“ถึงแม้พระองค์จะไม่ใช่ฮ่องเต้ที่โง่เขลา หรือฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยม แต่พระองค์ก็เป็นฮ่องเต้ที่ธรรมดาและไร้ความสามารถอย่างยิ่ง!” “แค่พระองค์นั่งบนบัลลังก์พระราชาหนึ่งวัน ประชาชนทั้งใต้หล้าก็จะต้องประสบทุกข์หนึ่งวัน!” “ตราบใดที่พระองค์ยังเป็นฮ่องเต้ สุดท้ายต้าเซี่ยก็จะต้องย่อยยับ แม่น้ำและภูเขาจะพังทลาย อาณาจักรจะล่มสลาย ประชาชนจะทนทุกข์!” “บัลลังก์ของพระราชา เป็นของผู้ที่มีความสามารถและมีคุณธรรม!” “พระองค์ไร้ความสามารถและไร้คุณธรรม ควรจะสละบัลลังก์ในเร็ววัน ก่อนที่แผ่นดินจะล่มสลาย!” ฮ่องเต้หวู่ตกใจอย่างมาก สีหน้าตาของพระองค์ซีดเซียว ราวกับจะเป็นลม จริงๆ แล้ว มีข่าวลือในหมู่ประชาชนมากมายว่า ฮ่องเต้หวู่คือฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถและไร้ธรรม แต่ฮ่องเต้หวู่ไม่ได้ใส่ใจ! คนในหมู่บ้านชนบทจะเข้าใจอะไร? พวกเขาหนึ่งคือไม่รู้จักเรา สองคือไม่เข้าใจวิถีการปกครอง! มีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า? แต่คำพูดนี้เมื่อออกจากปากของเสิ่นชิงโจว กลับมีความหมายที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง! วิถีการปกครองของฮ่องเต้หวู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เสิ่นชิงโจวสอนพระองค์! อาจารย์รู้จักศิษย์ที่สุด! สำหรับข้อบกพร่องของฮ่อ
ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้หวู่สูญเสียสติ สีหน้าซีดเซียว นั่งตัวหงิกอยู่บนบัลลังก์มังกร ตลอดชีวิตของข้า ข้าได้ทำหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร อดทน และรับผิดชอบ ถึงแม้ไม่มีผลงานก็ยังมีความเหนื่อยยาก! แล้วผลลัพธ์เป็นยังไง? ลูกๆ ของข้าทุกคนล้วนแต่ก่อการกบฏ อาจารย์ของข้า ก็เป็นคนทรยศ ยังกล้ามาด่าข้าท้องพระโรงต่อหน้าขุนนาง ว่าข้าเป็นพระราชาที่ไร้ความสามารถ! อะไรคือพระราชาที่ไร้ความสามารถ! ไม่ใช่พระราชาที่โง่เขลาหรอกหรือ? แต่ข้าก็ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย! เพราะแคว้นต้าเซี่ยตอนนี้กำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ทุกวัน ๆ จริงๆ ภายในมีเรื่องน่าเป็นห่วง ภายนอกมีภัยคุกคาม วิกฤตการณ์ล้อมรอบ แต่ข้าก็ทำดีที่สุดแล้ว! ข้าไม่ยอมแพ้! ข้าไม่ยอมแพ้จริงๆ! ผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้หวู่สีหน้าหมดอาลัย พูดกับตัวเองเบาๆ: “สหายเว่ย...เจ้าคิดว่า...ข้าเป็นพระราชาที่โง่เขลาหรือ?” เว่ยซวินรีบคุกเข่าลง: “ฝ่าบาท พระองค์อย่าได้ฟังคำพูดของพวกกบฏ! พระองค์คือพระราชาที่เฉลียวฉลาด พระราชาที่เกรียงไกร! แม้แต่ราชวงศ์โบราณสมัยเหยาซุ่นอวี่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับพระองค์ได้!” “เหยาซุ่นอวี่...” ฮ่องเต้หวู
ในราชสำนัก จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายสักเพียงใด? ฮ่องเต้หวู่เรียกตัวเขาไปด่วน เห็นได้ชัดว่าเพื่อจะปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับเสิ่นชิงโจวยังไง “ท่านแม่!” หลี่หลงหลินพูดกับหลินกุ้ยเฟย: “เสด็จพ่อทรงเรียกตัวข้าด่วน!” หลินกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมตตา: “ไปเถอะลูก! ลูกก็โตแล้ว สามารถช่วยเสด็จพ่อของเจ้าได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก! พระองค์...พระองค์เหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ!” หลี่หลงหลินพยักหน้า และกล่าวลาหลินกุ้ยเฟย จากนั้นก็ตามเว่ยซวินไปยังห้องทรงพระอักษร และเข้าเฝ้ากับฮ่องเต้หวู่ “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินน้อมตัวคำนับ เขาคิดว่าเสด็จพ่อจะเรียกเข้าเฝ้าเรื่องการจัดการกับเสิ่นชิงโจว เรื่องใหญ่เช่นนี้ คงจะต้องเรียกประชุมขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และเจ้ากรมทั้งหกกรมแน่นอน แต่แล้ว แต่ในห้องทรงพระอักษร กลับมีเพียงฮ่องเต้หวู่คนเดียว ฮ่องเต้หวู่ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองไปที่หลี่หลงหลินและกล่าวขึ้นว่า: “เจ้าเก้า ข้าจะถามเจ้าคำถามหนึ่ง ขอให้เจ้าตอบตามความจริง!” เพียงไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา ฮ่องเต้หวู่ดูเหมือนจะแก่ลงไปหลายสิบปี ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เส้นผมขาวยุ่งเหยิงเต
คำพูดของหลี่หลงหลินในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นพูดจากใจจริง ฮ่องเต้หวู่ ถึงแม้จะไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เก่งกาจที่สุด แค่เพียงพระองค์ที่มีความห่วงใยประชาชน และพยายามคิดหาทางช่วยเหลือประชาชนในทุกๆ ด้าน ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกว่า พระองค์ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เลวร้ายแล้ว หากพระองค์เกิดในยุคสมัยที่รุ่งเรือง ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ฮ่องเต้หวู่ก็จะเป็นพระราชาที่รักษาความมั่นคง หรือแม้แต่เป็นผู้นำที่ขยายอาณาจักรได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดาย ที่พระองค์เกิดในช่วงปลายของราชวงศ์นี้... เพราะไม่เชี่ยวชาญด้านการปกครอง แต่เก่งด้านการสงคราม จึงทำให้พระองค์ต้องเผชิญกับการถูกกล่าวหาว่าใช้การทหารมากเกินไป และถึงขั้นกลายเป็นพระราชาที่ทำให้แผ่นดินล่มสลาย “ข้าไม่ใช่เป็นพระราชาที่โง่เขลาหรือ?” เมื่อฮ่องเต้หวู่ได้ยินคำพูดของหลี่หลงหลิน ดวงตาของพระองค์ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย: “จริงหรือ?” หลี่หลงหลินพยักหน้า และกล่าวอย่างมั่นใจ: “ลูกไม่ได้โกหก! ตราบใดที่เสด็จพ่อมีความมุ่งมั่น ก็ยังไม่สายเกินไป!” ฮ่องเต้หวู่ส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น: “ความมุ่งมั่น ข้ายังมี... แต่อายุเริ่มเยอะแล้วจริงๆ...”
เว่ยซวินไม่เข้าใจอยู่บ้าง กระซิบถามเสียงค่อยพระราชโองการนี้เขียนไว้ดีแล้ว เหตุใดฮ่องเต้หวู่ไม่นำออกมาเล่าฮ่องเต้หวู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “สุดท้ายเราก็ยังมิอาจหักใจได้! ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เรานำพระราชโองการออกมา เจ้าเก้าก็ไม่มีวันรับปาก! เขาเป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง! รอก่อนเถอะ อาจยังไม่ถึงเวลา!”“เราอารมณ์ไม่ดี ไปตำหนักฉางเล่อเถอะ”“เราจะไปหาหลินกุ้ยเฟย คุยกับนาง”วังหลังมีสตรีงามสามพันคน มีเพียงหลินกุ้ยเฟยที่นั่น ฮ่องเต้หวู่ถึงจะสามารถทำใจให้สงบลงได้ นอนหลับสนิทเว่ยซวินพูดอย่างลำบากใจ “ฝ่าบาท ฮองเฮาเพิ่งส่งคนมา พูดว่าอยากเชิญท่านเสด็จไปที่ตำหนักเฟิ่งซีสักเที่ยวหนึ่ง พูดว่าอยากตุ๋นน้ำแกงโสมให้ท่าน ท่านว่า...”ดวงตาฮ่องเต้หวู่ทอประกาย พูดอย่างตกตะลึง “ฮองเฮาถึงขั้นต้มน้ำแกงโสมให้เรา? เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะไปตำหนักเฟิ่งซีก่อน ไม่สามารถทำให้ฮองเฮาเสียน้ำใจได้!”เว่ยซวินทำความเคารพ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”......คุกหลี่หลงหลินได้พบเสิ่นชิงโจวที่ห้องขังแห่งหนึ่งสมเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ติดคุกก็ยังแตกต่างจากผู้อื่น ได้อยู่ในห้องหรูหราห้องนี้แม้เล็ก
“วางบนจุดกลางกระดาน ทรงพลังไม่อาจหยุดยั้ง!”รูม่านตาเสิ่นชิงโจวหดลง พลังแห่งการต่อสู้ถูกจุดขึ้นภายในใจ“ทว่า...”เสิ่นชิงโจวยิ้มเบาๆ “องค์ชายเก้า พรสวรรค์ของท่านล้นเหลือ แต่ท้ายที่สุดท่านก็ยังเด็กเกินไป! ท่านแข็งแกร่งเพียงใดก็ช่าง ครั้นลมพัดผ่านยอดเขา...”เสิ่นชิงโจวกลับไม่ยอมรับการท้าทายจากหลี่หลงหลิน แต่วางหมากด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น อิงตามจังหวะของตน วางหมากสีขาวที่มุมแห่งหนึ่งครู่ต่อมาหลี่หลงหลินวางอีกตัว ใกล้กับจุดกลางกระดานเสิ่นชิงโจวขมวดคิ้วนี่คือการเดินหมากแปลกประหลาดอะไรกันไม่เคยเห็นมาก่อน!แต่อย่างไรก็ตาม!อิงตามจังหวะการเดินของตน ไม่ต้องให้หลี่หลงหลินเข้ามายุ่งหมาก วางลงช้าๆเพียะ ๆ ๆ...วางต่อเนื่องสี่ตัว เสิ่นชิงโจวมองออกแล้ว ฝีมือการเดินหมากของหลี่หลงหลินอ่อนหัดยิ่งนักถึงขั้นเรียกได้ว่า เขาเดินหมากไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ!หมากดำสี่ตัวถึงขั้นกลายเป็นเส้นตรงหนึ่งเส้นน่าขันยิ่งนัก!เสิ่นชิงโจวส่ายหน้า “ดูท่าแล้วข้ามองคนผิดไป! เดิมทีท่านก็ไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของข้า...”เพียะ!หลี่หลงหลินวางหมากตัวที่ห้าอย่างไม่เกรงใจ ยิ้มเย็นพูดว่า “ห้าหมากเรียงกัน! ท่านอ
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”ซูเฟิ่งหลิงตกตะลึง “เดินหมากแพ้ ก็ล้มกระดาน? ทำเลยเถิดถึงเพียงนี้เชียว? ช่างแล้ว ท่านเองก็อย่าโกรธเขาเลย! อย่างไรเสีย เขากลายเป็นนักโทษ ยังจะสามารถก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายอะไรได้อีก?”“กระดานหมาก...กระดานหมาก...”หลี่หลงหลินอึดอัดใจแย่แล้ว ปากบ่นงึมงำไม่หยุด เอ่ยถามซูเฟิ่งหลิงอย่างกะทันหัน “เจ้าพูด อะไรคือกระดากหมากของข้า?”ซูเฟิ่งหลิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง พูดว่า “นั่นยังต้องพูดอีกหรือ! ย่อมต้องเป็นฝ่าบาทอย่างไรเล่า!”หลี่หลงหลินชะงัก “เสด็จพ่อ?”ซูเฟิ่งหลิงพูดอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว! ท่านสามารถทำสำเร็จไปเสียทุกอย่าง ชนิดที่ว่าแม้แต่ในทางที่ไม่ถูกต้องก็ทำได้! ก็เพราะท่านเป็นองค์ชายเก้า โอรสที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุด!”“หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ศีรษะคงหลุดจากบ่าไปแล้ว!”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เจ้าพูดมีเหตุผลยิ่งนัก! สิ่งที่ข้าพึ่งพาอาศัย ตั้งแต่เริ่มจนจบก็คืออำนาจกษัตริย์! เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ! ก็เพราะสาเหตุนี้ ข้าถึงสามารถโอหังไม่เกรงกลัว ไม่ให้ความสำคัญต่อกษัตริย์เท่าที่ควร ลบหลู่ขุนนางได้!”“ไม่ว่าอัครมหาเสนาบดีตู้เหวินยวน หรืออาจารย์ของฮ่องเต้เสิ่นชิงโจว!”“ข้าล้
หลี่หลงหลินพาซูเฟิ่งหลิง เดินผ่านศาลาระเบียงทางเดิน สวนพฤกษา มุ่งหน้าไปยังตำหนังเฟิ่งซี“ฮองเฮาประสงค์ร้ายต่อฝ่าบาท?”ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วแน่น รู้สึกเหลือจะเชื่อ “องค์ชายเก้า นี่ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? ใช่หรือไม่ว่าท่านเข้าใจผิดไป!”สีหน้าหลี่หลงหลินไม่สบอารมณ์มาก “ข้าเองก็หวังให้เข้าใจผิดไป! แต่...พวกเราล้วนถูกเสิ่นชิงโจวหลอกแล้ว! เขามิได้ทำเพื่อใต้หล้า และราษฎร์!”“เสิ่นชิงโจวก่อกบฏ ก็เพื่อ...เพื่อองค์ชายใหญ่!”ซูเฟิ่งหลิงชะงัก พูดอย่างไม่เข้าใจ “องค์ชายใหญ่ ท่านกำลังพูดถึงรัชทายาทที่ถูกปลดหลี่เทียนฉี่?”หลี่หลงหลินพยักหน้า “ใช่! ก็คือเสด็จพี่ใหญ่!”อันที่จริง ฮ่องเต้หวู่มิได้แต่งตั้งรัชทายาท แต่ยึดตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติของบรรพบุรุษ แต่งตั้งลูกชายคนโตหลี่เทียนฉี่เป็นรัชทายาท โปรดปรานเขาอย่างมากจากนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด รัชทายาทกลับก่อกบฏ ตกตะลึงทั้งใต้หล้า!ฮ่องเต้หวู่กริ้วหนัก ปลดตำแหน่งรัชทายาท ส่งฮองเฮาเข้าตำหนักเย็นหลายปีต่อมา เหล่าขุนนางขอความเมตตาอย่างยากลำบาก ฮ่องเต้หวู่จึงคลายโทสะ อภัยโทษรัชทายาท แต่งตั้งเขาเป็นเจ้าแคว้น ปกครองตงไห่ เฝ้าชายแดนของต้าเซี่ย!ต่อ
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค