Share

บทที่ 9

Author: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
หลังจากที่หลินชิงเหยาได้สติ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเข้าไปยุ่งโดยมิจำเป็น วางพระทัยเถิดเพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะมิเข้ามารบกวนท่านอีก"

นางดูหดหู่ใจ ความโศกเศร้าจาง ๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าอันบอบบางของนาง หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็หันหลังเดินจากไป

สตรีผู้นี้มีความรู้สึกต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด!

ฉินซูยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พลันคว้าแขนขาวดั่งหยกอันละเอียดอ่อนของหลินชิงเหยาแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมอก

ร่างกายที่บอบบางของหลินชิงเหยาสั่นสะท้าน และตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้

เมื่อตระหนักรู้ตัวได้เช่นนั้นนางก็พยายามจะแยกตัวออก

นางเริ่มตะโกน

“องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”

ฉินซูยื่นมือออกมาเชยคางของนางแล้วจ้องมอง

เมื่อสบกับสายตาเจ้าเสน่ห์ของฉินซู หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตะลึงเล็กน้อย

ตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาขององค์รัชทายาทไร้ค่า คิ้วคมโดดเด่น และดวงตาที่น่าดึงดูด

และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้

ก่อนหน้านี้ แม้ว่าอ๋องฉีฉินหงจะบอกว่าเขารักนางก็ตาม

แต่เขามักจะมองนางด้วยท่าทางวางตัวราวกับว่าความรักของเขาคือการกุศล ซึ่งทำให้หลินชิงเหยารู้สึกอึดอัดใจอยู่เสมอ

แต่การจ้องมองของฉินซู ทำให้นางรู้สึกอย่างแท้จริงว่าการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันนั้นเป็นอย่างไร

ใจของนางเต้นระรัวอย่างดุเดือด

ใบหน้าอันงดงามละเอียดอ่อนนั้นแดงระเรื่อ สวยงามและสดใสราวกับเมฆในยามพระอาทิตย์ตกดิน

ทันใดนั้น ฉินซูก็โน้มตัวลงจูบริมฝีปากสีชมพูละเอียดอ่อนของนาง

“อื้ม...”

จิตใจของหลินชิงเหยาว่างเปล่า นางรู้สึกชาไปทั่วร่าง

ฉินซูจูบนางพลางโอบแขนรอบเอวบางของนาง

หลินชิงเหยาสงบสติอารมณ์และพูดด้วยท่าทีต่อต้าน “องค์รัชทายาท อย่าทำเช่นนี้ ปล่อย... ปล่อยหม่อมฉัน…”

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะปล่อยไปฉินซูกลับกอดนางแน่นขึ้น

ก่อนที่จะเดินทางข้ามมิติมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก เขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากสตรีบอกปฏิเสธบุรุษก็จะทำตรงกันข้าม

ทว่า หลินชิงเหยายังคงต่อต้านอยู่เล็กน้อยในตอนแรก

แต่หลังจากที่ฉินซูจูบไปสักพักนางก็ตอบกลับอย่างเชื่องช้า

หัวใจของหลินชิงเหยาเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แก้มของนางร้อนผ่าว ร่างกายร้อนรุ่มมิเป็นระส่ำ นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย

เมื่อมือข้างหนึ่งของฉินซูจับอกสวยของหลินชิงเหยา ร่างบางของนางก็สั่นทันที นางคว้ามือของฉินซูและพูดอย่างเขินอาย “องค์รัชทายาท อย่า... อย่าทำเช่นนี้เพคะ”

เมื่อนางพูดเสียงของนางผลุนผลันเล็กน้อย และแก้มของนางก็แดงระเรื่อ

“แต่ตัวข้าต้องการ!”

หลังจากที่ฉินซูพูดจบก็พลันอุ้มนางขึ้นมาในอ้อมแขน และหันหลังกลับเดินไปที่ห้องบรรทม

หลินชิงเหยารู้สึกทึ่งกับท่าทีที่น่าหลงใหลของฉินซู แขนเรียวเล็กทั้งสองข้างของนางโอบรอบคอของฉินซูตามสัญชาตญาณ

เมื่อเดินมาถึงห้องบรรทม ฉินซูก็อุ้มหลินชิงเหยาไปที่เตียง

หลังจากนั้นทันที ห้องบรรทมก็เต็มไปด้วยเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” แปลก ๆ

มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด

หลินชิงเหยาเหนื่อยล้าจากการถูกทรมาน แต่ในหัวใจนางก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง

นางแนบตัวเข้ากับแขนของฉินซูพลางจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินซูโดยจมอยู่กับความคิด

มือใหญ่ของฉินซูลูบไล้ร่างขาวบางไร้ที่ติราวกับหยกของนางอย่างได้ใจ

ความงามเช่นหลินชิงเหยาน่าจะมีอยู่ในระดับเทพธิดาของโลกก่อนที่นางจะเดินทางข้ามมิติมา

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือนางมีบิดาเป็นเสนาบดีกรมพระคลังด้วย

ยามนี้ฉินซูโดดเดี่ยวในราชสำนัก หากเขาสามารถนำเสนาบดีกรมพระคลังมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาได้ เช่นนั้นคงจะเป็นการสนับสนุนที่สำคัญอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าเหตุผลหลักที่เขาเอาเปรียบหลินชิงเหยาก็คือ การที่อีกฝ่ายเต็มใจมาหาเขา แล้วเหตุไฉนมิใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เล่า?

ในขณะที่ฉินซูกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลินชิงเหยาก็พูดขึ้น

“องค์รัชทายาท หม่อมฉัน… หม่อมฉันต้องกลับแล้ว ดึกแล้วเพคะ”

“ไปสิ ภายหน้าหากเจ้ามีข้อมูลอื่นใดเจ้าก็มาหาข้าได้ตลอดเวลา ตัวข้าจะมิทำอันใดเลวร้ายกับเจ้า”

หลินชิงเหยาพยักหน้าเบา ๆ พลางสวมเสื้อผ้าแล้วนางก็เดินไปที่ประตูพร้อมหันกลับไปมองสามครั้ง

ลึก ๆ แล้วนางหวังว่าฉินซูจะรั้งนางไว้บ้าง

น่าเสียดายที่ฉินซูไม่มีความตั้งใจที่จะพูดเช่นนั้นเลย

นางมองไปที่ฉินซูอย่างมิพอใจ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินจากไป

ฉินซูก็ทำอะไรมิถูกเช่นกัน ลึก ๆ แล้วเขายังต้องการให้หลินชิงเหยาอยู่ต่อ ท้ายที่สุดแล้ว ในค่ำคืนอันยาวนานการมีสาวงามเช่นนางมาร่วมหลับนอนกับเขาก็คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาเป็นเพียงองค์รัชทายาทไร้มงกุฎซึ่งมีแต่คนที่มิเป็นประโยชน์รอบตัวเขา

ยามนี้ยังมิควรที่จะเผชิญหน้ากับเสนาบดีกรมพระคลัง

มิเช่นนั้นหากอีกฝ่ายโกรธขึ้นมาและรายงานต่อองค์จักรพรรดิ ตำแหน่งของฉินซูในตำหนักบูรพาอาจจะสูญเสียไปก่อนที่จะถึงวันซุนเฟินปีหน้า

“เซี่ยหลานจากจวนชิ่งกั๋วกง…”

ฉินซูพึมพำกับตัวเอง ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในความทรงจำของเขา

น่าเสียดาย ในความทรงจำของเขาไม่มีความประทับใจต่อเซี่ยหลาน

เขาลูบคาง ครุ่นคิดถึงวิธีจัดการกับความท้าทายที่จะต้องเผชิญในภายหน้า

หากเขามิสนใจผลที่ตามมาเขาก็สามารถลงมือฆ่าคู่ต่อสู้ได้โดยตรง

แต่การทำเช่นนั้นย่อมทำให้องค์จักรพรรดิพิโรธอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

นอกจากจะกระตุ้นความหวาดระแวงของจักรพรรดิแล้ว จากนั้นก็คงได้มิคุ้มเสีย

ในขณะที่เขากำลังไตร่ตรองถึงมาตรการตอบโต้

ภายในสถานีหลวง

มู่หรงฟู่ตบโต๊ะอย่างแรงและกัดฟันพูด “ไอ้สารเลวฉินซู กล้าดีอย่างไรมาทำให้ข้าอับอายต่อหน้าธารกำนัล ขุนนางอาวุโสเฉิง เจ้าช่วยคิดให้เร็ว ๆ หน่อย หากไม่แก้แค้นฉินซู ความอัปยศอดสูนี้ข้ายอมทนมิได้”

หลังจากกลับมาจากพระราชวังมาที่สถานีหลวงแล้ว มู่หรงฟู่ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องบรรทม และพยายามสงบสติอารมณ์

การอดทนครู่หนึ่งอาจนำมาซึ่งความสงบสุขชั่วคราว แต่เขามิเคยคาดคิดเลยว่าการถอยกลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้น

ในที่สุดเขาก็ทนมิไหวอีกต่อไป จึงเรียกทูตของเป่ยเยี่ยนมาหารือเรื่องนี้

เฉิงจืออี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “องค์ชาย อยู่ใต้ชายคาผู้อื่นก็ควรก้มหัวเอาไว้ การยั่วยุองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนในเวลานี้มิใช่เรื่องฉลาดเสียเท่าไร"

“แล้วเจ้าหมายความว่า ให้ตัวข้าเพิกเฉยต่อเรื่องที่ข้าโดนตบวันนี้รึ?” ใบหน้าของมู่หรงฟู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและน้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย

ทุกคนมองหน้ากันสักพักมิรู้จะตอบอย่างไร

มู่หรงฟู่ตะคอกอย่างเย็นชาและพูดต่อ “แม้ว่าเขาจะตบหน้าข้า แต่ที่เราเสียไปคือศักดิ์ศรีของเป่ยเยี่ยน!

หากเรื่องนี้ถูกรายงานกลับไปยังเป่ยเยี่ยน พวกเจ้าทุกคนจะถูกมองว่าเป็นขบถ ลองคิดดูเถอะ หากเรากลับไปแล้วพวกเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าเสด็จพ่ออย่างไร!”

“ขุนนางอาวุโสเฉิง ข้าเชื่อว่าเรามิอาจเพิกเฉยต่อเรื่องที่องค์ชายถูกตบพระพักตร์ได้ มิเช่นนั้น เป่ยเยี่ยนจะต้องเสียศักดิ์ศรี หากเรากลับไปแล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปยืนต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิเล่า”

“ใช่แล้ว ขุนนางอาวุโสเฉิง ฉินชูนั้นผยองเกินไป หากเรามิทำอะไรเลย มันจะทำให้เป่ยเยี่ยนของเราต้องอับอาย”

"ใช่ เราจะปล่อยไปมิได้ มิว่าอย่างไรเราจะต้องให้ฉินซูได้ชดใช้!"

ทุกคนต่างเริ่มพูด และฝูงชนก็ยิ่งดูโกรธมากขึ้น

เฉิงจืออี้โบกมือ และเสียงโห่ร้องตำหนิของฝูงชนก็หยุดลงทันที

“ทุกคน ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่อย่าลืมว่านี่คือเมืองหลวงของจักรพรรดิต้าเหยียน เรากำลังเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ หากเรามิระวังคำพูดและการกระทำ ราชสำนักจักรพรรดิต้าเหยียนก็จะมีข้อแก้ตัวมากมายที่จะทำให้เราเดือดร้อน”

สีหน้าของมู่หรงฟู่เคร่งขรึมขึ้นและเขาถามว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง ยังต้องการให้ตัวข้าเพิกเฉยอีกหรือ?"

เฉิงจืออี้กะพริบตาสองสามครั้งแล้วพูดว่า "หากองค์ชายมิสามารถเพิกเฉยได้จริง ๆ เช่นนั้นกระหม่อมก็มีวิธีพ่ะย่ะค่ะ"

มู่หรงฟู่ก็รู้สึกตื่นเต้นในทันใด เฉิงจืออี้เลื่องชื่อด้านความเฉียบแหลมทางกลยุทธ์ วิธีการที่เขาคิดขึ้นมานั้นต้องมิธรรมดาเป็นแน่

ดังนั้นเขาจึงรีบถาม “วิธีของเจ้าคืออะไร? รีบบอกข้ามาสิ!"

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
Pasin Watcharawarin
สนุกมากๆครับ
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 865

    จวนอ๋องฉู่องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าฉินอวี่"ทูลท่านอ๋องฉู่ ฝ่าบาทมิทรงเห็นด้วยที่จะส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน อีกทั้งยังทรงส่งแม่ทัพฉงไปประจำการที่ชายแดนเหนือพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าแน่ใจหรือว่าเสด็จพ่อปฏิเสธชัดเจน?" ฉินอวี่ถามย้ำ"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง การที่ฝ่าบาททรงส่งแม่ทัพฉงไปชายแดนเหนือ น่าจะประสงค์ฉวยโอกาสโจมตี""ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อต้องการฉวยโอกาสโจมตีตลบหลังเป่ยเยี่ยน ขณะที่พวกเขากำลังสู้กับแคว้นฉี"พูดถึงตรงนี้ ฉินอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว "แล้วแคว้นฉีจะรับมืออย่างไร? เสด็จพ่อทรงส่งหัวหน้าโหรหลวงไปเกลี้ยกล่อมหรือไม่?"องครักษ์พยักหน้า "ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และตามรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ หัวหน้าโหรหลวงเดินทางขึ้นเหนือไปแล้ว น่าจะไปเจรจากับอ๋องเซียงหยางพ่ะย่ะค่ะ""ดี! ดีมาก! การกระทำของเสด็จพ่อเช่นนี้ มิต่างกระไรกับการประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าต้าเหยียนของเราละทิ้งฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้ไปแล้ว!""ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อองค์รัชทายาทถูกละทิ้ง เขาก็ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านอ๋องอีกแล้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 864

    ฉงชูโม่ชะงักไป แล้วถามย้ำ “เจ้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าโหรหลวงขึ้นเหนือไปเพื่อช่วยองค์รัชทายาท?”“อืม อาจารย์พูดเองว่าจะมิทอดทิ้งองค์รัชทายาท”“แต่เขาไปเพียงลำพัง จะมีประโยชน์กระไรมากมาย?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันที่จริงอาจารย์ก็ลำบากใจเช่นกัน หากเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ทรงออกทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน สุดท้ายต้าเหยียนของเราก็คงหนีมิพ้นเคราะห์กรรม ราษฎรในแผ่นดินก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจารย์คำนึงถึงจุดนี้ เขาจึงมิได้เตือนฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา”ได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแล้วเงียบไปเพราะระหว่างทางที่กลับมา นางได้ลองประมาณกำลังพลทั้งสามฝ่ายดูแล้วกำลังพลของเป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนรวมกันอย่างมากก็มีประมาณเก้าแสนถึงหนึ่งล้านนาย ส่วนแคว้นฉีลำพังแค่กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะก็มีจำนวนคนถึงหนึ่งล้านนายแล้ว นี่ยังมิรวมทัพอื่น ๆ อีกอีกทั้งแคว้นฉียังมีรากฐานที่มั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทหารใช้ก็เป็นของชั้นเลิศหากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ แม้เป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนจะร่วมมือกัน ก็ยากที่จะเอาชนะได้ที่นางมาหาหัวหน้าโหรหลวง ก็เพียงแต่หวังว่าอีกฝ่ายจะคิดหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 863

    เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “ฝ่าบาท หากหัวหน้าโหรหลวงสามารถเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยางได้ เมื่อเขากลับมาแล้ว ค่อยให้เขาคิดหาทางแก้ไขก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หึ! เดิมทีตัวข้ายังปวดหัวอยู่ว่าจะลดทอนความดีความชอบขององค์รัชทายาทลงอย่างไร เจ้านั่นก็เหลือเกิน ใจกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยาง นี่ถือว่าเขาก่อเรื่องเอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เบาแรงข้าลงไปได้มากโขเลยทีเดียว”เฉาฉุนหัวเราะแห้ง ๆ มิได้ตอบกระไรฉินอู๋ต้าวยืดเส้นยืดสาย แล้วหันกลับไปยังห้องบรรทมภายในสำนักหอดูดาวหลวงทันทีที่เหลยเจิ้นกลับมา กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถามอย่างใจร้อน “อาจารย์ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ จะส่งทัพไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยนเมื่อใด?”“ฝ่าบาทจะมิส่งทัพไป” เหลยเจิ้นตอบสั้น ๆ“ว่ากระไรนะ?! มิส่งทัพไปช่วยหรือ หากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย กองทัพแคว้นฉีก็จะหันคมดาบมายังต้าเหยียนของเรามิใช่หรือ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ฝ่าบาทมิได้ทรงคำนึงถึงหรือเจ้าคะ?”“ใช่ว่าฝ่าบาทมิได้คำนึงถึง เพียงแต่หากส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน ก็เท่ากับการประกาศสงครามกับแคว้นฉี ด้วยกำลังของแคว้นฉี แม้ต้าเหยียนกับเป่ยเยี่ยนจะร่วมมือกัน

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 862

    เว่ยเจิงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามิคาดคิดว่าฉินอู๋ต้าวตั้งใจจะสละองค์รัชทายาทจริง ๆเหลยเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มองฉินอู๋ต้าวอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้า ๆ“เกรงว่ามิง่ายนัก เมื่ออ๋องเซียงหยางทำลายเป่ยเยี่ยนลงแล้ว เก้าในสิบส่วนย่อมต้องบุกเข้ามา และฉวยโอกาสยึดต้าเหยียนของเราไปด้วย”เว่ยเจิงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่มากมายในช่วงหลังมานี้ หนานเยวี่ยก็เป็นองค์รัชทายาทที่ยึดครองมาได้ หากสละองค์รัชทายาทไป เกรงว่าจะถูกคนทั่วหล้าวิพากษ์วิจารณ์เอาได้พ่ะย่ะค่ะ”“คนทั่วหล้าจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าอย่างไร ข้ามิสน! สิ่งที่ข้าใส่ใจคือชีวิตของราษฎรนับล้านในแผ่นดินต้าเหยียนของข้า!”ฉินอู๋ต้าวลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวต่อ “ท้ายที่สุดแล้วหายนะครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่รัชทายาทก่อขึ้น ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าเหยียน ข้าย่อมมิอาจปล่อยราษฎรในแผ่นดินต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย ดังนั้น ขุนนางเหลย ข้าอยากจะขอให้เจ้าเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง ไปเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยาง ตราบใดที่เขามิระบายโทสะกับต้าเหยียนของเรา องค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไรก็ให้เขาจัดการ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 861

    หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่ก้าวออกมากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าการที่องค์รัชทายาทสังหารบุตรชายของอ๋องเซียงหยางเป็นการกระทำที่บีบบังคับยิ่ง มิอาจตำหนิพระองค์ได้ หากมิส่งกำลังไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน เกรงว่าในภายภาคหน้าภัยจะมาถึงตัว ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"ตาเฒ่าเนี่ยหงสนับสนุน "ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเป่ยเยี่ยนกับต้าเหยียนของเราจะขัดแย้งกันมาโดยตลอด แต่ยามนี้หากมิร่วมมือกันต่อต้านแคว้นฉี หลังจากที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ ต้าเหยียนของเราก็จะไม่มีกำลังต่อต้านอีกต่อไป ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ก้าวออกมา "ฝ่าบาท ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ การร่วมมือกับเป่ยเยี่ยนยังพอเห็นโอกาสเอาชนะได้บ้าง หากปฏิเสธที่จะส่งกำลังไปช่วยเหลือ หลังจากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย พวกเราก็จะต้องเผชิญหน้ากับคมดาบของกองทัพทหารม้าหุ้มเกราะนับล้านของแคว้นฉีโดยตรง""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน จะทำให้ภายในต้าเหยียนของเรามิได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม มิฉะนั้นหากวันใดทัพใหญ่ของแคว้นฉีบุกเข้ามา ต้าเหยียนของเราย่อมต้องประสบกับ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 860

    ฉินซูกำชับ "แม่ทัพใหญ่ ท่านควรส่งคนกลับไปเสริมกำลังป้องกันเมืองเจียหยางก่อน หากอ๋องเซียงหยางบุกโต้กลับ เมืองเจียหยางก็คือแนวป้องกันสุดท้ายของเรา""ก่อนมา ข้าได้สั่งให้คนเสริมกำลังป้องกันเมืองไว้แล้ว เรื่องนี้บุตรแห่งนักปราชญ์วางใจได้เลย!""เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม"ฉินซูพูดจบ ก็จ้องมองแผนที่ทรายตามิกะพริบ ความคิดในสมองแล่นอย่างรวดเร็วเห็นดังนั้น ลู่อวี้และมู่หรงอวิ๋นเจิงก็ฉลาดพอที่จะมิส่งเสียงรบกวน......แคว้นต้าเหยียนท้องพระโรงของพระราชวังเมืองหลงเฉิงเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินอู๋ต้าวก็รีบเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังทันทีฉินอู๋ต้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เจ้าว่ากระไรนะ? รัชทายาทกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีเชียวหรือ?!"ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็ตกใจหน้าซีดเซียว และต่างมองไปที่ฉงชูโม่เป็นตาเดียว!แม้แต่เหลยเจิ้นยังมีสีหน้าประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ "เพคะฝ่าบาท หยวนหัวคิดจะทำเรื่องต่ำช้ากับกู้เสวี่ยเจี้ยน หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปถึง ก็ได้สังหารเขาทันที"ได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางระดับสูงที่ต้องการตำหนิฉินซูเกิดความกระดากทันทีด้วยกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของหัวหน้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status