Masuk“พระองค์ทรงหมายถึง องค์รัชทายาท”
“ใช่ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่า เหตุใด เขาถึงอยากเร่งเอาชีวิตข้ามากนัก ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทำแผนที่ต่ำทรามแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆ ข้า ไม่เข้าใจ”
“พระองค์คิดว่า มีคนอื่นร่วมทำการครั้งนี้ด้วย”
“ข้าก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว หากต้องการชีวิตข้า ก็เพียงแค่วางยาข้าก็จบ แต่เหตุใดต้องทำร้ายเจ้าด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าไม่มั่นใจจุดประสงค์ของเขา”
“แย่แล้ว การที่ข้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว”
“ข้ากลับคิดกลับกันนะ ว่าให้เขารับรู้ไปเลยว่าเรารู้แผนชั่วนี่ เขาจะได้เปิดเผยตัวเสียที จะได้ไม่ลอบกัดอีก"
“แล้วห้องที่ถูกวางยาพิษล่ะ ต้องทำอะไรบ้าง”
“เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ ที่ให้ปิดไว้ เพราะพิษจะได้ไม่ระเหยออกมาภายนอก มาจากกำยาน ก็แก้ด้วยกำยาน คืนนี้หม่อมฉันจะทำยาถอนพิษ และให้เอาไปจุดวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้วเพคะ”
“แต่ว่าตอนนี้มันดึกแล้วนะ เจ้าพึ่งจะฟื้นจากพิษขึ้นมา”
“ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาแค่ไม่นาน สมุนไพรและของที่ต้องใช้มีอยู่แล้ว อันเหมยก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปห้องยา เพื่อปรุงยาเพื่อแก้พิษให้ในห้องเพคะ พระองค์ พักผ่อนไปก่อนนะเพคะ”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“แต่ว่า….”
“ไม่มีแต่ ไปเถอะ เจ้าบอกว่าจะไปปรุงยานี่นา หลายคนช่วยกัน น่าจะเร็วกว่าเจ้าสองคนทำนะ”
มู่เหรินพาซีเฟยออกไป นางเดินนำเขาไปที่ห้องปรุงยา ซึ่งก่อนหน้านี้นางได้ขอเอาไว้ เขาเดินเข้าไปพร้อมกับฉุนกลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิด นางจัดวางของได้อย่างเรียบร้อย
“อันเหมย เตรียมของเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“พระชายา เรียบร้อยเพคะ เหลือแค่ ลอกหนังกบเพคะ”
“จะ เจ้าว่าอะไรนะ ละ ลอกหนังกบงั้นหรือ”
เว่ยอีที่ขออาสาท่านอ๋องมาช่วยด้วยเพราะเขานอนห้องอื่นไม่หลับ ถึงกับรู้สึกขนลุก
“ใช่ ต้องเอาหนังมันมาย่างและบดเพื่อผสมในตัวยา”
“เจ้า เรื่องนี้ เจ้าทำเองงั้นหรือ”
“งั้นสิ ไม่งั้นเจ้าจะช่วยข้างั้นหรือ”
“เอ่อ อันเหมย เจ้าดูห้าวเหมือนผู้ชายก็จริง แต่ไม่คิดว่าเจ้า จะกล้า อ๊ากกก พระชายา ทำอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีหันไปตกใจงูเห่าตัวใหญ่ในมือนาง ที่พระชายาพึ่งเจาะที่ตัวมันเพื่อจะเอาบางอย่างออกมา และมืออีกข้างของนางถือมีดคมกริบอยู่
“เว่ยอี เจ้าตกใจอะไร ข้าแค่เจาะเอาดีงูเห่าออกมา อ้อ ที่เหลือนี่ก็ ฝากเจ้าด้วยละกันนะ เห็นว่าพวกบ่าวไพร่ชอบกินเนื้อมัน เจ้าก็เอาไปให้พวกเขาที”
เว่ยอีมองพระชายา และอันเหมย ที่ทำเรื่องพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติเหมือนพวกนางกำลังทำกับข้าวอยู่ เขาหันมามองท่านอ๋องของเขา ที่ยืนตัวแข็ง หน้าซีด เขาคิดว่า ท่านอ๋องเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขามากนัก
“เอ่อ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม ขอตัวสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ จะเอา ไอ้ตัวนี้ ไปให้เสี่ยวหลงพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีบอกและรีบวิ่งไป มู่เหรินมองพระชายาที่ตอนนี้กำลังบีบดีงูที่ได้มา ลงในถ้วยที่เตรียมไว้ นางสวมถุงมือและผ้าปิดปากเรียบร้อยแล้ว นางหันมามองเขา
“ท่านอ๋อง ท่านก็ควรใส่ผ้าปิดปากนี่ด้วยเพคะ ป้องกันเอาไว้ก่อน”
นางเดินมา เอาผ้าใส่ให้เขา และผูกให้เขาอย่างเบามือ มู่เหรินหันไปมองนาง ตอนนี้ แก้มนางห่างจากหน้าเขาไม่ถึงสองข้อนิ้ว ช่างน่าหอมนัก หากไม่เห็นภาพที่นางล้วงเอาดีงูออกมากับตาเมื่อครู่ เขาคงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้ เขามาช่วยนาง เรื่องอื่นไม่ควรคิด
“เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่ล่ะ”
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้น รออันเหมยย่างหนังกบนี่เสร็จ แล้วพระองค์ก็บดให้ละเอียดก็แล้วกันเพคะ แรงผู้ชาย น่าจะบดได้ละเอียดเร็วกว่าพวกหม่อมฉัน”
“ได้สิ อันเหมย เจ้าส่งมาสิ”
“เพคะท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋อง สวมถุงมือนี่ก่อนเพคะ หนังกบมีพิษ ต้องป้องกันเอาไว้ด้วยเพคะ”
ซีเฟยเอาถุงมือมาสวมให้เขา ก่อนสอนเขาใช้เครื่องบด ตอนนี้นางวิ่งไปดึงสมุนไพรมารวบรวมเพื่อจะผสมรวมกัน เว่ยอีมาแล้ว เขาทิ้งหน้าที่บดหนังคางคกให้เว่ยอี และเดินตามพระชายาของเขาแทน
“พวกนี้ เจ้าปลุกเองทั้งหมดเลยหรือ”
“ไม่ทุกอย่างเพคะ บางส่วนต้องไปซื้อที่ร้านยามาเก็บไว้ อย่างหญ้าฝรั่นนี่ ต้องสั่งมาเพคะ ออกตามฤดูกาล ไม่พบเห็นได้ง่าย ส่วนกะวานกับจันทร์แปดกลีบ ต้องเอามาตากจนแห้งและเก็บใส่โหลไว้ เวลานำมาใช้งานจะได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องพวกนี้ เจ้าเรียนจากอาจารย์เจ้าหรือ”
“เพคะ อาจารย์หม่อมฉันเป็นหมอเทวดา ท่านชอบท่องเที่ยว และไม่รับลูกศิษย์”
“แล้วเหตุใดจึงสอนเจ้าได้ล่ะ”
“พูดแล้วเรื่องมันยาวเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันถูกพิษ และตกเขา ไปเจอท่านพอดี เกือบไม่รอดแล้ว อาจารย์รักษาหม่อมฉันอยู่หลายวัน กว่าหม่อมฉันจะฟื้น ก็พบว่าในร่างกายหม่อมฉัน มีพิษมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ข้าเลยขอให้ท่านสอนวิชาแก้พิษเพื่อช่วยแก้พิษให้ตัวเอง และช่วยผู้อื่น อาจารย์ให้หม่อมฉันสาบานว่าจะไม่นำพิษที่เรียน ไปทำร้ายผู้อื่น หากเขาจับได้ จะฆ่าข้าทันทีที่หาข้าเจอเพคะ”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกวางยาพิษล่ะ ใครเป็นผู้วางยาเจ้ากัน”
ซีเฟยนิ่ง ไม่ตอบ และนางก็หันไปมองอันเหมย
“อันเหมย รีดพิษแมงมุมดำหรือยัง ข้าจะได้รีบผสม พิษแมงมุมต้องรีดแล้วใช้เลย เสียเวลาไม่ได้ เร็วเข้า”
“เพคะ พระชายา”
นางจงใจเลี่ยงคำถามข้าสินะ ถังมู่เหรินรู้สึกอยากรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ของพระชายาของเขายิ่งนัก นางถูกวางยาพิษมาตั้งแต่เด็ก และช่วยเหลือตัวเองมาตลอด จนมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ มองภายนอก ดูเหมือนนางเป็นสตรีที่อ่อนหวาน เรียบร้อย และดูอ่อนแอ
แต่ตั้งแต่นางอภิเษกกับเขา เข้ามาเป็นพระชายา นางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ดูแลตำหนักอ๋องนี้เลยสักนิด นางชนะใจบ่าวไพร่ทุกคน มีน้ำใจ นอกจากเรื่องเข้าหอแล้ว นางถือได้ว่าทำหน้าที่พระชายาชินอ๋องได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
มู่เหรินมองนาง ผสมสมุนไพรทุกอย่างลงในหม้อต้มยา และเริ่มเคี่ยว หากว่าคืนนี้ไม่ได้นาง เขาคงถูกปลิดชีพไปพร้อมกับเว่ยอีแล้ว นางโดนพิษก่อนเป็นคนแรก เขานึกอยากรู้ ว่าตอนนี้ในร่างกายของนาง มีพิษอยู่สักเท่าไหร่กันนะ ตอนนี้นางหันมาตำบางอย่างที่ติดกับเตาต้มยา นางสลับพัดไปด้วย และตำยาไปด้วย เขาฉวยโอกาส ไปนั่งใกล้ๆ นาง
“ข้าตำเอง เจ้าต้มยาไปเถอะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
มู่เหรินหันมามองหน้านาง ที่บัดนี้มีรอยดำจากเขม่าควันติดอยู่ พวกเขาถอดถุงมือกันหมดแล้ว มู่เหรินจึงจับนางหันมา และใช้ผ้าสะอาดที่วางอยู่ข้างๆ มาเช็ดให้นาง ซีเฟยตกใจ แต่ก็ยอมให้เขาเช็ดโดยดี
“จมูกเจ้ามีเขม่าติดน่ะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำน่ะ อันนี้ ต้องตำอีกนานเท่าไหร่หรือ”
“ต้องตำให้ละเอียดที่สุดเพคะ เสร็จแล้วจะเอามาผสมกับยาที่เคี่ยวนี้ และปั้นเป็นก้อน รอให้แห้ง และนำไปจัดผสมกับกำยาน เท่านี้ก็แก้พิษได้แล้วเพคะ”
พวกเขาทำงานกันไปอย่างเงียบๆ ท่างเว่ยอีก็พัดให้อันเหมยที่กำลังจุดเตาใหญ่เพื่อต้มยาที่เหลือ เขารับหน้าที่ตำยาให้นางเช่นกัน พวกเขาดูสนุกสนานมากกว่าจะเครียดกับการทำยาครั้งนี้ ชินอ๋องมององครักษ์ของเขาเช็ดเหงื่อและพัดให้ฉู่อันเหมยและนึกขำ เว่ยอีก็มีมุมนี้กับเขาเหมือนกัน
มู่เหรินหันมามองพระชายาของเขา ซึ่งตอนนี้นางได้เท้าแขนขึ้นมา แล้วหลับสนิทอยู่ข้างๆ เขา เขาค่อยๆ เอาพัดออกมาจากมือนาง และจับตัวนางพิงกับเขา เขาตำยาได้ละเอียดแล้ว จึงเรียกอันเหมยเบาๆ
“อันเหมย ๆ มาดูสิ ใช้ได้หรือยัง”
อันเหมยเห็นว่าซีเฟยหลับอยู่ นางจึงเดินเบาที่สุด และเดินมามอง
“ทูลท่านอ๋องละเอียดพอแล้วเพคะ พระองค์พาพระชายาไปพักผ่อนก่อนเถอะเพคะ ที่เหลือ หม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
“ข้าให้เว่ยอีอยู่ช่วยเจ้าที่นี่ เว่ยอี ฝากเจ้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ชินอ๋องค่อยๆ ช้อนตัวพระชายาขึ้นมา และอุ้มนางเพื่อไปที่ห้องพักผ่อนของพวกเขาสองคน
เช้านี้ บ่าวไพร่และนางกำนัลวังบูรพา ต่างก็พากันวิ่งจนวุ่นวาย เหตุด้วยพระชายามีพระอาการอาเจียนไม่หยุดและหมดแรงจนเป็นลมไป องค์รัชทายาทที่พึ่งทราบข่าว หลังจากออกว่าราชการที่ท้องพระโรง ถึงกับต้องสั่งเลิกประชุมก่อนกำหนด และรีบวิ่งกลับมาดูอาการพระชายาอย่างเร่งด่วน พร้อมคณะหมอหลวงก่อนที่เขาจะมาถึง ก็พบกับท่านอาจารย์ทั้งสาม ที่เข้าวังมาเพื่อเยี่ยมนางอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ปู่ ที่ดูอาการให้นางอยู่“อาจารย์อา อาจารย์ลุง ขออภัยที่ข้าไม่ได้มาต้อนรับพวกท่าน ข้า…”“องค์รัชทายาทอย่าได้เกรงใจ พวกข้าแค่แวะมา ไม่คิดว่าจะเจอลูกกวางน้อยป่วย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ตาเฒ่าพิษดูอาการให้นางอยู่ นางไม่เป็นไรหรอก”“อาจารย์ทั้งสอง เชิญนั่งพักก่อนขอรับ”พวกเขานั่งรออยู่พักใหญ่ ก่อนที่อาจารย์ปู่จะเดินออกมา ด้วยท่าทีที่พวกเขามิอาจจคาดเดาได้ เมื่อเห็นเขา องค์รัชทายาทรีบปรี่เข้าไปหาอาจารย์ปู่ทันที และถามเขาอย่างร้อนรน“อาจารย์ปู่ขอรับ เฟยเฟยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ มีอะไรร้ายแรงหรือไม่ นางถูกพิษอีกหรือไม่ หรือว่านาง หรือว่า….”“เจ้าจะสงบสติอารมณ์ก่อนได้หรือไม่ วิ่งตาตื่นตาแหก แล้วยกขบวนกันมาขนาดนี้เพื่ออะไร ใคร
จวนสกุลซู่ผ้าประดับสีแดง พร้อมกับโคมมงคล เสียงบรรเลงเพลงจากวงดนตรีที่ถูกจัดสรรมาเพื่องานมงคลในวันนี้โดยเฉพาะ เจ้าสาวในชุดสีแดง กำลังสวมชุดมงคลสีแดงปักด้วยดิ้นสีทอง ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อจัดแต่งเครื่องประดับบนศีรษะ ก่อนที่พระชายาองค์รัชทายาทจะเสด็จเข้ามาพร้อมกับพระสนมแฝดอีกสองพระองค์“พระชายาและพระสนมหยินทั้งสองเสด็จ”ซู่อีอีซึ่งกำลังแต้มชาดสีแดงที่ปาก หันกลับมาด้วยความดีใจ ในที่สุดพี่ซีเฟยก็มาแล้ว นานหลายวันเลยที่นางไม่ได้พบกับผู้ใด เพราะต้องเก็บตัวตามธรรมเนียมโบราณก่อนออกเรือน “พี่เฟยเฟย ท่านมาแล้ว”“อีอี เรียบร้อยดีหรือไม่”“คารวะพระชายา พระสนมทั้งสอง”“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”ซีเฟยเดินเข้ามาจับมืออีอีและพาไปนั่ง ก่อนจะแนะนำให้รู้จักผู้มาใหม่ ซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าอ่อน อีอีมองหน้าพระสนมสองคนด้วยความสนใจ“นี่พระสนมหยินซวง และหยินเซียน ทั้งคู่เป็นพระสนมของฝ่าบาทถังมู่เจินแห่งเซี่ยหนาน”“คารวะพระสนมทั้งสองเพคะ อีอีไม่ทันได้กล่าวทักทาย โปรดประทานอภัย”“ไม่ต้องๆ พวกข้าไม่ค่อยวุ่นวายกับกฏระเบียบพวกนี้เท่าไหร่เจ้าค่ะ แม่ทัพซู่ตามสบายเถิด”“อีอี ไหนดูสิ วันนี้เจ้างดงามมากๆ อีกเดี๋ยวจวิ้นอ๋องก็จะ
ตำหนักบูรพาพวกเขาใช้เวลาฉลองและสังสรรค์กันตั้งแต่ช่วงค่ำจนดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปที่ห้องบรรทมของตนเอง องค์รัชทายาทนั้นเดินเข้ามา เขาหน้าแดงเล็กน้อยเพราะร่วมดื่มกับฝ่าบาทมา“พระองค์เมาหรือเพคะ หม่อมฉันไปเตรียมน้ำมาล้างหน้าให้นะเพคะ”“ไม่หรอก ข้าก็เป็นแบบนี้แหละ ดื่มเพียงไม่กี่จอกก็หน้าแดง เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก”“เฟยเฟย วันนี้ข้าเห็นพี่ใหญ่มาพร้อมกับพระสนมตั้งสองคน พวกนางมีความคิดแปลกๆ ข้าเองฟังดูแล้ว ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก”“อย่างไรเพคะ”“พี่ใหญ่บอกว่า เขามีพระสนมในวังหลังประมาณยี่สิบสองคนได้ ทุกคนเข้าวังมาพร้อมๆกัน รักใคร่กลมเกลียวกันดี และพระสนมแฝด ก็มักจะพาพวกนางสลับมารับใช้พี่ใหญ่ ร่วมกับพวกนาง ข้าเพียงนึกสงสัยว่า ทำแบบนั้น มันจะไม่…”“มันก็เป็นเพียงวิธีการแบบหนึ่งเพคะ หม่อมฉันไม่ได้นึกแปลกใจอันใด เพราะในอดีต พวกอดีตฮ่องเต้ก็มีพระสนมหลายคน และก็มีบางพระองค์ที่ชอบให้พระสนมหลายๆคนมาปรนิบัติพร้อมๆกัน”“งั้นหรือ”“มู่เหริน ท่านอยากได้แบบนั้นหรือเพคะ ออ ที่มาถามข้าเพียงเพราะเหตุนี้เองสินะ เข้าใจแล้ว พระองค์เพียงแค่อยากลองแบบนั้นบ้าง รับพระสนมเพิ่ม หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”ซีเฟ
วังหลวง แคว้นชิงโจว“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”ฝ่าบาท ฮองเฮารวมไปถึงองค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมกับจวิ้นอ๋อง ยิ้มอย่างยินดีกับการมาเยือนของฮ่องเต้แคว้นเซี่ยหนานในครั้งนี้ ก่อนที่ฝ่าบาทจะพูดขึ้น“ฝ่าบาท พระองค์เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย มานั่งพักก่อนเถิด พระสนมทั้งสอง เชิญๆ”ถังมู่เจินลุกขึ้นได้ ก็เดินเข้าไปหาฮองเฮาพร้อมกับสวมกอดนางอย่างคิดถึง ทุกคนยิ้มให้กับภาพที่น่าปราบปลื้มนี้ ก่อนที่เขาจะเดินมานั่งกับพระสนมทั้งสอง“ลูกพ่อ นี่คือ ลูกสะใภ้คนใหม่ของข้างั้นหรือ”“ทูลเสด็จพ่อ ทั้งสองเป็นพระสนมของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ หยินซวง และหยินเซียน ทั้งคู่ เป็นฝาแฝดกันพ่ะย่ะค่ะ”“โอโหพี่ใหญ่ ท่านยอดเยี่ยมไปเลย มาช้า แต่มาทีละสอง ยอดบุรุษแห่งเซี่ยหนานน ฮ่าๆๆ”“น้องสี่ เจ้าจะเข้าพิธีสมรสอยู่แล้ว เหตุใดไม่สำรวมกิริยาเลยสักนิด อยากไปคัดบทสำนึกตนอีกร้อยแปดจบที่ศาลบรรพชนก่อนเข้าพิธีหรือไม่”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย กระหม่อมไม่กล้าแล้ว ขอโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาท ระหว่างทาง เรียบร้อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ถังมู่เหรินถามพี่ชายอย่างเป็นห่วง เขาไม่ได้เจอพี่ใหญ่ ตั้งแต่หลังเหตุการกบฏซิ
แคว้นเซี่ยหนาน โดยการปกครองของถังมู่เจิน นับว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้งแคว้น ไม่ว่าจะด้านการค้าขายกับต่างแคว้น การเมืองการปกครอง และการศึก ถือว่าแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าแคว้นใหญ่ ๆ อย่างชิงโจวเมื่อมู่ถังเจินได้ขึ้นครองราชย์ผ่านไปเกือบสามเดือน เหล่าบรรดาขุนนางต่างๆ ล้วนมีพระราชฎีกาเสนอส่งให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่งตั้งพระสนม และฮองเฮา ซึ่งก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทสนใจแต่พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่เมื่อบัดนี้ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย หลังจากเหตุการณ์กบฏซิวยี่ แคว้นเซี่ยหนานก็คืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง“กราบทูลฝ่าบาท ฎีกาสำคัญในวันนี้ มีแต่ เอ่อ....”“ไม่พ้นเร่งให้เราแต่งตั้งพระสนมเข้ามาในวังหลังเพิ่มใช่หรือไม่ท่านราชครู”“พ่ะย่ะค่ะ”“ที่มีอยู่แล้วเกือบยี่สิบคนนั่นยังไม่พออีกหรือไงนะ ข้าพึ่งรู้ว่าพวกท่าน ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากกว่าการปกครองบ้านเมืองและประชาชนให้มีความสุข เฮ้อ แต่ก็นั่นแหละนะ ข้าก็พอเข้าใจความหวังดีของพวกท่านได้ ตกลง อีกเจ็ดวัน ท่านก็ประกาศออกไปว่าเราจะรับสมัครพระสนม สตรีที่อยู่ในวัยที่เหมาะสม และชาติตระกูลที่เหมาะสม สามารถเข้ามารับการคัดเลือกพระส
ชิงโจวเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แต่ที่นี่ ความหนาวเบาบางมากกว่าที่แคว้นเยี่ยนมากนัก หลังจากข่าวชินอ๋องกลับสู่ชิงโจว ก็มีการประชุมราชสำนักครั้งใหญ่ เพื่อปรึกษาเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งชิงโจวคนใหม่ ซึ่งขุนนางทุกหมู่เหล่ารวมถึงสมาชิกในราชวงศ์ต่างลงความเห็นว่า ถังมู่เหริน ชินอ๋องแห่งชิงโจว มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทุกประการที่จะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เมื่อมติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมา“ด้วยองค์การแห่งฟ้า ฮ่องเต้มีรับสั่ง แต่งตั้งถังมู่เหริน องค์ชายรอง ชินอ๋องแห่งราชวงศ์ชิงโจว ขึ้นดำรงตำแหน่ง องค์รัชทายาทแห่งชิงโจว ณ บัดนี้เป็นต้นไป รับราชโองการ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”ด้วยเหตุการณ์กบฏสองแคว้น ทั้งที่เซี่ยหนานและแคว้นเยี่ยน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในราชสำนักของชิงโจว นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและมีการมอบบำเหน็จรางวัลกับเหล่าบรรดาขุนนางที่ทำความดีความชอบเอาไว้พร้อมกันอีกด้วยเมื่อรับตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว ซีเฟยและองค์รัชทายาท ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวง ซึ่งมีตำหนักขององค์รัชทายาทอยู่แล







