หลี่หลงหลินมองจางไป่เจิงแล้วพูดว่า “แม่ทัพจาง ท่านคิดว่าข้าเอาแต่ดื่มสุราหาความสำราญอยู่ที่นี่ทุกวัน นั่นเป็นเพราะท่านคิดตื้นเขินเกินไป”“ข้านี่กำลังฝึกฝนสมาธิของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของท่านอยู่ต่างหาก”“ทหารที่มีสมาธิแข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอก และยิ่งจะไม่หย่อนยานในวินัยเพียงเพราะข้าดื่มสุราในกระโจมเล็กน้อย!”สีหน้าของจางไป่เจิงเคร่งขรึมลงแล้วพูดว่า “รัชทายาท ท่านหมายความว่า...”หลี่หลงหลินพูดเสียงเรียบว่า “ทหารใต้บังคับบัญชาของท่านยังต้องฝึกฝนอีก”จางไป่เจิงเดือดดาลสุดขีด!นี่มันเห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินกำลังเถียงข้างๆ คูๆ!ยังไม่พูดถึงความผิดของตัวเอง แถมยังโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้เหล่าทหารเสียอย่างนั้นเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของจางไป่เจิงร่วมเป็นร่วมตายกับเขามา เขาย่อมรู้ดีในใจดียิ่งกว่าใครว่าเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องระเบียบวินัยที่เข้มงวด!มิเช่นนั้นแล้วฮ่องเต้หวู่คงไม่มอบหมายหน้าที่พิทักษ์ดินแดนทางเหนือให้แก่เขา จางไป่เจิงแต่พอหลี่หลงหลินเอ่ยถึง กลับถูกมองว่าไร้ค่าโดยสิ้นในฐานะแม่ทัพใหญ่ เขายอมรับไม่ได้!ในไม่ช้า จางไป่เจิงก็ได้สติทั้ง
ได้สร้างคุณูปการที่เป็นประโยชน์แก่ต้าเซี่ยมานับไม่ถ้วน จึงทำให้แสนยานุภาพของต้าเซี่ยพัฒนาไปอย่างรวดเร็วบัดนี้ต้าเซี่ยไม่ใช่ราชสำนักที่อ่อนแอไร้กำลังอีกต่อไป!แตกต่างจากอดีตราวฟ้ากับเหว!หากครั้งนี้ส่งกองทัพไปชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ จะต้องพิชิตชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ครองความเป็นใหญ่ในแดนเหนือได้อย่างแน่นอน!ในโรงเตี๊ยมพลันเกิดความโกลาหล“องค์รัชทายาททรงพระเจริญ!”“องค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“...”บัณฑิตหนุ่มหลายคนดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนหมด แล้วเขวี้ยงจอกแตก “คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีบุคคลเยี่ยงองค์รัชทายาท!”“ในฐานะองค์รัชทายาท แต่กลับไม่ถือตัว นำทัพด้วยตนเอง เพื่อปัดเป่าเภทภัยให้แก่คนทั้งแผ่นดิน!”“วีรบุรุษเช่นนี้หากพวกเราไม่ติดตาม คงตายตาไม่หลับ!”พวกเราจะออกไปผจญยุทธภพไปทำไมกันเล่า“ดื่มสุราจอกนี้แล้ว ก็จะเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าสู่ดินแดนทางเหนือเข้าร่วมกองทัพ!”“หากไม่นำราษฎรทั้งแผ่นดินไว้ในใจ พวกเราฝึกฝนวรยุทธ์ไปจะมีความหมายอันใด?”“หากวรยุทธ์ไม่ได้ใช้เพื่อปกป้องบ้านเมือง วรยุทธ์สูงส่งเพียงใดจะมีประโยชน์อันใด!”“ข้าจะขอติดตามองค์รัชทายาทบุกตะลุยสู่ทะเลทราย ส
เมืองหลวงยามฟ้าเพิ่งจะสาง ราษฎรต่างพากันหลั่งไหลออกมาบนท้องถนน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข“ท่านได้ยินข่าวหรือไม่? องค์รัชทายาทลงมือเพียงครั้งเดียวก็ยึดเมืองซั่วเป่ยกลับคืนมาได้แล้ว!”“แน่นอนอยู่แล้ว! ได้ยินว่าตีทัพแม่ทัพใหญ่ของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจนแตกพ่ายยับเยิน เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง คุกเข่าขอความเมตตาอยู่แทบเท้าขององค์รัชทายาท”“ในอดีตก็คือเขาผู้นี้ที่สังหารตระกูลซูผู้ภักดีทั้งตระกูล ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้ล้างแค้นอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว!”“แต่ว่าแผนการขององค์รัชทายาทในครั้งนี้ช่างอำมหิตยิ่งนัก!”“โยนศพเข้าเมือง จิ๊ๆ...”“กับพวกชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็ควรจะอำมหิตเช่นนี้ ไม่คิดดูบ้างว่าหลายปีมานี้พวกเขาปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไร!”“...”ทั่วทุกตรอกซอกซอย คึกคักเป็นพิเศษล้วนเป็นราษฎรที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอเจอหน้าใครก็เอ่ยถาม “ท่านได้ยินข่าวหรือไม่?” ชั่วขณะหนึ่งในเมืองหลวง หากใครบอกว่าตนเองไม่รู้เรื่องราวอันรุ่งโรจน์ขององค์รัชทายาทก็คงไม่กล้าออกจากบ้านไปไหน!ราษฎรที่ออกมาพูดคุยสัพเพเหระบนท้องถนน หัวข้อสนทนาล้วนไม่พ้นสองคำสำคัญองค์รัชทายาทและฝ่าบาทเพียง
“แม้ว่าเจ้าเก้าจะต้องการขัดเกลาตนเองจริงๆ ก็ไม่ควรเลือกที่จะโจมตีชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ในสายตาของข้า นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้...”“เพราะไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!”แม้แต่แม่ทัพใหญ่จางไป่เจิงก็ทำได้เพียงป้องกันศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพไม่เคยยกทัพออกจากเมืองเพื่อไล่โจมตีชาวต้าเซี่ยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทะเลทรายผืนนั้นเลย กระทั่งที่ตั้งของราชสำนักชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนืออยู่ที่ใดก็ยังไม่ทราบฮองเฮาหลินขมวดคิ้วในหัวของพระนางเต็มไปด้วยภาพของทะเลทรายรกร้าง โหดร้ายลมป่าพัดผ่าน ม้วนฝุ่นทรายสีเหลืองเป็นระลอกพายุทรายที่บ้าคลั่งนั้นราวกับสามารถกลืนกินทุกชีวิตได้ในใจของนางเกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่นานนางก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปฮองเฮาหลินตรัสด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ในเมื่อเจ้าเก้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็อย่าได้แทรกแซงเขาเลยเพคะ...”ฮ่องเต้หวู่ชะงัก ตรัสถาม “อ้ายเฟย เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น?”ฮองเฮาหลินตรัสว่า “หากเจ้าเก้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย เขาจะไม่บุกไปข้างหน้าอย่างบุ่มบ่ามเด็ดขาด เขาไม่ใช่คนที่จะละโมบในความดีความชอบจนไม่ดูตาม้าตาเรือ”“ตอนนี้เขายึดเมืองซั่วเป่ยกลับคื
หลังเลิกประชุม ฮ่องเต้หวู่เสด็จไปยังตำหนักฉางเล่อด้วยพระทัยที่เต็มไปด้วยเรื่องกังวลฮองเฮาหลินกำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้ เมื่อเห็นท่าทีของฮ่องเต้หวู่ จึงทรงชงชาด้วยตนเอง และถามด้วยความห่วงใย “ฝ่าบาท ทรงมีเรื่องกลุ้มพระทัยอะไรหรือเพคะ? หรือว่าทางดินแดนทางเหนือการรบไม่สู้ดี?” ฮองเฮาหลินทรงทราบว่าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือยึดครองเมืองซั่วเป่ยได้แล้ว ราชบัลลังก์ต้าเซี่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย น่าเสียดายที่วังหลวงห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เรื่องของบ้านเมืองไม่ใช่สิ่งที่สตรีอย่างนางจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น เมืองซั่วเป่ยถูกตีแตกแล้ว! เป็นเจ้าเก้าที่ตีแตก!” ฮองเฮาหลินได้ฟังก็ทรงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นบนใบหน้าที่งดงามราวกับดอกไม้ก็ปรากฏรอยยิ้มยินดี มารดาได้ดีเพราะบุตร หลี่หลงหลินสร้างคุณงามความดี นางผู้เป็นมารดาก็ย่อมมีหน้ามีตาไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการตีเมืองซั่วเป่ยแตก ปกป้องต้าเซี่ยให้ปลอดภัย นี่คือคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ไพศาล!ฮองเฮาหลินทอดพระเนตรเห็นฮ่องเต้หวู่ยังคงมีพระพักตร์อมทุกข์ ก็รู้สึกประหลาดใจ “แต่ฝ่าบาท ลูกของเราสร้างค
ฮ่องเต้หวู่พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย “ในเมื่อเหล่าอ้ายชิงพูดเช่นนี้ ข้าก็จะออกราชโองการเรียกตัวองค์รัชทายาทกลับมาทันที!”เขาไม่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะสร้างคุณงามความดีจนเกินหน้าเกินตา เพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่หลงหลิน เพราะอย่างไรเสีย ฮ่องเต้หวู่ก็เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ที่เขายอมให้หลี่หลงหลินไปดินแดนทางเหนือ ก็เพื่อให้เขาสั่งสมผลงานทางการทหาร เพื่อปูทางสู่การขึ้นครองราชย์ในอนาคตเดิมทีคิดว่า แค่ให้หลี่หลงหลินหลบอยู่แนวหลัง สร้างผลงานเล็กๆ น้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นใหญ่ถึงขนาดนี้ ยึดเมืองซั่วเป่ยกลับคืนมาได้ผลงานทางการทหารนี้ยิ่งใหญ่เกินต้านทานจริงๆ แม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะสละราชบัลลังก์ให้หลี่หลงหลินเป็นฮ่องเต้ในทันทีก็ไม่มีขุนนางทั้งราชสำนักคนใดคัดค้านได้ดังนั้น หลี่หลงหลินจึงไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ในดินแดนทางเหนือต่อไปเมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าขุนนางต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลี่หลงหลินเพิ่งจะไปถึงดินแดนทางเหนือ ก็สร้างผลงานใหญ่หลวงถึงเพียงนี้หากปล่อยให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก จะเป็นอย่างไรกัน