Share

บทที่ 7

Author: ชาผลไม้
ได้ยินอย่างนั้น มหาเสนาบดีฉู่จึงได้หันมามอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ย ก็เห็นฉู่เนี่ยนซียืนชะงักอยู่อย่างนั้น ด้วยท่าทางที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความรีบเร่ง สีหน้าของนางดูแตกต่างออกไปจากปกติ

มหาเสนาบดีฉู่เองก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

กระทั่งหนังสือในมือหล่นลงบนโต๊ะ ชายชราก็เริ่มรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เขารีบยกเสื้อคลุมขึ้นและลุกยืนด้านหลังโต๊ะ รีบก้าวเข้าไปจับมือฉู่เนี่ยนซีอย่างเร็ว

“ทำไมเจ้าถึงไม่บอกคนรับใช้ว่ามาถึงแล้ว? รีบเข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วให้พ่อมองเจ้าชัด ๆ” น้ำเสียงของมหาเสนาบดีฉู่สั่นเครือเล็กน้อย ไม่อาจฝืนแสดงความน่าเกรงขามได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นลูกสาว

เขาจับมือฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

ฉู่เนี่ยนซีตามผู้เป็นพ่อไปด้วยแววตาที่ว่างเปล่ามึนงง ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขานั่งลง แล้วเอ่ยถามเขาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อแกล้งป่วยเพื่อที่จะทำให้ลูกได้ออกมาจากวังของท่านอ๋องหลีใช่หรือไม่?”

เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฮูหยินเดินออกมาจากห้องด้านข้างด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลย แม่ได้ยินมาว่าท่านอ๋องหลีได้พาคุณหนูซ่างกวานคนนั้นมาเป็นนางสนม พ่อของเจ้าก็นอนไม่หลับทั้งคืน กลัวว่าเจ้าจะน้อยใจ ก็เลยรีบหาข้ออ้างหลอกเจ้าให้ออกมา”

ฮูหยินฉู่รีบหยิบขนมที่เพิ่งอบออกมาจากมือสาวใช้อย่างเร็ว ก่อนจะยื่นให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรัก “รีบชิมดูสิ”

ฉู่เนี่ยนซีหยิบขนมขึ้นมากัดเบา ๆ ความหอมหวานกำลังกรุ่นอยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย

หลับตาลงด้วยดวงตาและหัวใจที่ร้อนผ่าว

ในที่สุดนางก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในยุคสมัยนี้

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสบายดี ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ”

ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพ่อและแม่ด้วยแววตาที่ทั้งรักและสิ้นหวัง บางทีการที่ได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ อาจจะเป็นพรที่พระเจ้าตั้งใจมอบให้นางแล้วก็ได้

ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซูกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง และถอนหายใจออกมาเบา ๆ ฉู่เจี้ยนอี้ที่กำลังนั่งอยู่ในรถเข็นก็ตาแดงก่ำ

ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางสง่างามราวกับรูปปั้น โค้งมุมปากเล็กน้อย หลังจากที่มองเธออยู่นาน ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องหลีปฏิบัติกับเจ้าดีหรือไม่ ถึงไม่ได้กลับมาบ้านนานขนาดนี้ ผอมลงไปเยอะเลย”

ฉู่เนี่ยนซีหันไปมองผู้ที่มาใหม่ ก็พบว่าเป็นฉู่เจี้ยนอี้พี่ชายคนโตของนางนั่นเอง

ย้อนกลับไปตอนนั้นที่นางโกรธครอบครัวแล้วหนีออกจากบ้าน นางตกอยู่ในอันตราย และเขาเองที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามาช่วยนางเอาไว้

แต่ด้วยความเอาแต่ใจของนางเอง ที่ทำให้ชายผู้ร่าเริงคนนี้ต้องกลายเป็นคนพิการ เขาต้องทนทุกข์จากการโดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ไม่ใช่แค่นั้น เจ้าของร่างเดิมคนนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แม้แต่จะไปเยี่ยมเขา จนกระทั่งแต่งงาน

เธอจึงคิดว่าฉู่เจี้ยนอี้คงจะเสียใจเมื่อพบนางอีกครั้ง แต่กลับไม่คิดว่าคำพูดแรกที่เขาเอ่ยจะเป็นความห่วงใยเช่นนี้

ชั่วครู่ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่หลากหลายภายในใจ

นางคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ช่วงนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ได้ยินนางถามออกมาแบบนั้น จ้าวม่อเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะจับรถเข็นแน่น อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เหลือไว้เพียงแววตาแห่งความกังวลที่มีต่อนาง

แต่เมื่อฉู่เจี้ยนอี้ได้ยินคำพูดเรียบง่ายเหล่านี้ เขาก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปรากฏรอยยิ้มที่ลึกขึ้นบนใบหน้า

ยิ่งฉู่เจี้ยนอี้ดูสง่างามและใจดีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งน่าเสียดายที่เขาจะไม่สามารถยืนได้อีกต่อไปแล้ว

จ้าวม่อเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังรถเข็น ก้มลงมองด้วยแววตาที่แดงก่ำ

ในครั้งแรกที่นางเห็นฉู่เจี้ยนอี้ ก็รู้สึกได้ว่าเป็นรักแรกพบ

แต่น่าเสียดายที่ผู้เป็นแม่กลับบูชาเงินเท่าชีวิต และคิดว่าการที่ให้นางแต่งงานกับลูกชายคนโตของมหาเสนาบดีจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและโชคดี แต่...

เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของฉู่เจี้ยนอี้ไม่มีทางรักษาให้หาย ทั้งแม่และครอบครัวของนางก็บังคับให้นางหย่ากับเขา

แต่ให้ตายอย่างไร นางก็จะไม่หย่ากับเขา!

หรือแม้ว่าจะต้องตาย นางก็จะยังเป็นภรรยาของฉู่เจี้ยนอี้ เป็นผีอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้กำลังทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็ได้แต่ถอนหายใจ

แม้จะไม่ต้องพูดอะไร นางก็เข้าใจหัวอกของพี่สะใภ้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ครอบครัวได้ทักทายกัน ฉู่เนี่ยนซีก็กระแอมเล็กน้อย แล้วจับมือของผู้เป็นพ่อ พลางเอ่ยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านพ่อ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้มีโอกาสไปร่ำเรียนกับหมอมีฝีมือมา ข้าได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่างจากเขา ทำไมไม่ลองให้ข้าตรวจดูอาการของพี่ชายข้าดูกันเล่า บางทีขาของพี่ชายข้าอาจจะมีทางรักษาหายก็เป็นได้”

ฉู่เจี้ยนอี้ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง พลางมีประกายบางอย่างฉายผ่านในแววตาของเขาอย่างชัดเจน ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพอารมณ์เดิม “พี่รู้ดีที่สุดว่าอาการของขาที่เป็นยังไง ท่านพ่อเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาทางรักษามัน แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พี่อาจจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต แล้วตอนนี้พี่เองก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปแล้ว”

ฉู่เนี่ยนซีมองดูท่าทางที่ไม่แยแสของพี่ชาย ภายในใจก็รู้สึกว่าถูกบีบคั้นเป็นอย่างมาก

ฉู่เจี้ยนอี้กำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์ และเป็นที่น่าภาคภูมิใจของทุกคน แต่ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถเข็นเท่านั้น คนอื่น ๆ ยังรู้สึกเสียใจไปด้วย แล้วนับประสาอะไรกับความรู้สึกของคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้อง

เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อปลอบใจพวกเขาก็เท่านั้น

ฉู่เนี่ยนซีหายใจเข้าลึก แล้วก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวแล้วนั่งลงต่อหน้าของเขา ก่อนจะยกมือขึ้นวางบนขา “ตอนนั้นที่น้องอย่างข้าเอาแต่ใจและไม่แยแสท่าน ท่านพี่จะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”

พอพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ฮูหยินฉู่ที่เงียบมาจนกระทั่งตอนนี้ ก็เริ่มมีแววตาที่แดงก่ำ

ในตอนที่เกิดสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ที่จวนมหาเสนาบดีเองก็ได้ผ่านช่วงเวลาขึ้นลงแบบนั้นมาก็หลายครั้ง ฉู่เจี้ยนอี้ผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนโตกลับยังมีความมั่นคง ยิ่งทำให้คนที่มองมารู้สึกปวดใจยิ่งนัก รวมถึงลูกชายอีกสองคนอย่างฉู่เจี้ยนหยาง และฉู่เจี้ยนซิงเองก็ต้องเป็นทั้งพลเรือนและทหารมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน

ใครต่างก็คิดว่าลูกชายคนโตจะต้องได้สืบทอดเป็นมหาเสนาบดีคนสำคัญต่อไป แต่หารู้ไม่ว่าขาคู่นี้...

ด้วยเหตุนี้ผู้คนในเมืองจึงตำหนิฉู่เนี่ยนซี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงตัวจ้าวม่อเหยียนเองด้วย

“พูดอะไร เจ้าเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า สิ่งที่เกิดขึ้นข้าไม่เคยโทษเจ้าเลย เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ” ฉู่เจี้ยนอี้ตบที่หลังมือของเธอเบา ๆ แม้คำพูดจะเอ่ยเชิงตำหนิ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรัก

“แม้ว่าพี่ใหญ่จะไม่ตำหนิ แต่ข้าก็ยังกังวลเรื่องนี้อยู่ในใจเสมอ ท่านพี่ให้ข้าลองดูได้ไหม?”

“ท่านมั่นใจขนาดไหนกัน? ข้าเองก็ได้ยินมาว่าพระชายาหลีมิได้ฝึกปรือฝีมือมานาน พี่ชายของท่านเป็นแบบนี้ ทำไมถึงได้ใช้เขาเป็นที่ทดสอบฝีมือเช่นนี้กัน”

พี่สะใภ้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉู่เจี้ยนอี้เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

“เหยียนเอ๋อร์!” ฉู่เจี้ยนอี้ตะโกนเสียงดัง

แม้จะอยากพูดต่อ แต่นางก็ต้องหยุดลงทันที

ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืน พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สนใจคำว่า “พระชายาหลี” ของพี่สะใภ้ที่กำลังเอ่ยตำหนินาง “ข้ารู้ว่าท่านอยากจะตำหนิข้า ข้าเองก็เคยทำผิดมามาก แต่เขาเป็นพี่ชายที่ข้ารักที่สุด ทำไมข้าต้องล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้ด้วย? ข้ามั่นใจพอที่จะรักษาอาการของพี่ชายข้าได้ ท่านไม่อยากเห็นพี่ชายข้ากลับมายืนได้อีกหรืออย่างไร?”

น้ำเสียงของฉู่เนี่ยนซีแสดงออกถึงความจริงใจและจริงจัง ความมั่นใจของนางมีมากพอที่จะสามารถทำให้ทุกคนยอมเชื่อไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ดวงตาที่มีรอยเหี่ยวย่นของเสนาบดีฉู่เปล่งประกายในระหว่างที่มองฉู่เจี้ยนอี้ ก่อนจะทำได้เพียงถอนหายใจออกมา

แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อ แต่คนที่จะตัดสินใจก็ต้องเป็นฉู่เจี้ยนอี้และภรรยาของเขา

ขณะที่เผชิญกับแววตาที่จ้องมองมาของพี่สะใภ้ ฉู่เนี่ยนซีก็ได้แต่นึกถึงอาการบาดเจ็บของพี่ชายอยู่ภายในใจ รอการยืนยันจากผู้เป็นพี่สะใภ้อย่างไม่ลดละความพยายาม

ฉู่เจี้ยนอี้หรี่ตาลงแล้วถอนหายใจเบา ๆ พลางแตะหลังมือของภรรยาไปหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยเบา ๆ “เจ้าเองก็ทำงานหนักมาหลายปีแล้ว น้องสาวของข้าไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ ข้าเชื่อใจนาง อาการขาของข้าเช่นนี้ ลองดูก็คงไม่เสียหายอะไร”

เมื่อฟังน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขา กำแพงที่พี่สะใภ้สร้างขึ้นก็พังทลายลงโดยสิ้นเชิง

ฉู่เนี่ยนซี่ได้รับการยืนยันแล้ว ภายในหัวใจก็เริ่มสงบ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “เช่นนั้นไปที่ห้องด้านข้างกับข้าเถอะ ข้าจะหาทางทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกแน่นอน”

จ้าวม่อเหยียนอยากจะพูดอย่างอื่น แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับยิ้มเบา ๆ แล้วเดินไปวางมือลงบนมือของภรรยาที่จับรถเข็นอยู่

เห็นได้ชัดว่าจ้าวม่อเหยียนยอมถอยหลังออกมา ไม่รู้ว่าที่ยอมแพ้เป็นเพราะคำพูดของฉู่เนี่ยนซี หรือว่ารอยยิ้มที่อบอุ่นกันแน่

เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ได้ดึงมือของนางออก นางจึงใช้แรงที่มีผลักรถเข็นของพี่ชายเข้าไปยังห้องด้านข้างด้วยตัวเอง

เสนาบดีฉู่และภรรยามองหน้ากันแล้วก็รีบเดินตามไป พวกเขายังขอให้คนของตัวเองคอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกจวนตามต้องการ

ทุกคนมาถึงยังห้อง ฉู่เนี่ยนซีเข็นฉู่เจี้ยนอี้ไปที่หน้าต่าง ก่อนหน้านี้นางได้เก็บถุงห่อเข็มเงินเอาไว้ในที่เก็บตรงแขนเสื้อไว้แล้ว ก่อนจะค่อย ๆ หยิบเข็มเงินออกมา

ฉู่เนี่ยนซูเปิดถุงเข็มเงินที่มีเข็มเงินหลายร้อยเล่มความยาวหนาไม่เท่ากันบนโต๊ะ

ทุกคนเห็นแล้วก็เข้าใจทันทีว่าเข็มเหล่านี้มันดูแตกต่างจากเข็มทั่วไป

นางมองฉู่เจี้ยนอี้ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบกลับนางเช่นกัน

จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็คุกเข่าลง นิ้วเรียวหยิบเข็มเงินสองสามเล่มขึ้นมา ก่อนจะถกขากางเกงของผู้เป็นพี่ชายขึ้น

ขาเรียวยาวปรากฏขึ้นต่อสายตา

ลักษณะแตกต่างจากขาของคนปกติทั่วไป ซีดเผือดแล้วก็มีสีเขียวช้ำเต็มไปหมด

ราวกับสีร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว ก่อนจะเริ่มเน่าเปื่อย

ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองฉู่เจี้ยนอี้เพื่อสังเกตอาการ แต่เขากลับไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ทำให้นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ “ขาของท่านพี่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปจนถึงกระดูก แต่เป็นเพียงพิษของลูกศรเท่านั้น ยาพิษนี้มีฤทธิ์ที่แรง พอปล่อยให้ล่าช้าไปหลายปีพิษก็จะค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในเส้นเลือด ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะต้องทำก็คือ กำจัดพิษที่สะสมอยู่ในเส้นเลือดลมปราณนั้นออกไปจากขาของท่าน”

หลังจากที่ได้ยิน ฉู่เจี้ยนอี้ก็พยักหน้า เขาฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน ดังนั้นเขารู้ดีว่าน้องสาวของเขาหมายถึงอะไร เขาจึงหันไปหาภรรยาอย่างไม่เป็นกังวล พลางเอ่ยเบา ๆ “ลงเข็มเถอะ”

ฉู่เนี่ยนซียกเข็มเงินขึ้นมาแล้วหายใจเข้าลึก แต่ในขณะที่กำลังจะแทงเข็มเข้าไป เสียงผู้หญิงจากด้านนอกก็ตะโกนเข้ามา “ช้าก่อน!”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 550

    เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 549

    ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 548

    ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 547

    เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 546

    เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!

  • องค์ชายหลีกับชายาลี้รัก   บทที่ 545

    ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status