เนี่ยนซีมองดูท่าทางที่ไม่แยแสของพี่ชาย ภายในใจก็รู้สึกว่าถูกบีบคั้นเป็นอย่างมาก

ฉู่เจี้ยนอี้กำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์ และเป็นที่น่าภาคภูมิใจของทุกคน แต่ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถเข็นเท่านั้น คนอื่น ๆ ยังรู้สึกเสียใจไปด้วย แล้วนับประสาอะไรกับความรู้สึกของคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้อง

เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อปลอบใจพวกเขาก็เท่านั้น

ฉู่เนี่ยนซีหายใจเข้าลึก แล้วก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวแล้วนั่งลงต่อหน้าของเขา ก่อนจะยกมือขึ้นวางบนขา “ตอนนั้นที่น้องอย่างข้าเอาแต่ใจและไม่แยแสท่าน ท่านพี่จะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”

พอพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ฮูหยินฉู่ที่เงียบมาจนกระทั่งตอนนี้ ก็เริ่มมีแววตาที่แดงก่ำ

ในตอนที่เกิดสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ที่จวนมหาเสนาบดีเองก็ได้ผ่านช่วงเวลาขึ้นลงแบบนั้นมาก็หลายครั้ง ฉู่เจี้ยนอี้ผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนโตกลับยังมีความมั่นคง ยิ่งทำให้คนที่มองมารู้สึกปวดใจยิ่งนัก รวมถึงลูกชายอีกสองคนอย่างฉู่เจี้ยนหยาง และฉู่เจี้ยนซิงเองก็ต้องเป็นทั้งพลเรือนและทหารมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน

ใครต่างก็คิดว่าลูกชายคนโตจะต้องได้สืบทอดเป็นมหาเสนาบดีคนสำคัญต่อไป แต่หารู้ไม่ว่าขาคู่นี้...

ด้วยเหตุนี้ผู้คนในเมืองจึงตำหนิฉู่เนี่ยนซี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงตัวจ้าวม่อเหยียนเองด้วย

“พูดอะไร เจ้าเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า สิ่งที่เกิดขึ้นข้าไม่เคยโทษเจ้าเลย เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ” ฉู่เจี้ยนอี้ตบที่หลังมือของเธอเบา ๆ แม้คำพูดจะเอ่ยเชิงตำหนิ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรัก

“แม้ว่าพี่ใหญ่จะไม่ตำหนิ แต่ข้าก็ยังกังวลเรื่องนี้อยู่ในใจเสมอ ท่านพี่ให้ข้าลองดูได้ไหม?”

“ท่านมั่นใจขนาดไหนกัน? ข้าเองก็ได้ยินมาว่าพระชายาหลีมิได้ฝึกปรือฝีมือมานาน พี่ชายของท่านเป็นแบบนี้ ทำไมถึงได้ใช้เขาเป็นที่ทดสอบฝีมือเช่นนี้กัน”

พี่สะใภ้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉู่เจี้ยนอี้เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

“เหยียนเอ๋อร์!” ฉู่เจี้ยนอี้ตะโกนเสียงดัง

แม้จะอยากพูดต่อ แต่นางก็ต้องหยุดลงทันที

ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืน พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สนใจคำว่า “พระชายาหลี” ของพี่สะใภ้ที่กำลังเอ่ยตำหนินาง “ข้ารู้ว่าท่านอยากจะตำหนิข้า ข้าเองก็เคยทำผิดมามาก แต่เขาเป็นพี่ชายที่ข้ารักที่สุด ทำไมข้าต้องล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้ด้วย? ข้ามั่นใจพอที่จะรักษาอาการของพี่ชายข้าได้ ท่านไม่อยากเห็นพี่ชายข้ากลับมายืนได้อีกหรืออย่างไร?”

น้ำเสียงของฉู่เนี่ยนซีแสดงออกถึงความจริงใจและจริงจัง ความมั่นใจของนางมีมากพอที่จะสามารถทำให้ทุกคนยอมเชื่อไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ดวงตาที่มีรอยเหี่ยวย่นของเสนาบดีฉู่เปล่งประกายในระหว่างที่มองฉู่เจี้ยนอี้ ก่อนจะทำได้เพียงถอนหายใจออกมา

แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อ แต่คนที่จะตัดสินใจก็ต้องเป็นฉู่เจี้ยนอี้และภรรยาของเขา

ขณะที่เผชิญกับแววตาที่จ้องมองมาของพี่สะใภ้ ฉู่เนี่ยนซีก็ได้แต่นึกถึงอาการบาดเจ็บของพี่ชายอยู่ภายในใจ รอการยืนยันจากผู้เป็นพี่สะใภ้อย่างไม่ลดละความพยายาม

ฉู่เจี้ยนอี้หรี่ตาลงแล้วถอนหายใจเบา ๆ พลางแตะหลังมือของภรรยาไปหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยเบา ๆ “เจ้าเองก็ทำงานหนักมาหลายปีแล้ว น้องสาวของข้าไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ ข้าเชื่อใจนาง อาการขาของข้าเช่นนี้ ลองดูก็คงไม่เสียหายอะไร”

เมื่อฟังน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขา กำแพงที่พี่สะใภ้สร้างขึ้นก็พังทลายลงโดยสิ้นเชิง

ฉู่เนี่ยนซี่ได้รับการยืนยันแล้ว ภายในหัวใจก็เริ่มสงบ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “เช่นนั้นไปที่ห้องด้านข้างกับข้าเถอะ ข้าจะหาทางทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกแน่นอน”

จ้าวม่อเหยียนอยากจะพูดอย่างอื่น แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับยิ้มเบา ๆ แล้วเดินไปวางมือลงบนมือของภรรยาที่จับรถเข็นอยู่

เห็นได้ชัดว่าจ้าวม่อเหยียนยอมถอยหลังออกมา ไม่รู้ว่าที่ยอมแพ้เป็นเพราะคำพูดของฉู่เนี่ยนซี หรือว่ารอยยิ้มที่อบอุ่นกันแน่

เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ได้ดึงมือของนางออก นางจึงใช้แรงที่มีผลักรถเข็นของพี่ชายเข้าไปยังห้องด้านข้างด้วยตัวเอง

เสนาบดีฉู่และภรรยามองหน้ากันแล้วก็รีบเดินตามไป พวกเขายังขอให้คนของตัวเองคอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกจวนตามต้องการ

ทุกคนมาถึงยังห้อง ฉู่เนี่ยนซีเข็นฉู่เจี้ยนอี้ไปที่หน้าต่าง ก่อนหน้านี้นางได้เก็บถุงห่อเข็มเงินเอาไว้ในที่เก็บตรงแขนเสื้อไว้แล้ว ก่อนจะค่อย ๆ หยิบเข็มเงินออกมา

ฉู่เนี่ยนซูเปิดถุงเข็มเงินที่มีเข็มเงินหลายร้อยเล่มความยาวหนาไม่เท่ากันบนโต๊ะ

ทุกคนเห็นแล้วก็เข้าใจทันทีว่าเข็มเหล่านี้มันดูแตกต่างจากเข็มทั่วไป

นางมองฉู่เจี้ยนอี้ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบกลับนางเช่นกัน

จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็คุกเข่าลง นิ้วเรียวหยิบเข็มเงินสองสามเล่มขึ้นมา ก่อนจะถกขากางเกงของผู้เป็นพี่ชายขึ้น

ขาเรียวยาวปรากฏขึ้นต่อสายตา

ลักษณะแตกต่างจากขาของคนปกติทั่วไป ซีดเผือดแล้วก็มีสีเขียวช้ำเต็มไปหมด

ราวกับสีร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว ก่อนจะเริ่มเน่าเปื่อย

ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองฉู่เจี้ยนอี้เพื่อสังเกตอาการ แต่เขากลับไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ทำให้นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ “ขาของท่านพี่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปจนถึงกระดูก แต่เป็นเพียงพิษของลูกศรเท่านั้น ยาพิษนี้มีฤทธิ์ที่แรง พอปล่อยให้ล่าช้าไปหลายปีพิษก็จะค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในเส้นเลือด ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะต้องทำก็คือ กำจัดพิษที่สะสมอยู่ในเส้นเลือดลมปราณนั้นออกไปจากขาของท่าน”

หลังจากที่ได้ยิน ฉู่เจี้ยนอี้ก็พยักหน้า เขาฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน ดังนั้นเขารู้ดีว่าน้องสาวของเขาหมายถึงอะไร เขาจึงหันไปหาภรรยาอย่างไม่เป็นกังวล พลางเอ่ยเบา ๆ “ลงเข็มเถอะ”

ฉู่เนี่ยนซียกเข็มเงินขึ้นมาแล้วหายใจเข้าลึก แต่ในขณะที่กำลังจะแทงเข็มเข้าไป เสียงผู้หญิงจากด้านนอกก็ตะโกนเข้ามา “ช้าก่อน!”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status