แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
ดูเหมือนหนิวจินจะมิตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาถือดาบและตะโกนด้วยเสียงทุ้ม “ฉินซูปล่อยองค์ชายของกระหม่อมเดี๋ยวนี้!"

ฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและมองเขาราวกับว่าเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณ!

ทันใดนั้นใบหน้าของเฉิงจืออี้มืดครึ้มลงทันที เขาสังหรณ์ใจมิดีเสียแล้ว!

เขากำลังจะขอให้หนิวจินวางดาบลง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น

“ฉึก!”

เลือดพุ่งออกมาบนหน้าผากของหนิวจินทันที

จากนั้นก็หงายหลังล้มลงในแอ่งเลือด!

หลังจากขุนนางทั้งหมดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหลยเจิ้น

บุคคลเดียวที่สามารถฆ่านักรบอันดับหนึ่งของเป่ยเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย คงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้น

ฉินซูยังลอบเหลือบมองเหลยเจิ้น และแอบพยักหน้าในใจ

สามารถใช้กำลังภายในฆ่าคนได้โดยมิเผยกำลังภายนอกเช่นนี้ หัวหน้าโหรหลวงผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างแท้จริง

เขาอยากรู้มากว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหลยเจิ้นไปถึงขั้นไหนแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาเดินทางข้ามมิติมาจนถึงตอนนี้ เขายังมิได้เข้าใจระบบการบ่มเพาะของใต้หล้านี้เลย

ส่วนเจ้าของร่างดั้งเดิมขององค์รัชทายาทนั้น มิรู้อะไรเลยเกี่ยวกับวรยุทธ ดังนั้นฉินซูจึงมิได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ จากความทรงจำที่ติดตัวมาเลย

ในเวลานี้ มู่หรงฟู่มองไปยังหนิวจินที่ถูกฆ่าตายอย่างไร้ทางต่อต้านอยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผากมิขาดสาย

ใบหน้าของเฉิงจืออี้ก็ดูน่าเกลียดมิแพ้กัน

เขามองไปที่เหลยเจิ้นและพูดด้วยความโกรธ “ท่านหัวหน้าโหรหลวง ท่านรุนแรงเกินไปหรือไม่ หนิวจินแค่ต้องการให้องค์รัชทายาทของท่าน…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสนาบดีคนหนึ่งก็ขัดเขาขึ้น

“ผู้อาวุโสเฉิง คนหนุ่มมิรู้ธรรมเนียมก็ว่าไปอย่าง แต่ท่านอายุปูนนี้แล้วยังมิเข้าใจกฎพื้นฐานที่สุดอีกหรือ?”

“เรื่องก็คือ เขากล้าชักดาบต่อหน้าองค์จักรพรรดิของเรา ท่านหัวหน้าโหรหลวงยังเหลือร่างเขาไว้เช่นนี้ ก็ถือว่าเมตตามากแล้ว”

“ฮึ กล้ามาอวดเก่งในท้องพระโรงต้าเหยียนของเรา นี่คือสิ่งที่ต้องเจอ!”

เสนาบดีคนอื่น ๆ ต่างก็พูดกันทีละคน

เฉิงจืออี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนพูดมิออกเพราะถูกตำหนิ

ท้ายที่สุดแล้ว ขุนนางเหล่านี้พูดถูก หนิวจินเป็นฝ่ายชักดาบก่อน

เพียงแต่ว่า เขามิอาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ไปได้

ดังนั้นเขาจึงคำนับต่อฉินอู๋ต้าว และพูดด้วยความมิพอใจอย่างยิ่ง

“จักรพรรดิต้าเหยียน หนิวจินของเราชักอาวุธต่อหน้าพระองค์ เขาสมควรตายจริง ๆ พวกเราเป่ยเยี่ยนยอมรับเรื่องนี้ได้”

“แต่องค์รัชทายาทของท่านตบองค์ชายหกแห่งเป่ยเยี่ยนของเรา จะคิดบัญชีเรื่องนี้อย่างไรดี?”

“ราชวงศ์ต้าเหยียนของพวกท่าน อาศัยที่จำนวนคนมากกว่า รังแกแขกจากแดนไกลอย่างพวกเรา หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันก็จะทำลายชื่อเสียงของราชสำนักต้าเหยียนที่ยิ่งใหญ่ของท่านด้วยเช่นกัน”

ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินซูก็อดหัวเราะมิได้

เฉิงจืออี้ใบหน้ามืดมนว่า “องค์รัชทายาทต้าเหยียน ท่านหัวเราะเพราะเหตุใด"

ฉินซูตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหัวเราะเยาะเจ้าที่ไร้ยางอาย มิรู้จักที่ต่ำที่สูง!"

“ท่านหมายความเยี่ยงไร? หรือสิ่งที่กระหม่อมพูดมันผิดตรงไหน? มิใช่ว่าต้าเหยียนของพวกท่านอาศัยจำนวนคนมากรังแกพวกเราหรอกหรือ?”

ฉินซูโต้กลับอย่างมิรีบร้อนว่า “รังแกเจ้ารึ? ฮ่าฮ่า ขุนนางอาวุโสเฉิง คณะทูตเป่ยเยี่ยนของเจ้ามาที่พระราชวังต้าเหยียนของเรา พวกเจ้ามิเพียงแต่มิปฏิบัติตามมารยาท แต่เจ้ายังปล่อยให้มู่หรงฟู่พูดจาหยาบคายกับเสด็จพ่อของข้าด้วย ข้าถามหน่อยว่า พวกเจ้ามีความถ่อมตัวอย่างที่แขกควรมีบ้างหรือไม่?”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉิงจืออี้ก็ขยับปากแต่มิสามารถพูดอะไรออกมาได้

องค์ชายคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ฉินซูด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป

เพียงรู้สึกว่า วันนี้ฉินซูแข็งกร้าวยิ่ง นี่คือองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้ใช้เงินราวกับเบี้ยผู้นั้นจริงหรือ?

แม้แต่ฉินอู๋ต้าวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดมิได้ที่จะมองฉินซูสองครั้ง

ทันใดนั้นท้องพระโรงก็เงียบลงในฉับพลัน

คณะทูตเป่ยเยี่ยนย่อมไม่มีอะไรจะพูด แม้ท้องพระโรงต้าเหยียนได้ยินคำพูดของฉินซูเต็มสองหู ทว่าไม่มีใครสนับสนุนคำพูดของเขาเลย

บรรยากาศนี้ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ

ที่พวกเขาทั้งหมดเงียบเพราะฉินซูเป็นองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด

ในเวลานี้หากพูดขึ้นมา ก็อาจถูกเข้าใจผิดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ว่าอยู่ฝ่ายองค์รัชทายาทที่จะถูกโค่นลง นี่มิใช่เรื่องล้อเล่นเลย

เห็นได้ชัดว่าความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขามิอาจหลบจากสายตาของฉินอู๋ต้าวได้

เขาเพียงมองไปที่เว่ยเจิงขุนนางอาวุโสสำนักขุนนางใหญ่อย่างมิตั้งใจนัก

เว่ยเจิงเข้าใจและพูดขึ้นว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง สิ่งที่องค์รัชทายาทของข้าพูดนั้นถูกต้อง เรื่องนี้เป็นพวกท่านที่เสียมารยาทก่อน ท่านมิสามารถตำหนิผู้อื่นได้!”

เมื่อเห็นว่าเว่ยเจิงพูดแล้ว เสนาบดีคนอื่น ๆ ก็ต่างสนับสนุนตามไป

“นั่นคือ หากท่านสุภาพแต่แรก เราก็จะปฏิบัติต่อท่านด้วยความสุภาพเช่นกัน”

“สิ่งที่น่าขันก็คือ มู่หรงฟู่เป็นแค่ผู้เยาว์กลับกล้าชี้นิ้วต่อว่าองค์จักรพรรดิของเรา องค์รัชทายาทของเราตบเขาเพียงครั้งเดียวถือว่าออมมือแล้ว”

“ถูกต้อง รีบขอประทานอภัยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกท่านจะต้องลงเอยเช่นหนิวจิน!!”

ฉินซูก้มลงมองไปที่มู่หรงฟู่แล้วพูดอย่างใจเย็น “ดูสิ พวกเจ้าทำให้ทุกคนโกรธแล้ว เจ้าคงมิต้องให้ข้าสอนหรอกใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร?”

หลังจากพูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ยกเท้าออก

ทูตเป่ยเยี่ยนอีกสองคนรีบประคองมู่หรงฟู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

มู่หรงฟู่กัดฟันกรอด

ในฐานะองค์ชายผู้สูงศักดิ์แห่งเป่ยเยี่ยน การถูกฉินซูเหยียบต่อหน้าธารกำนัลมากมายถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับเขา

ตอนที่เขากำลังจะโจมตีเฉิงจืออี้ก็รีบชักชวนเขาด้วยเสียงต่ำ “องค์ชาย ตราบใดที่เนินเขาเขียวขจียังคงอยู่ ฟืนก็จะไม่มีวันขาดแคลน(1) ยามนี้อย่าเพิ่งแข็งกร้าวกับพวกเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงฟู่หลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากระงับความโกรธในใจลงแล้วเขาก็โค้งคำนับให้ฉินอู๋ต้าว

“จักรพรรดิต้าเหยียน เมื่อครู่นี้กระหม่อมพูดตรงเกินไป กระหม่อมขอประทานอภัยและขอท่านโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอู๋ต้าวยิ้มอย่างสงบ “มิเป็นไร ข้ามิถือสาเด็กน้อยอย่างเจ้าหรอก”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ปากของมู่หลงฟู่ก็กระตุกเล็กน้อย เขาแอบสาปแช่งอยู่ในใจ

‘มิถือสาข้า แต่ยังปล่อยให้ลูกชายทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ?’

เฉิงจืออี๋รับช่วงการสนทนาและถามว่า “จักรพรรดิต้าเหยียน กระหม่อมขอทูลถามสักคำ พระองค์จะเริ่มทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนของเราเพราะเมืองชิ่งโจวเพียงแห่งเดียวจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วพูดว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิงพูดเกินไปแล้ว เรื่องนี้เราค่อยหารือกันในวันพรุ่ง พวกเจ้าเป็นแขกมาจากแดนไกล เช่นนั้นกลับไปพักที่เรือนรับรองก่อนเถิด”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกคำสั่งให้ไล่แขก เฉิงจืออี้ก็พยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นวันพรุ่งเราค่อยคุยกัน กระหม่อมขอทูลลา!”

เขาประสานมือแล้วหันหลังกลับไปพร้อมกับทูตจากเป่ยเยี่ยน

เมื่อมู่หรงฟู่หันกลับมา เขาก็จ้องมองไปที่ฉินซูด้วยสายตาโกรธแค้น มิสามารถซ่อนเจตนาสังหารอันรุนแรงของเขาได้

หลังจากที่พวกเขาเดินออกจากท้องพระโรง ฉินอี้กระซิบเบา ๆ ว่า “เสด็จพี่องค์รัชทายาท สายตาของมู่หรงฟู่เมื่อครู่ดุร้ายมาก ท่านต้องระวังตัวด้วย”

ฉินซูยิ้ม มิตอบรับและมิปฏิเสธ

มู่หรงฟู่เพียงคนเดียว เขามิใส่ใจสักนิด

ฉินอู๋ต้าวถามเสียงดัง “ขุนนางทั้งหลาย เรื่องของเมืองชิ่งโจว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรอีกหรือไม่?”

“เอ่อ…”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก

ในเวลานี้เหวินเยวี่ยนซานเสนาบดีกรมกลาโหม ยืนขึ้นและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท หากกรมพระคลังสามารถรับประกันการจัดส่งเสบียงได้ กองทัพของเราก็มิใช่ว่าจะสู้กับเป่ยเยี่ยนมิได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ปีนี้ต้าเหยียนของเราประสบภัยพิบัติร้ายแรง ภาคใต้มีน้ำท่วม ภาคเหนือมีภัยแล้ง ถือเป็นปีที่ภัยพิบัติเลวร้ายที่สุดในรอบร้อยปี ราษฎรมากมายหิวโหย หากเกิดสงครามในยามนี้ กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายภายในได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านพ่อ เมื่อครู่เสด็จพี่องค์รัชทายาทสนอว่า มิจำเป็นต้องส่งชิ่งโจวกลับไปให้เป่ยเยี่ยน คงมีแผนการอันชาญฉลาดอยู่บ้าง เหตุใดมิลองฟังความคิดเห็นของเขาดูเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

หลังจากที่ฉินเหยี่ยนพูดจบ เขาก็มองไปที่ฉินซูด้วยรอยยิ้มแกน ๆ รอคอยที่จะดูเรื่องตลก

สายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็จับจ้องไปที่ฉินซูเช่นกัน

ตราบใดที่เนินเขาเขียวขจียังคงอยู่ ฟืนก็จะไม่มีวันขาดแคลน สำนวนนี้หมายถึง ตราบใดที่ยังมีชีวิตหรือความหวัง ก็จะมีโอกาสในอนาคต
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
จำลอง ดอกคำ
สนุกมากครับน่าติดตาม
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 865

    จวนอ๋องฉู่องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าฉินอวี่"ทูลท่านอ๋องฉู่ ฝ่าบาทมิทรงเห็นด้วยที่จะส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน อีกทั้งยังทรงส่งแม่ทัพฉงไปประจำการที่ชายแดนเหนือพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าแน่ใจหรือว่าเสด็จพ่อปฏิเสธชัดเจน?" ฉินอวี่ถามย้ำ"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง การที่ฝ่าบาททรงส่งแม่ทัพฉงไปชายแดนเหนือ น่าจะประสงค์ฉวยโอกาสโจมตี""ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อต้องการฉวยโอกาสโจมตีตลบหลังเป่ยเยี่ยน ขณะที่พวกเขากำลังสู้กับแคว้นฉี"พูดถึงตรงนี้ ฉินอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว "แล้วแคว้นฉีจะรับมืออย่างไร? เสด็จพ่อทรงส่งหัวหน้าโหรหลวงไปเกลี้ยกล่อมหรือไม่?"องครักษ์พยักหน้า "ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และตามรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ หัวหน้าโหรหลวงเดินทางขึ้นเหนือไปแล้ว น่าจะไปเจรจากับอ๋องเซียงหยางพ่ะย่ะค่ะ""ดี! ดีมาก! การกระทำของเสด็จพ่อเช่นนี้ มิต่างกระไรกับการประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าต้าเหยียนของเราละทิ้งฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้ไปแล้ว!""ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อองค์รัชทายาทถูกละทิ้ง เขาก็ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านอ๋องอีกแล้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 864

    ฉงชูโม่ชะงักไป แล้วถามย้ำ “เจ้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าโหรหลวงขึ้นเหนือไปเพื่อช่วยองค์รัชทายาท?”“อืม อาจารย์พูดเองว่าจะมิทอดทิ้งองค์รัชทายาท”“แต่เขาไปเพียงลำพัง จะมีประโยชน์กระไรมากมาย?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันที่จริงอาจารย์ก็ลำบากใจเช่นกัน หากเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ทรงออกทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน สุดท้ายต้าเหยียนของเราก็คงหนีมิพ้นเคราะห์กรรม ราษฎรในแผ่นดินก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจารย์คำนึงถึงจุดนี้ เขาจึงมิได้เตือนฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา”ได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแล้วเงียบไปเพราะระหว่างทางที่กลับมา นางได้ลองประมาณกำลังพลทั้งสามฝ่ายดูแล้วกำลังพลของเป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนรวมกันอย่างมากก็มีประมาณเก้าแสนถึงหนึ่งล้านนาย ส่วนแคว้นฉีลำพังแค่กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะก็มีจำนวนคนถึงหนึ่งล้านนายแล้ว นี่ยังมิรวมทัพอื่น ๆ อีกอีกทั้งแคว้นฉียังมีรากฐานที่มั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทหารใช้ก็เป็นของชั้นเลิศหากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ แม้เป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนจะร่วมมือกัน ก็ยากที่จะเอาชนะได้ที่นางมาหาหัวหน้าโหรหลวง ก็เพียงแต่หวังว่าอีกฝ่ายจะคิดหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 863

    เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “ฝ่าบาท หากหัวหน้าโหรหลวงสามารถเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยางได้ เมื่อเขากลับมาแล้ว ค่อยให้เขาคิดหาทางแก้ไขก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หึ! เดิมทีตัวข้ายังปวดหัวอยู่ว่าจะลดทอนความดีความชอบขององค์รัชทายาทลงอย่างไร เจ้านั่นก็เหลือเกิน ใจกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยาง นี่ถือว่าเขาก่อเรื่องเอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เบาแรงข้าลงไปได้มากโขเลยทีเดียว”เฉาฉุนหัวเราะแห้ง ๆ มิได้ตอบกระไรฉินอู๋ต้าวยืดเส้นยืดสาย แล้วหันกลับไปยังห้องบรรทมภายในสำนักหอดูดาวหลวงทันทีที่เหลยเจิ้นกลับมา กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถามอย่างใจร้อน “อาจารย์ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ จะส่งทัพไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยนเมื่อใด?”“ฝ่าบาทจะมิส่งทัพไป” เหลยเจิ้นตอบสั้น ๆ“ว่ากระไรนะ?! มิส่งทัพไปช่วยหรือ หากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย กองทัพแคว้นฉีก็จะหันคมดาบมายังต้าเหยียนของเรามิใช่หรือ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ฝ่าบาทมิได้ทรงคำนึงถึงหรือเจ้าคะ?”“ใช่ว่าฝ่าบาทมิได้คำนึงถึง เพียงแต่หากส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน ก็เท่ากับการประกาศสงครามกับแคว้นฉี ด้วยกำลังของแคว้นฉี แม้ต้าเหยียนกับเป่ยเยี่ยนจะร่วมมือกัน

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 862

    เว่ยเจิงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามิคาดคิดว่าฉินอู๋ต้าวตั้งใจจะสละองค์รัชทายาทจริง ๆเหลยเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มองฉินอู๋ต้าวอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้า ๆ“เกรงว่ามิง่ายนัก เมื่ออ๋องเซียงหยางทำลายเป่ยเยี่ยนลงแล้ว เก้าในสิบส่วนย่อมต้องบุกเข้ามา และฉวยโอกาสยึดต้าเหยียนของเราไปด้วย”เว่ยเจิงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่มากมายในช่วงหลังมานี้ หนานเยวี่ยก็เป็นองค์รัชทายาทที่ยึดครองมาได้ หากสละองค์รัชทายาทไป เกรงว่าจะถูกคนทั่วหล้าวิพากษ์วิจารณ์เอาได้พ่ะย่ะค่ะ”“คนทั่วหล้าจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าอย่างไร ข้ามิสน! สิ่งที่ข้าใส่ใจคือชีวิตของราษฎรนับล้านในแผ่นดินต้าเหยียนของข้า!”ฉินอู๋ต้าวลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวต่อ “ท้ายที่สุดแล้วหายนะครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่รัชทายาทก่อขึ้น ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าเหยียน ข้าย่อมมิอาจปล่อยราษฎรในแผ่นดินต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย ดังนั้น ขุนนางเหลย ข้าอยากจะขอให้เจ้าเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง ไปเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยาง ตราบใดที่เขามิระบายโทสะกับต้าเหยียนของเรา องค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไรก็ให้เขาจัดการ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 861

    หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่ก้าวออกมากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าการที่องค์รัชทายาทสังหารบุตรชายของอ๋องเซียงหยางเป็นการกระทำที่บีบบังคับยิ่ง มิอาจตำหนิพระองค์ได้ หากมิส่งกำลังไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน เกรงว่าในภายภาคหน้าภัยจะมาถึงตัว ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"ตาเฒ่าเนี่ยหงสนับสนุน "ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเป่ยเยี่ยนกับต้าเหยียนของเราจะขัดแย้งกันมาโดยตลอด แต่ยามนี้หากมิร่วมมือกันต่อต้านแคว้นฉี หลังจากที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ ต้าเหยียนของเราก็จะไม่มีกำลังต่อต้านอีกต่อไป ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ก้าวออกมา "ฝ่าบาท ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ การร่วมมือกับเป่ยเยี่ยนยังพอเห็นโอกาสเอาชนะได้บ้าง หากปฏิเสธที่จะส่งกำลังไปช่วยเหลือ หลังจากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย พวกเราก็จะต้องเผชิญหน้ากับคมดาบของกองทัพทหารม้าหุ้มเกราะนับล้านของแคว้นฉีโดยตรง""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน จะทำให้ภายในต้าเหยียนของเรามิได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม มิฉะนั้นหากวันใดทัพใหญ่ของแคว้นฉีบุกเข้ามา ต้าเหยียนของเราย่อมต้องประสบกับ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 860

    ฉินซูกำชับ "แม่ทัพใหญ่ ท่านควรส่งคนกลับไปเสริมกำลังป้องกันเมืองเจียหยางก่อน หากอ๋องเซียงหยางบุกโต้กลับ เมืองเจียหยางก็คือแนวป้องกันสุดท้ายของเรา""ก่อนมา ข้าได้สั่งให้คนเสริมกำลังป้องกันเมืองไว้แล้ว เรื่องนี้บุตรแห่งนักปราชญ์วางใจได้เลย!""เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม"ฉินซูพูดจบ ก็จ้องมองแผนที่ทรายตามิกะพริบ ความคิดในสมองแล่นอย่างรวดเร็วเห็นดังนั้น ลู่อวี้และมู่หรงอวิ๋นเจิงก็ฉลาดพอที่จะมิส่งเสียงรบกวน......แคว้นต้าเหยียนท้องพระโรงของพระราชวังเมืองหลงเฉิงเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินอู๋ต้าวก็รีบเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังทันทีฉินอู๋ต้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เจ้าว่ากระไรนะ? รัชทายาทกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีเชียวหรือ?!"ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็ตกใจหน้าซีดเซียว และต่างมองไปที่ฉงชูโม่เป็นตาเดียว!แม้แต่เหลยเจิ้นยังมีสีหน้าประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ "เพคะฝ่าบาท หยวนหัวคิดจะทำเรื่องต่ำช้ากับกู้เสวี่ยเจี้ยน หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปถึง ก็ได้สังหารเขาทันที"ได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางระดับสูงที่ต้องการตำหนิฉินซูเกิดความกระดากทันทีด้วยกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของหัวหน้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status