เมื่อจดหมายนิรนามมีจำนวนมาก ย่อมต้องมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปในบรรดาจดหมายเหล่านั้น มีจดหมายจำนวนมากที่เป็นเรื่องโกหก สร้างขึ้นเพื่อระบายความโกรธแค้นยังมีจดหมายอีกส่วนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นจดหมายจากบัณฑิตสำนักปราชญ์ ตั้งใจจะสร้างขึ้นให้เกิดความสับสนสิ่งที่ซูเฟิ่งหลิงต้องทำคือคัดเลือกจดหมายนิรนามที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ เหล่านี้ออกฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วเหนื่อยมากหลังจากสามวัน ซูเฟิ่งหลิงก็ตาลาย ปวดหัว มองจดหมายแล้วแทบจะอาเจียนในที่สุดหลี่หลงหลินก็มาถึงเขาประจิมในที่สุด“เจ้าสุนัข!”“มาสักทีนะ!”“เจ้ามัวแต่ซ่อนตัว ปล่อยให้พวกเรายุ่งจนแทบตาย!”ซูเฟิ่งหลิงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ระบายความไม่พอใจแต่ในสายตาของหลี่หลงหลิน นางดูเหมือนกำลังออดอ้อนมากกว่า เขาจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อ้ายเฟย ลำบากเจ้าแล้ว! ถ้าอย่างนั้นจูบเจ้าสักครั้งเป็นรางวัลแล้วกัน!”ซูเฟิ่งหลิงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหลบหนีราวกับเห็นผี ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “พวกพี่สะใภ้กำลังมองอยู่นะ! เจ้าไม่อายหรือไง!”หลี่หลงหลินหันไปเห็นลั่วอวี้จู๋ หลิ่วหรูเยียน และคนอื่นๆ เห็นพวกนางมีท่าทางเหนื่อยล้าก็รู้สึกสงสาร
นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!ยิ่งกว่านั้นหลี่หลงหลินเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ตั้งแต่แรกก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ต่อให้เขาเขียนผลงานที่ทำให้โลกตะลึงออกมา เหล่าบัณฑิตก็ไม่มีทางยอมรับ!สรุปแล้วคำพูดของหลี่หลงหลินนั้นเกินจริงไปมาก เป็นการคุยโวเสียยิ่งกว่าความเป็นจริงซูเฟิ่งหลิงยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ราวกับแมวน้อยที่ถูกกระตุ้นให้คันจนทนไม่ไหว “ตกลงเจ้าเขียนอะไรไว้กันแน่ เอาออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ! อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย!” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวจะยุ่ง! แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่าสิ่งที่ข้าเขียนชื่อว่าปรัชญาแห่งจิต การรู้และการกระทำต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม!”อย่าว่าแต่หลี่หลงหลินที่เป็นองค์ชายเสเพลที่ไม่รู้หนังสือเลยต่อให้เป็นบัณฑิต หรือแม้แต่นักปราชญ์กลับชาติมาเกิดใช้เวลาสามวันเขียนตำราลัทธิขงจื๊อ แถมยังก่อตั้งสำนัก สร้างความรู้ใหม่ สืบทอดความรู้จากนักปราชญ์โบราณ มันช่างน่าตกตะลึงเกินไป!แต่เขาเป็นนักลอกเลียนวรรณกรรมเขียนเองไม่ได้ ก็ลอกไม่ได้หรือไง?ครั้งนี้สิ่งที่หลี่หลงหลินลอกมาคือปรัชญาแห่งจิตใจของหวังหยางหมิงแ
หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี
รากฐานอันลึกล้ำของสำนักปราชญ์ ยังคงมีพลังในการโต้กลับ เมื่อใดก็ตามที่หลี่หลงหลินเผยช่องโหว่ สำนักปราชญ์ก็จะกัดไม่ปล่อยแน่นอน หนิงชิงโหวเอ่ยอย่างลำบากใจ: “แต่ว่าองค์รัชทายาท คดีที่จดหมายนิรนามเหล่านี้กล่าวหานั้น ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ยาวนาน ไม่ใช่ว่าไม่อาจพิสูจน์ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและกำลังคนจำนวนมาก...” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม: “คนธรรมดาทั่วไป ตรวจสอบคดีเหล่านี้ ย่อมยากลำบาก! แต่อย่าลืมไปว่า ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ท่านเอาจดหมายเหล่านี้มอบให้ข้า ให้องครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบ!” “รับรองว่าก่อนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย จะต้องกระจ่างชัด” หนิงชิงโหวตาเป็นประกาย: “จริงด้วย ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ให้พวกเขาไปตรวจสอบ จะต้องได้ผลลัพธ์รวดเร็วแน่นอน” หลิ่วหรูเยียนถามด้วยดวงตาเป็นประกาย: “หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับต่อไป จะต้องเว้นหน้ากระดาษไว้ เพื่อตีพิมพ์เนื้อหาในจดหมายเหล่านี้หรือไม่?” หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ย เป็นดั่งกระบี่วิเศษ! ที่หลี่หลงหลินกล้าต่อกรกับสำนักปราชญ์ ก็เพราะอาศัยหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยนี้ มิฉะนั้น... หลี่หลงหลินไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของสำนักป
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค
น้ำ...น้ำ!หลิ่วหรูเยียนถูกความเผ็ดทำให้หน้าแดงก่ำ มุกเหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผาก ทำให้ผิวพรรณขาวดุจหิมะถูกแต้มด้วยสีแดงเรื่อหลี่หลงหลินยื่นน้ำเย็นที่เตรียมไว้ดีแล้วให้หลิ่วหรูเยียนหลิ่วหรูเยียนดื่มลงไปหนึ่งอึก จากนั้นเอ่ยปากชม “องค์ชาย! อร่อยเหลือเกิน หม่อมฉันไม่เคยกินของอร่อยถึงเพียงนี้มาก่อนเลย มีความสุขยิ่งนัก!”เวลาเพียงชั่วพริบตา หัวปลาจานใหญ่ก็หายไปจนหมดเหล่าสะใภ้แต่ละคนหน้าแดงก่ำ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวเต็มศีรษะ ปอยผมติดบนหน้าผาก ขับให้ดูมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษซูเฟิ่งหลิงถูกความเผ็ดทำให้ริมฝีปากแดงเจ่อ ความสงสัยที่มีต่อหลี่หลงหลินเมื่อครู่มลายหายไปราวกับหมอกผ่านตาซุนชิงไต้ยกชามข้าว จับจ้องหลี่หลงหลินและเอ่ยถาม “องค์ชาย ยังมีหัวปลาอีกหรือไม่ เมื่อครู่กินเร็วเกินไป ยังไม่รู้รสเพคะ”หลี่หลงหลินเผยสีหน้าเอือมระอาพี่สะใภ้สามคิดว่ากำลังกินโสมกระมัง จึงกินได้ไม่รู้รสก็แค่ตะกละเท่านั้นหลี่หลงหลินพยักหน้าและตอบว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านวางใจได้ หากท่านชอบ ภายภาคหน้าจะทำให้พวกพี่สะใภ้กินจนพอใจ!”ซุนชิงไต้เผยสีหน้าดีใจ คีบผลสีแดงเข้าปาก จากนั้นถูกความเผ็ดทำให้หน้าบิดเบี้ยว แต่นาง
ที่ต้าเซี่ย นับตั้งแต่โบราณมาไม่คุ้นชินกับการกินหัวปลา ปกติแล้วจะตัดหัวตัดหางเลือกเพียงลำตัว หัวปลาย่อมถูกทิ้งไปแต่บัดนี้หลี่หลงหลินถึงขั้นนำหัวปลาที่เหลือมาทำอาหารหนึ่งชนิดทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือจะเชื่ออยู่บ้างยิ่งไปกว่านั้นหัวปลาหวงฮื้อใหญ่ยังมีขนาดใหญ่มาก ขนาดเล็กที่สุดก็ราวฝ่ามือ มองดูแล้วน่ากลัว ชนิดที่ว่าทำให้คนรู้สึกขนหัวลุกอยู่บ้างเหล่าสะใภ้ตกใจจนใบหน้างดงามเผือดซีดนิ้วเรียวยาวของซูเฟิ่งหลิงปิดปากไว้ อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “องค์ชาย เจ้าสิ่งนี้กินเยี่ยงไร? มองดูแล้วน่ากลัวมากเหลือเกิน!”ลั่วอวี้จู๋เผยสีหน้าลำบากใจ “หัวปลานี้กินได้แน่หรือ?”ตอนนี้ทุกคนไม่เพียงสงสัยหลี่หลงหลิน แต่ยังสงสัยต่อหัวปลานี้หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “ปลาหวงฮื้อล้ำค่าทั้งตัว หัวปลาย่อมสามารถกินได้ ไม่เพียงแค่นี้ หัวปลายังเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด!”“จริงหรือ?” ซูเฟิ่งหลิงยังสงสัยดังเดิม ในสายตาของนาง หลี่หลงหลินกำลังปลอบตน ต้องการเห็นเรื่องตลกของตนซุนชิงไต้มองซูเฟิ่งหลิงด้วยสีหน้าจริงจังและเปล่งเสียงเคร่งขรึม “องค์ชายไม่พูดความเท็จ หัวปลาหวงฮื้อใหญ่นี้กินได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยัง
ลั่วอวี้จู๋พูดอยู่ทางด้านข้าง “ใช่แล้ว องค์ชาย เรื่องเหล่านี้ยกให้สะใภ้สามเถอะเพคะ”หลี่หลงหลินกลับยืดอกตรงดุจต้นไผ่ พูดเสียงเรียบๆ ว่า “พวกพี่สะใภ้วางใจก็พอ ถึงตอนนั้นจะต้องถูกปากพวกพี่สะใภ้แน่”.....พลบค่ำเหล่าสะใภ้และซูเฟิ่งหลิงรอในห้องอาหารนานแล้ว ล้วนแปลกใจตกลงหลี่หลงหลินจะนำความแปลกใจอันใดมาอีกแต่ไหนแต่ไรมาหลี่หลงหลินไม่เคยทำให้ทุกคนผิดหวัง เรื่องที่เขาทำล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็แปลกใหม่ไม่เหมือนผู้ใดสองมือของซูเฟิ่งหลิงยกขึ้นเท้าคาง คนหิวแทบแย่ “ก็ไม่รู้ว่าองค์ชายเล่นพิเรนทร์อันใดอีก จะต้องลงมือเข้าครัวด้วยตนเองให้ได้ สำคัญที่สุดคือองค์ชายทำอาหารเป็นแน่หรือ?”ซูเฟิ่งหลิงรู้จักหลี่หลงหลินดีมาก แม้พูดว่าฉลาดหลักแหลม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเชี่ยวชาญทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นนับตั้งแต่เกิดก็มีคนคอยปรนนิบัติ จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่เคยมีเรื่องให้กังวล น่ากลัวว่าแม้แต่ประตูห้องครัวก็ไม่เคยเฉียดเข้าไป นับประสาอะไรกับฆ่าปลาทำอาหารเล่า?ซูเฟิ่งหลิงส่ายหน้า สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ดูท่าแล้ว คืนนี้ข้าจะต้องหิวตาย”ลั่วอวี้จู๋อ่านความคิดของซูเฟิ่งหลิงออกจึงเอ่ยปลอบ “น้องหญิงเล็ก ผ
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลี่หลงหลินเปิดฝาโอ่งน้ำใหญ่ด้วยใบหน้าลึกลับเหล่าสะใภ้ต่างคาดหวัง เตรียมเป็นพยานความอัศจรรย์ซี้ด!ไอเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งส่งเข้ามา ทำให้เหล่าสะใภ้ไม่เพียงตัวสั่น ภาพเบื้องหน้ายังชวนให้คนตกตะลึงพรึงเพริด!มองเห็นน้ำในโอ่งน้ำใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เย็นจนคนรู้สึกหนาว!ทุกคนกลับหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง หันมองทางหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเผือดซีด!ใบหน้ากงซูหว่านล้วนคือความตกตะลึง ในสายตาของนางหลี่หลงหลินไม่ต่างอันใดจากตำนานเสกหินให้เป็นทอง เพียงใช้เกลือหมางเซียวก็สามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้วหรือ? นี่เหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว!กงซูหว่านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “องค์ชาย นี่ทำได้เยี่ยงไร? นี่หรือว่าเป็นวิชาเซียนจริง?”หลี่หลงหลินหยิบถุงเกลือหมางเซียวในมือออกมาและพูดว่า “ตอนผสมเกลือหมางเซียวนี้กับน้ำจะสามารถดูดความร้อนมหาศาลได้ สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงจนเหลือศูนย์องศา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น้ำย่อมกลายเป็นน้ำแข็ง”หลี่หลงหลินไม่ปกปิด เล่าหลักการทั้งหมดให้กงซูหว่านฟัง อย่างไรเสียภายภาคหน้ายังต้องการให้มีคนไปสอนราษฎร์ตงไห่ทำน้ำแข็