“พระองค์ทรงหมายถึง องค์รัชทายาท”
“ใช่ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่า เหตุใด เขาถึงอยากเร่งเอาชีวิตข้ามากนัก ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทำแผนที่ต่ำทรามแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆ ข้า ไม่เข้าใจ”
“พระองค์คิดว่า มีคนอื่นร่วมทำการครั้งนี้ด้วย”
“ข้าก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว หากต้องการชีวิตข้า ก็เพียงแค่วางยาข้าก็จบ แต่เหตุใดต้องทำร้ายเจ้าด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าไม่มั่นใจจุดประสงค์ของเขา”
“แย่แล้ว การที่ข้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว”
“ข้ากลับคิดกลับกันนะ ว่าให้เขารับรู้ไปเลยว่าเรารู้แผนชั่วนี่ เขาจะได้เปิดเผยตัวเสียที จะได้ไม่ลอบกัดอีก"
“แล้วห้องที่ถูกวางยาพิษล่ะ ต้องทำอะไรบ้าง”
“เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ ที่ให้ปิดไว้ เพราะพิษจะได้ไม่ระเหยออกมาภายนอก มาจากกำยาน ก็แก้ด้วยกำยาน คืนนี้หม่อมฉันจะทำยาถอนพิษ และให้เอาไปจุดวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้วเพคะ”
“แต่ว่าตอนนี้มันดึกแล้วนะ เจ้าพึ่งจะฟื้นจากพิษขึ้นมา”
“ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาแค่ไม่นาน สมุนไพรและของที่ต้องใช้มีอยู่แล้ว อันเหมยก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปห้องยา เพื่อปรุงยาเพื่อแก้พิษให้ในห้องเพคะ พระองค์ พักผ่อนไปก่อนนะเพคะ”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“แต่ว่า….”
“ไม่มีแต่ ไปเถอะ เจ้าบอกว่าจะไปปรุงยานี่นา หลายคนช่วยกัน น่าจะเร็วกว่าเจ้าสองคนทำนะ”
มู่เหรินพาซีเฟยออกไป นางเดินนำเขาไปที่ห้องปรุงยา ซึ่งก่อนหน้านี้นางได้ขอเอาไว้ เขาเดินเข้าไปพร้อมกับฉุนกลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิด นางจัดวางของได้อย่างเรียบร้อย
“อันเหมย เตรียมของเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“พระชายา เรียบร้อยเพคะ เหลือแค่ ลอกหนังกบเพคะ”
“จะ เจ้าว่าอะไรนะ ละ ลอกหนังกบงั้นหรือ”
เว่ยอีที่ขออาสาท่านอ๋องมาช่วยด้วยเพราะเขานอนห้องอื่นไม่หลับ ถึงกับรู้สึกขนลุก
“ใช่ ต้องเอาหนังมันมาย่างและบดเพื่อผสมในตัวยา”
“เจ้า เรื่องนี้ เจ้าทำเองงั้นหรือ”
“งั้นสิ ไม่งั้นเจ้าจะช่วยข้างั้นหรือ”
“เอ่อ อันเหมย เจ้าดูห้าวเหมือนผู้ชายก็จริง แต่ไม่คิดว่าเจ้า จะกล้า อ๊ากกก พระชายา ทำอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีหันไปตกใจงูเห่าตัวใหญ่ในมือนาง ที่พระชายาพึ่งเจาะที่ตัวมันเพื่อจะเอาบางอย่างออกมา และมืออีกข้างของนางถือมีดคมกริบอยู่
“เว่ยอี เจ้าตกใจอะไร ข้าแค่เจาะเอาดีงูเห่าออกมา อ้อ ที่เหลือนี่ก็ ฝากเจ้าด้วยละกันนะ เห็นว่าพวกบ่าวไพร่ชอบกินเนื้อมัน เจ้าก็เอาไปให้พวกเขาที”
เว่ยอีมองพระชายา และอันเหมย ที่ทำเรื่องพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติเหมือนพวกนางกำลังทำกับข้าวอยู่ เขาหันมามองท่านอ๋องของเขา ที่ยืนตัวแข็ง หน้าซีด เขาคิดว่า ท่านอ๋องเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขามากนัก
“เอ่อ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม ขอตัวสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ จะเอา ไอ้ตัวนี้ ไปให้เสี่ยวหลงพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีบอกและรีบวิ่งไป มู่เหรินมองพระชายาที่ตอนนี้กำลังบีบดีงูที่ได้มา ลงในถ้วยที่เตรียมไว้ นางสวมถุงมือและผ้าปิดปากเรียบร้อยแล้ว นางหันมามองเขา
“ท่านอ๋อง ท่านก็ควรใส่ผ้าปิดปากนี่ด้วยเพคะ ป้องกันเอาไว้ก่อน”
นางเดินมา เอาผ้าใส่ให้เขา และผูกให้เขาอย่างเบามือ มู่เหรินหันไปมองนาง ตอนนี้ แก้มนางห่างจากหน้าเขาไม่ถึงสองข้อนิ้ว ช่างน่าหอมนัก หากไม่เห็นภาพที่นางล้วงเอาดีงูออกมากับตาเมื่อครู่ เขาคงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้ เขามาช่วยนาง เรื่องอื่นไม่ควรคิด
“เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่ล่ะ”
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้น รออันเหมยย่างหนังกบนี่เสร็จ แล้วพระองค์ก็บดให้ละเอียดก็แล้วกันเพคะ แรงผู้ชาย น่าจะบดได้ละเอียดเร็วกว่าพวกหม่อมฉัน”
“ได้สิ อันเหมย เจ้าส่งมาสิ”
“เพคะท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋อง สวมถุงมือนี่ก่อนเพคะ หนังกบมีพิษ ต้องป้องกันเอาไว้ด้วยเพคะ”
ซีเฟยเอาถุงมือมาสวมให้เขา ก่อนสอนเขาใช้เครื่องบด ตอนนี้นางวิ่งไปดึงสมุนไพรมารวบรวมเพื่อจะผสมรวมกัน เว่ยอีมาแล้ว เขาทิ้งหน้าที่บดหนังคางคกให้เว่ยอี และเดินตามพระชายาของเขาแทน
“พวกนี้ เจ้าปลุกเองทั้งหมดเลยหรือ”
“ไม่ทุกอย่างเพคะ บางส่วนต้องไปซื้อที่ร้านยามาเก็บไว้ อย่างหญ้าฝรั่นนี่ ต้องสั่งมาเพคะ ออกตามฤดูกาล ไม่พบเห็นได้ง่าย ส่วนกะวานกับจันทร์แปดกลีบ ต้องเอามาตากจนแห้งและเก็บใส่โหลไว้ เวลานำมาใช้งานจะได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องพวกนี้ เจ้าเรียนจากอาจารย์เจ้าหรือ”
“เพคะ อาจารย์หม่อมฉันเป็นหมอเทวดา ท่านชอบท่องเที่ยว และไม่รับลูกศิษย์”
“แล้วเหตุใดจึงสอนเจ้าได้ล่ะ”
“พูดแล้วเรื่องมันยาวเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันถูกพิษ และตกเขา ไปเจอท่านพอดี เกือบไม่รอดแล้ว อาจารย์รักษาหม่อมฉันอยู่หลายวัน กว่าหม่อมฉันจะฟื้น ก็พบว่าในร่างกายหม่อมฉัน มีพิษมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ข้าเลยขอให้ท่านสอนวิชาแก้พิษเพื่อช่วยแก้พิษให้ตัวเอง และช่วยผู้อื่น อาจารย์ให้หม่อมฉันสาบานว่าจะไม่นำพิษที่เรียน ไปทำร้ายผู้อื่น หากเขาจับได้ จะฆ่าข้าทันทีที่หาข้าเจอเพคะ”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกวางยาพิษล่ะ ใครเป็นผู้วางยาเจ้ากัน”
ซีเฟยนิ่ง ไม่ตอบ และนางก็หันไปมองอันเหมย
“อันเหมย รีดพิษแมงมุมดำหรือยัง ข้าจะได้รีบผสม พิษแมงมุมต้องรีดแล้วใช้เลย เสียเวลาไม่ได้ เร็วเข้า”
“เพคะ พระชายา”
นางจงใจเลี่ยงคำถามข้าสินะ ถังมู่เหรินรู้สึกอยากรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ของพระชายาของเขายิ่งนัก นางถูกวางยาพิษมาตั้งแต่เด็ก และช่วยเหลือตัวเองมาตลอด จนมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ มองภายนอก ดูเหมือนนางเป็นสตรีที่อ่อนหวาน เรียบร้อย และดูอ่อนแอ
แต่ตั้งแต่นางอภิเษกกับเขา เข้ามาเป็นพระชายา นางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ดูแลตำหนักอ๋องนี้เลยสักนิด นางชนะใจบ่าวไพร่ทุกคน มีน้ำใจ นอกจากเรื่องเข้าหอแล้ว นางถือได้ว่าทำหน้าที่พระชายาชินอ๋องได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
มู่เหรินมองนาง ผสมสมุนไพรทุกอย่างลงในหม้อต้มยา และเริ่มเคี่ยว หากว่าคืนนี้ไม่ได้นาง เขาคงถูกปลิดชีพไปพร้อมกับเว่ยอีแล้ว นางโดนพิษก่อนเป็นคนแรก เขานึกอยากรู้ ว่าตอนนี้ในร่างกายของนาง มีพิษอยู่สักเท่าไหร่กันนะ ตอนนี้นางหันมาตำบางอย่างที่ติดกับเตาต้มยา นางสลับพัดไปด้วย และตำยาไปด้วย เขาฉวยโอกาส ไปนั่งใกล้ๆ นาง
“ข้าตำเอง เจ้าต้มยาไปเถอะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
มู่เหรินหันมามองหน้านาง ที่บัดนี้มีรอยดำจากเขม่าควันติดอยู่ พวกเขาถอดถุงมือกันหมดแล้ว มู่เหรินจึงจับนางหันมา และใช้ผ้าสะอาดที่วางอยู่ข้างๆ มาเช็ดให้นาง ซีเฟยตกใจ แต่ก็ยอมให้เขาเช็ดโดยดี
“จมูกเจ้ามีเขม่าติดน่ะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำน่ะ อันนี้ ต้องตำอีกนานเท่าไหร่หรือ”
“ต้องตำให้ละเอียดที่สุดเพคะ เสร็จแล้วจะเอามาผสมกับยาที่เคี่ยวนี้ และปั้นเป็นก้อน รอให้แห้ง และนำไปจัดผสมกับกำยาน เท่านี้ก็แก้พิษได้แล้วเพคะ”
พวกเขาทำงานกันไปอย่างเงียบๆ ท่างเว่ยอีก็พัดให้อันเหมยที่กำลังจุดเตาใหญ่เพื่อต้มยาที่เหลือ เขารับหน้าที่ตำยาให้นางเช่นกัน พวกเขาดูสนุกสนานมากกว่าจะเครียดกับการทำยาครั้งนี้ ชินอ๋องมององครักษ์ของเขาเช็ดเหงื่อและพัดให้ฉู่อันเหมยและนึกขำ เว่ยอีก็มีมุมนี้กับเขาเหมือนกัน
มู่เหรินหันมามองพระชายาของเขา ซึ่งตอนนี้นางได้เท้าแขนขึ้นมา แล้วหลับสนิทอยู่ข้างๆ เขา เขาค่อยๆ เอาพัดออกมาจากมือนาง และจับตัวนางพิงกับเขา เขาตำยาได้ละเอียดแล้ว จึงเรียกอันเหมยเบาๆ
“อันเหมย ๆ มาดูสิ ใช้ได้หรือยัง”
อันเหมยเห็นว่าซีเฟยหลับอยู่ นางจึงเดินเบาที่สุด และเดินมามอง
“ทูลท่านอ๋องละเอียดพอแล้วเพคะ พระองค์พาพระชายาไปพักผ่อนก่อนเถอะเพคะ ที่เหลือ หม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
“ข้าให้เว่ยอีอยู่ช่วยเจ้าที่นี่ เว่ยอี ฝากเจ้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ชินอ๋องค่อยๆ ช้อนตัวพระชายาขึ้นมา และอุ้มนางเพื่อไปที่ห้องพักผ่อนของพวกเขาสองคน
หลังจากที่ได้รับฟังเรื่องต้องห้ามนั่นแล้ว องค์รัชทายาทจึงได้คิดเปลี่ยนแผนทันที เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเซี่ยหนานมากเล่ห์กล แต่ไม่คิดว่าจะกล้าทำกับเขา ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นราชบุตรเขย เขากลับเข้าห้อง และให้องครักษ์ส่วนตัวเข้ามาพบและปิดประตูอย่างแน่นหนาก่อนจะหารือกันในนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม“พวกเจ้าแยกกันทำงาน อย่าให้ใครจับได้ล่ะ”“พ่ะย่ะค่ะ”“พวกเจ้าคิดไม่ซื่อก่อน จะหาว่าข้าโหดเหี้ยมไม่ได้นะ”พยัคฆ์น้อยอย่างเขาก็ใช่ว่าจะน้อยเล่ห์เสียเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะกลศึกหรือกลยุทธ์ในการจัดการคน เขาก็มิได้ด้อยไปกว่าชินอ๋อง หรือพี่น้องคนใดในชิงโจว เพียงแต่เขา ชอบวางแผนและให้ผู้อื่น ออกไปรบแทนเขาก็เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ชอบจับดาบสู้รบเหมือนชินอ๋อง ที่ขึ้นชื่อว่าปิศาจสงคราม เพราะหน้าที่ของเขาคือกุนซือ แต่หากจำเป็น ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีฝีมือ สายตาเหี้ยมเกรียม มองไปยังพระตำหนักหรูหราสีขาวตรงหน้า ยอดพระตำหนักยังมีธงชัยของเซี่ยหนานโบกสะบัดอย่างท้าทายในความรู้สึกเขา“อีกไม่นาน ข้าจะเปลี่ยนธงนั่น เป็นธงของชิงโจวของข้า”3 วันถัดมาราชบุตรเขยถูกเชิญให้ร่วมประชุมเช้าของเซี่ยหนานด้วย เนื้อหาสาระในที่ประชุมก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป
“ข้าต้องรอการยืนยันก่อน ตราบใดคนของเรายังไปไม่ถึงชายแดน พวกเขาจะยังปลอดภัย กองกำลังที่มีอยู่ตรงนั้นเพียงพอแค่ต้านทัพเล็กของเซี่ยหนานเท่านั้น หากเขายกทัพใหญ่เข้าชายแดนมา เราอาจจะต้านไม่ไหว”“หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับว่าเซี่ยหนานหลอกให้พี่ใหญ่เข้าไปติดกับ และให้เขาเป็นตัวประกันเพื่อจะยึดอำนาจชิงโจว”“ข้าจึงเร่งมารือกับท่านอ๋องเรื่องนี้ ต้องเร่งป้องกัน ไม่ให้เขานำทัพข้ามฝั่ง และเข้ามาถึงเมืองหลวงได้ ไม่เช่นนั้น ความสูญเสีย อาจจะมากจนคาดไม่ถึง”“หากจะปะทะ ต้องป้องกันไม่ให้เขาข้ามที่ชายแดนมาได้ ต้องกันไม่ให้เขายกทัพมาถึงเมืองหลวง”การวางแผนตั้งทัพก่อนกำหนดจึงเริ่มขึ้น แต่ด้วยความเชี่ยวชาญการวางกลยุทธการศึกของชินอ๋อง เรื่องนี้ทำให้อาจารย์อารู้สึกเลื่อมใสในตัวชินอ๋องมากขึ้น พวกเขาปรึกษาการศึกนี้อยู่นานกว่าสามชั่วยาม เมื่อซีเฟยยกน้ำชาและอาหารรอบดึกมาให้พวกเขา “เฟยเฟย เจ้ามาพอดี มานั่งนี่สิ ข้ากับท่านอา มีเรื่องจะหารือกับเจ้าด้วย”“เพคะ พวกเจ้าเอาของไปเก็บเถิด ข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”“เพคะ”อันเหมยและอาเหยาเก็บชุดอาหารชุดเดิมออกไป ก่อนที่พวกนางจะกลับไปพักผ่อน ตามคำสั่งของพระชายา พวกเขาอยู่ใ
เขาจูบนางอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นการลงโทษ ซีเฟยเองก็รู้ตัวว่ามีความผิด นางยอมรับโทษแต่โดยดี หากขัดขืน เกรงว่าคืนนี้อาจจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากรังหมาป่านี้แน่นอน“อ๊าา ท่านพี่ ท่าน เบาลงหน่อย อ๊าา”เขาเลื่อนลงมาโลมเลียหน้าอกทั้งสองของนาง สลับกับเคล้าคลึงเล่นอย่างหิวกระหาย รุนแรงกว่าทุกครั้ง นางทำได้เพียงกอดเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะผลักนางเบาๆ ให้ลงไปนอนแผ่บนเตียง“เฟยเฟย เจ้าทำให้ข้าโกรธ”ซีเฟยมองหน้าเขาอย่างสำนึกผิดเล็กน้อย นางเอื้อมสองมือไปจับแก้มเขาเบาๆ“ไหนพระองค์บอกว่าจะไม่หึงพี่เยว่เทียนแล้วอย่างไรเล่าเพคะ เหตุใดถึงยัง อ๊ะ..”เขาดึงนิ้วนางไปกัดเล่นและดูดเป็นจังหวะจนนางรู้สึกเสียววาบแปลกๆ“ข้าไม่หึงเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรมาทดสอบความอดทนของข้า เข้าใจหรือไม่”กระต่ายน้อยทำหน้าสำนึกผิดต่อหมาป่าผู้หิวโหย มีหรือว่าเขาจะฟังเหตุผล ในเมื่อเขาหาเรื่องจะกินกระต่ายตัวนี้อยู่แล้ว..“หม่อมฉันรู้ผิดแล้วเพคะ พระองค์อย่ารุนแรงนักเลยเพคะ ชุดผ้าต่วนนั่นราคาสูงนักนะเพคะ หม่อมฉันอุตส่าห์ อ๊าาา มู่เหริน อ๊าา อึ๊ยยยย”นางไม่อาจจะต้านทานอารมณ์หึงหวงของเขาได้เลย สามีของนางไม่เคยยอมให้นางพูดถึงบุรุษใดนานเกินไป เ
เมื่อผ่านงานอภิเษกมาแล้ว องค์รัชทายาททูลขอฝ่าบาทเดินทางไปยังแคว้นเซี่ยหนาน เพื่อแสดงความเคารพต่อ เหมยต้าจื่อหลง ฮ่องเต้ของแคว้นเซี่ยหนานในฐานะราชบุตรเขย ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของจวิ้นอ๋อง หรือองค์ชายสี่นำส่งเสด็จพร้อมกับแม่ทัพซู่อีอี ซึ่งก่อนออกเดินทางพระสนมหลินมาแจ้งข่าวดีกับทั้งคู่ว่า ฝ่าบาทจะออกราชโองการเรื่องงานสมรสของพวกเขา หลังจากที่ไปส่งองค์รัชทายาทกลับมา สร้างความดีใจให้กับองค์ชายสี่ยิ่งนัก“อีอี เจ้าได้ยินหรือไม่ เสด็จแม่บอกว่าเสด็จพ่อจะออกราชโองการสมรสให้เราแล้ว ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะที่ทรงช่วยเรื่องนี้”“ขอบพระทัยพระสนมเพคะ”“อีอี เจ้าเรียกผิดแล้วล่ะ เจ้าต้องเรียกว่า เสด็จแม่ถึงจะถูก”“แต่ข้ายัง……”“อีอี เจ้าฝึกเรียกไว้ก็ไม่เสียหลายหรอกนะ เข้ามานี่สิ”พระสนมหลินเรียกนางเข้าไปหาอย่างรู้สึกเอ็นดู อีอีเป็นเด็กสาวที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็ก วันนี้นางโตพอที่จะออกเรือนแล้ว และยังแต่งให้ลูกชายของนางอีกด้วย เท่ากับว่านางไม่ได้เสียใครไป พระสนมหลินยื่นกำไรหยกสีเขียวอ่อนในกล่องไม้หรูหราส่งให้นาง“พระสนมเพคะ นี่คือ..”“ของหมั้น ข้าให้เจ้า รับเอาไว้นะเด็กดี ของหมั้นอื่นๆ ข้าจะจัดการตาม
“องค์หญิง นี่เจ้า….”“หากท่านยอมตกลง ตราแม่ทัพสองอันนี้ จะเป็นของท่าน”องค์รัชทายาทมองป้ายทองในมือของนาง นั่นคือป้ายสั่งการกองทัพของเซี่ยหนาน มีอันเล็กกับอันใหญ่“หรือว่าท่าน ยังอาลัยอาวรณ์น้องชายต่างมารดาอยู่อย่างนั้นหรือ องค์ชาย คิดการใหญ่อย่าได้มีสัมพันธ์กับผู้ใดให้มากนัก แม้แต่พี่น้อง ท่านก็ต้องยอมเสียสละ เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ว่าอย่างไร”องค์รัชทายาทมีสีหน้าลังเลอยู่เล็กน้อย นี่เขายังมีจิตใจห้วงหนึ่งที่ยังห่วงพี่น้องอยู่ เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายพี่น้อง หากไม่จำเป็น เขาคิดเพียงแค่ข่มขู่ให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ และยึดอำนาจทางการทหารของชินอ๋องเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะฆ่าเขา ถึงจะส่งคนไปฆ่าชินอ๋อง แต่ก็ไม่ได้อยากลงมือเอง“เหตุใดต้องฆ่าเขา เจ้าต้องการแค่ชีวิตของพระชายามิใช่หรือ เจ้าไม่ได้รักเขาหรอกหรือ”“รัก หึ ข้าน่ะหรือ ถึงข้าจะรัก แล้วเช่นไรล่ะ ตอนนี้ข้าเป็นพระชายาของท่าน เป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตอันใกล้ แล้วข้าจะเก็บเขาไว้ทำไม ในเมื่อเขาไม่เคยคิดมีใจให้กับข้าเลย ท่านอย่าลืมสิ ว่าใครเป็นผู้ที่ทำให้ท่านอับอาย อย่าลืมว่าใคร เป็นคนบีบให้ท่าน แต่งงานกับสตรีเช่นข้า ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้ว ว่าข้
วันนี้ในวังหลวงคึกคักมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ประตูเข้าวังหลวง ยาวมาถึงลานพระราชพิธี ทั่วทั้งพระตำหนักบูรพา และท้องพระโรง ต่างประดับและตกแต่งด้วยดอกไม้และโคมมงคลสีแดง ทั่วทั้งวังหลวง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวันพิธีมงคลสมรสขององค์รัชทายาทและองค์หญิงแคว้นเซี่ยหนานรถม้าของชินอ๋องค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่วังหลวง แม้แต่รถม้าของเหล่าบรรดาแขกทั้งเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง ต่างก็ประดับประดาด้วยผ้ามงคลสีแดงทุกๆ คัน ซีเฟยเห็นลานพระราชพิธีที่ปูผ้าแดงนี้ แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่นางมาถึงที่นี่เป็นวันแรก วันนั้นทั้งรู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว เหงาและโดดเดี่ยว และไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองแต่วันนี้ ที่นางได้เข้ามาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับมือคู่นี้ ที่จับนางและเดินเข้าท้องพระโรงไปพร้อมกัน กลับอบอุ่นยิ่งนัก เขาคือคนรักของนาง เป็นทั้งพระสวามี ครอบครัว และชีวิตที่เหลือของนาง วันนี้นางไม่โดดเดี่ยวอีกและ เมื่อหันไปมองหน้าเขา และเขาก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้นาง“เฟยเฟย เจ้าคิดอะไรอยู่งั้นหรือ กำลังคิดเรื่องเดียวกันกับข้าหรือไม่”“พระองค์คิดเรื่องใดเล่าเพคะ”“ข้าคิดถึงวันที่มารับตัวเจ้าที่นี่ วันแรกที่เราได้พบกัน นึกแล้ว เวลาช่างเ