ทันทีที่ตาเฒ่าหวังพูดจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสลับแดงร่างกายที่ผอมแห้งของเขาก็เริ่มขยายตัวขึ้น ทำให้เสื้อคลุมบนร่างพองตัวสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่า เขารู้ตัวดีว่าต้องตายแน่ ๆ จึงใช้วิชาลับทำลายตัวเอง พยายามที่จะใช้พิษในร่างกายเพื่อให้ฉินซูตายไปพร้อมกันฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและฟาดเขาขึ้นไปในอากาศ!“ฟุ่บ!”ร่างของตาเฒ่าหวังระเบิดออกกลายเป็นละอองเลือดฉินซูเหลือบมองไปที่แขนที่ขาดของอีกฝ่ายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น และเตะมันออกไปนอกหน้าต่างส่วนร่างของหยางเหอ เขาก็ฟาดร่างนั้นด้วยฝ่ามืออีกครั้งในห้องมีรอยคราบเลือดจาง ๆ เพียงสองรอยเท่านั้น“ยุ่งยากจริง ๆ!”ฉินซูพึมพำและโบกแขนเสื้อของเขาไปบนพื้นกระแสลมสองสายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา กวาดไปทั่วพื้นครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นสายลมอ่อนที่พัดออกไปทางหน้าต่างหลังจากทำทั้งหมดนี้ ฉินซูก็ไปที่หน้าต่าง และมองออกไปภายนอกหลังจากจ้องมองออกไปภายนอกเป็นเวลานาน เขาก็พึมพำออกมา “เจ้าโง่สองคนนี้ไม่มีพวกพ้องมาช่วยเลย ช่างกล้าหาญจริง ๆ”เขายืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปยังด้านหลังฉงชูโม่ เอื้อมมือไปจิ้มหลังของฉงชูโม่เบา ๆ สองสามครั้งจากนั้นจึ
“เรียกมาเรียกมา ตัวข้าอิ่มแล้ว”“ถ้ามิอยากสร้างปัญหาโดยมิจำเป็น ก็อย่าพูดแทนตัวให้คนอื่นรู้ว่าท่านเป็นองค์รัชทายาทเสียที!”“ใช่ ใช่ ตัวข้า... อะแฮ่ม ข้าง่วงแล้ว เจ้าเรียกคนมาเก็บจานชามเถอะ”ฉงชูโม่กลอกตามาที่เขาแล้วเรียกเสี่ยวเอ้อร์(1)ของร้านเข้ามาในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเก็บจาน นางก็ถามอย่างใจเย็น “พี่ชาย เมื่อครู่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหรือไม่?”“อะไรแปลก ๆ หรือ?”คนงานของร้านเอียงศีรษะ คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีขอรับท่าน”“ไม่มี? มีผู้ใดทะเลาะกันบ้างหรือไม่?”“ท่านล้อเล่นแล้ว แขกที่พักในโรงเตี๊ยมคืนนี้ล้วนเป็นบัณฑิต จะทะเลาะกันได้อย่างไร แม้ว่าจะขัดแย้งกันบ้าง ก็แค่เถียงกันบ้างเล็กน้อย ทว่าหากจะถึงขั้นลงไม้ลงมือ มันคงเกินไปและมิสมเป็นคนมีการศึกษาขอรับ”“นั่นสินะ เอาเถอะ เจ้าออกไปได้แล้ว”หลังจากให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว ฉงชูโม่ก็ลูบคางเรียบเนียนของนางพลางเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งฉินซูคร้านเกินกว่าจะสนใจนาง เขาขึ้นไปบนเตียงแล้วหลับไปทันทีใช้เวลามินานนัก เขาก็หลับสนิทไปแล้วฉงชูโม่เหลือบมองเขา ส่ายหน้าในใจแล้วพูดว่า “ไร้หัวใจจริง ๆ เกิดเรื่องเยี่ย
ฉินซูเลิกคิ้วและถามด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะรับลมได้หรือ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเป็นหวัดเอาได้?”ฉงชูโม่เบะปากและพึมพำ “แม่ทัพเป็นหวัดมิได้หรือไร องค์รัชทายาท ตรรกะของท่านนี่ช่างแปลกเสียจริง”“เช่นนั้นเจ้าขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วถามโดยมิรู้ตัวว่า “แล้วท่านเล่า?”ฉินซูตอบโดยมิได้คิดว่า “ถามอะไรของเจ้า ข้าก็ต้องนอนบนเตียงเหมือนกันน่ะสิ!”“ฮึ่ม คิดจะทำอะไรมิดีแน่ ไม่มีทาง หากกล้ารังแกหม่อมฉันอีก แส้ในมือหม่อมฉันมิอ่อนข้อให้ท่านแน่”ฉงชูโม่โบกแส้ในมือของนางฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “เจ้ามันเก่ง เจ้าสูงส่ง ข้าทำดีแท้ ๆ แต่กลับถูกมองเป็นเรื่องเลว ข้าแค่ลุกขึ้นมากลางคืน แต่กลับโดนเจ้าลงไม้ลงมือ ข้าจะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้? เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”หลังบ่นไปมิกี่ประโยค เขาก็กลับไปนอนบนเตียงสำหรับฉงชูโม่นั้นจะนอนหรือไม่ ก็แล้วแต่นางเลยมินานหลังจากนั้นฉินซูก็หลับสนิทอีกครั้งฉงชูโม่กัดริมฝีปากสีชาด แล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า “หึ หม่อมฉันจะมิตกหลุมพรางของท่านแน่ ต่อให้หนาวตายก็จะมิปีนขึ้นเตียงท่านหรอก
มู่หรงเซี่ยวเทียน จักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนคำรามด้วยความโกรธ “ต้าเหยียนกล้าหาญนัก กล้าดีอย่างไรมากักขังลูกของข้า คิดว่าเป่ยเยี่ยนของข้าใครจะรังแกก็ได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ!”ขุนนางคนหนึ่งรีบทูลว่า “ฝ่าบาท โปรดสงบสติอารมณ์เถิดพ่ะย่ะค่ะ ต้าเหยียนอาจเพียงต้องการใช้สิ่งนี้เป็นการบีบบังคับมิให้เราส่งกองกำลังไปโจมตีเมืองชิ่งโจวคืน ตราบใดที่เรามิทำอะไรบุ่มบ่าม จากนั้นองค์ชายห้าจะมิตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”“จริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตราบใดที่พวกเราเป่ยเยี่ยนมิส่งกองกำลังไป องค์ชายห้าก็จะปลอดภัย”“ใต้เท้าทั้งสองพูดง่ายไปหรือไม่? ตอนนี้มันมิใช่เรื่องว่าเราจะโจมตีเมืองชิ่งโจวหรือไม่ แต่ปัญหาคือต้าเหยียนได้กักขังองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยนของเราไว้ นี่เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน! เราต้องตอบโต้!"“เจ้าพูดถูก หากเรามิทำอะไรเลย เมื่อเรื่องแพร่กระจายออกไป ราชสำนักเป่ยเยี่ยนของเราจะไปสู้หน้าใครได้”…… ในขณะนั้น เหล่าขุนนางในราชสำนักเป่ยเยี่ยนต่างก็ถกเถียงกันไปต่าง ๆ นานามู่หรงเซี่ยวเทียนเดิมทีก็โกรธมากอยู่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันตรงหน้าเขาก็โกรธจนต้องทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกรอย่างโกรธเ
มู่หรงเซี่ยวเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “จื่อชิน มิต้องมากพิธี เรื่องที่องค์ชายห้าถูกกักบริเวณในแคว้นต้าเหยียน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”หนานกงจื่อชินพยักหน้า “กราบทูลองค์จักรพรรดิ เรื่องนี้พวกเราที่หอดารารักษ์ได้ยินมาหมดแล้ว อาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสต่างก็โกรธแค้นมากพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก ข้าขอสั่งให้เจ้าไปยังแคว้นต้าเหยียน โดยอ้างว่าไปคารวะท่านขงจื๊อเพื่อลอบเข้าเมืองหลวงของต้าเหยียน แล้วหาโอกาสช่วยองค์ชายห้ากลับมา!”“จื่อชินรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”หนานกงจื่อชินโค้งคำนับแล้วกำลังจะถอยออกไปทันใดนั้น ขุนนางระดับสูงคนหนึ่งก็เตือนว่า “องค์จักรพรรดิ จักรพรรดิต้าเหยียนจู่ ๆ ก็เรียกเหล่าบัณฑิตทั่วแคว้นต้าเหยียนให้มารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิง การคารวะท่านขงจื๊อเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ที่แท้จริงต้องเป็นการคัดเลือกผู้มีความสามารถจากเหล่าบัณฑิตเพื่อไปเข้าร่วมการประลองทางปัญญา ในการประชุมระหว่างแคว้นในอีกมิกี่เดือนข้างหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ!”“เจ้าเมืองโจวพูดถูก องค์ชายฉินอู๋ต้าวคงต้องคิดแผนเช่นนี้เป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องแสดงให้พวกเขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างแคว้นต้าเหยียนกับแคว้นเป่ยเยี่ยนของเราพ่ะย่ะค
เขามิกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝังความรักนี้ไว้ในใจอย่างจนใจตอนนี้เขาสามารถอยู่กับมู่หรงจื่อเยียนได้ทุกวัน แม้ว่าเขาจะมิพูดอะไรออกมา แต่ในใจเขาก็มีความสุขมากแล้วส่วนอาจารย์ หากรู้ก็มิเป็นไร เพราะองค์จักรพรรดิทรงอนุญาตแล้ว ก็โทษเขามิได้ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็ออกเดินทางไปด้วยกัน……อีกด้านหนึ่งหลังจากที่ฉินซูและฉงชูโม่เดินทางมาครึ่งวัน พวกเขาก็หยุดพักข้างทางอย่างเหน็ดเหนื่อยฉงชูโม่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนาง และขมวดคิ้ว “อากาศแปลกจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นสารทฤดูแล้ว แต่วันนี้ก็ยังร้อนอย่างทนมิได้”“มันค่อนข้างแปลก เมื่อวานนี้ตอนที่เราออกจากเมืองหลงเฉิง มันมิได้ร้อนถึงเพียงนี้”“มิไหวแล้ว พวกเราพักกันก่อนเถอะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะทนไหว แต่สองม้านี่ทนมิไหวแล้ว ข้างหน้ามิไกลมีศาลาพอดี”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากควบม้าไปไกล เขาก็คิดว่าจะเข้าไปพักในศาลาในตอนนั้น เขาบังเอิญได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากทางขวา จึงพูดว่า “ชูโม่ ทางนั้นมีเสียงน้ำไหล พวกเราไปดูกัน อากาศเช่นนี้ ไปคลายร้อนกันสักหน่อยเถอะ”ฉงชูโม่พยักหน้า แล้วก็ควบม้าไปตามฉินซู ไปตามทางเล็ก ๆหลังจากผ่านป่าไ
หลังจากตกลงไปในน้ำ ฉินซูรู้สึกว่าน้ำในลำธารเย็นมาก ความร้อนในสารทฤดูก็บรรเทาลงในทันที ความเหนื่อยล้าทั่วร่างกายก็หายไปด้วย เขาอดมิได้ที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำทั้งตัวทันใดนั้นเขาก็พบว่า ฉงชูโม่ก็อยู่ใต้น้ำเช่นกัน ฉินซูยังคิดในใจว่า ฉงชูโม่มีความสุขมากกว่าเขา แช่ตัวในน้ำทั้งตัวสบายจริง ๆ แต่ในมิช้าเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะในตอนนี้สีหน้าของฉงชูโม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน นางโบกมือไปมาไม่หยุดแย่แล้ว ฉงชูโม่ว่ายน้ำมิเป็น!ฉินซูมิทันได้คิดอะไรมาก รีบว่ายน้ำไปโอบร่างฉงชูโม่ไว้ จากนั้นก็ถีบขาขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็วจากการคาดคะเนคร่าว ๆ บ่อน้ำแห่งนี้ลึกประมาณสิบกว่าจั้ง คนที่ว่ายน้ำมิเป็นตกลงไปในนี้ถือว่าอันตรายมากครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็โผล่หัวขึ้นมาจากใต้น้ำ“แค่ก ๆ ๆ ...”ทันทีที่โผล่ขึ้นมา ฉงชูโม่ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ไออย่างรุนแรงในปากยังมีน้ำในบ่อออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าสำลักน้ำเข้าไปมิน้อยฉินซูถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”เขามิพูดอะไรก็ยังดี แต่พอถามเช่นนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีนางทุบกำปั้นใส่ฉินซูอย่างแรง พร้อมกับบ่
ฉงชูโม่ตกใจจนร้องเสียงหลงออกมาตอนนี้อยู่ในน้ำ ต่อให้นางจะมีพลังเหนือธรรมชาติก็มิสามารถออกแรงใช้ได้เห็นปากใหญ่ของงูยักษ์กำลังจะงับลงมา ฉินซูตะโกนทันที “สูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นไว้!”ฉงชูโม่ทำตามสัญชาตญาณทันทีที่นางสูดหายใจ ฉินซูก็โอบนางแล้วดำลงไปในน้ำในเวลาเดียวกัน หัวขนาดใหญ่ของงูยักษ์ก็พุ่งลงไปในน้ำตูม!!เสียงดังสนั่น น้ำกระเซ็นไปทั่ว!ฉินซูหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นงูยักษ์บิดตัวที่ใหญ่และยาวไล่ตามมารวดเร็วอย่างมิลดละฉงชูโม่เพิ่งจะรู้ว่า งูเหลือมตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก ขนาดใหญ่กว่าต้นขาของนางเสียอีก! และดูเหมือนว่ามันจะมีความยาวอย่างน้อยสี่หรือห้าจั้ง! สตรีมีความกลัวต่อสิ่งมีชีวิตประเภทงูโดยธรรมชาติ แม้แต่ฉงชูโม่ที่แข็งแกร่งก็ไม่มีข้อยกเว้น ในเวลานี้ นางรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีขุมขนลุกขึ้นทั่วร่างกาย และร่างกายของนางก็สั่นโดยมิสามารถควบคุมได้ ในเวลานี้ ฉินซูกำลังอุ้มนางและใกล้จะว่ายน้ำถึงฝั่งแล้วแต่ทันใดนั้นดวงตาของฉงชูโม่ก็หดลงอีกครั้ง นางรีบตบฉินซูอย่างรวดเร็ว และชี้ไปข้างหลังมิหยุดฉินซูหันกลับไปมองโดยมิรู้ตัว และพบว่างูยักษ์ตัวนั้นได้ว่ายน้ำ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ