แชร์

บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนัก

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-02 15:15:09

บทที่ 3

ฝึกฝนอย่างหนัก

หลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ 

ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอน

ความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆ

จนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น

“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง

“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”

เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อ

แม้มือเล็กจะถูกเลือดอาบจนแดงฉาน แต่ใบหน้าของหลินซูมี่ยังคงมุ่งมั่น แววตามีความดุดัน และตั้งใจออกหมัดไปสุดแรงเหมือนเดิม

ความดุดันในแววตาคู่นั้น ทำให้รองแม่ทัพตงตี้ รู้สึกทั้งทึ่งและเจ็บปวดแทนในเวลาเดียวกัน

ขณะที่หมัดต่อยลงที่หุ่นฟาง หลินซูมี่ก็กัดริมฝีปากตัวเองแน่น จนเวลานี้มีเลือดซึมออกมาที่มุมปาก แต่แม้จะรู้สึกเจ็บปวดสักแค่ไหน แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ มือน้อย ๆ ยังคงต่อยใส่หุ่นฟางตัวนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดลงไปในทุกหมัด

นับตั้งแต่ที่นางได้เริ่มต่อยได้เกินร้อยหมัดแรก ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มืออีกต่อไปแล้ว เนื่องจากทุกอย่างมันชาไปหมดนั่นเอง

และนางก็รู้ดีว่าถ้าหากหยุดฝึกในเวลานี้ จะต้องรู้สึกเจ็บและทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่มือแน่นอน อีกทั้งยังถือว่าการฝึกครั้งนี้ล้มเหลวลงด้วยมือของนางเอง ดังนั้นจึงต้องฝืนทนต่อไป

ในที่สุดหลินซูมี่ก็ต่อยหุ่นฟางครบห้าร้อยหมัดจนได้

ทุกคนที่ได้เห็นความพยายามในครั้งนี้ขององค์หญิงหลินซูมี่ ต่างปรบมือแสดงความยินดีให้กับนางอย่างกึกก้องและกล่าวชื่นชมนางไม่ขาดสาย

ท่านหมอหลวงและผู้ช่วยที่รอคอยอยู่นานแล้ว รีบเข้าไปทำการรักษาบาดแผลที่มือให้องค์หญิงอย่างเร่งรีบ

“องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง ท่านหมอหลวง” รองแม่ทัพตงตี้ถามออกมาอย่างห่วงใย โดยมีอีกคนยืนมองอยู่เงียบ ๆ

“หลังจากทำความสะอาดบาดแผลแล้ว ก็เห็นเป็นเพียงแค่แผลแตกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทายาเพียงไม่นานบาดแผลก็จะหายและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้”

หมอหลวงตอบกลับมาหลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้ว

และขณะที่หมอหญิงกำลังทำแผลและทายาให้กับองค์หญิงอยู่นั้น ศีรษะของนางก็มีมือขนาดใหญ่วางลงมาอย่างอ่อนโยนและมีคำชมที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้น

“เก่งมาก”

คำชมเพียงแค่ประโยคเดียว แต่มันกลับมีความหมายอันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อย่างมาก สำหรับคนที่ได้รับคำชม เพราะฝ่ามือกับคำชมนั้น มาจากท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เย็นชา

และเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหลายก็แสดงสีหน้าต่างกันออกไป เนื่องจากเคยติดตามแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ออกศึกมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อนเลย

“เจ้าจงเอายาตำรับนี้ทาให้นาง ไม่เกินสองชั่วยาม ความเจ็บปวดและบาดแผลของนางจะสมานกันดี”

 หลังจากที่ได้ลูบศีรษะและกล่าวคำชมออกมาเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ได้หันไปยื่นตลับยาให้กับนางกำนัลคนสนิท ที่ได้ติดตามมากับองค์หญิงหลินซูมี่พร้อมบอกวิธีการใช้

“ขอบคุณท่านอามากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณออกมาพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่คิดแค้นเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้าจงกลับไปพักผ่อนให้ดี บาดแผลที่มือหายเมื่อไร เจ้าค่อยกลับมาฝึกต่อ”

เสวี่ยเยวียนสือกล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที

โดยมีสายตาหลายคู่มองตามด้วยความสงสัย ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของท่านแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือที่มีต่อองค์หญิงหลินซูมี่

“นี่แม่ทัพใหญ่เป็นอะไรไปหรือเปล่า ปกติพวกเราฝึกแทบเป็นแทบตาย ท่านแม่ทัพก็ไม่เคยเอ่ยปากชมหรือให้ยาทาสักครั้ง หนำซ้ำยังเอ่ยตำหนิพวกเราอีกที่ทำให้ตนเองบาดเจ็บ”

นายกองคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเอง

“หึ นายกองหยาง เจ้าจะเอ่ยอะไรก็ดูฐานะของเจ้าด้วย โตขนาดนี้แล้วยังจะไปอิจฉาเด็กตัวแค่นั้นอีก แล้วอย่าลืมว่าองค์หญิงเป็นผู้ใด อยากเปรียบเทียบกับพระองค์ ก็ระวังหัวของเจ้าไว้ด้วย และวันนี้เจ้าต่อยหุ่นฟางให้ครบหนึ่งพันครั้ง ถ้าไม่ครบอย่าหยุดเด็ดขาด ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน”

รองแม่ทัพตงตี้หันมาเอ่ยกับนายกองคนนั้นอย่างแข็งกร้าวและสั่งให้เขาต่อยหุ่นฟางเป็นจำนวนสองเท่าขององค์หญิงหลินซูมี่ จากนั้นหันไปออกคำสั่งให้ทหารคนอื่นแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน

“โถ...ไม่น่าเลยนายกองหยาง นี่คือบทลงโทษของคนที่ไม่รู้จักคำว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำใช่หรือไม่ อย่างไรก็ขอให้เจ้าทำครบหนึ่งพันครั้งโดยเร็ว” นายกองมู่เอ่ยกับสหายของตนเอง

“ข้ารู้ซึ้งแล้วล่ะ เจ้าเองก็อย่ามาซ้ำเติมข้านักเลย”

นายกองหยางเอ่ยออกมาอย่างท้อแท้ ยามนี้เขาก้มหน้าคอตก ยอมรับความผิดที่เกิดจากความปากพล่อยของตนเอง

ส่วนทางด้านองค์หญิงหลินซูมี่ เมื่อกลับมาถึงวังหลวง ก็ได้ไปเฝ้าบิดาที่พระตำหนัก เพื่อรายงานผลการเรียนตามปกติ นั่นทำให้ฮ่องเต้อดตกใจและโมโหไม่ได้ เมื่อพบว่าบุตรสาวได้รับบาดเจ็บที่มือทั้งสองข้าง จึงได้ก่นด่าเสวี่ยเยวียนสือเสียงดังลั่นพระตำหนัก

“เจ้าเสวี่ยเยวียนสือ เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงกล้ามาทำให้บุตรสาวของข้าบาดเจ็บเช่นนี้!!” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ที่ศิษย์น้องของตนบังอาจมาทำให้มืออันแสนน่ารักของบุตรสาวได้รับความบาดเจ็บเช่นนี้

“ทหาร...ไปตาม...” ฮ่องเต้ตะโกนเรียกทหารมาเพื่อจะให้ไปตามคนต้นเหตุมาพบ แต่ถูกองค์หญิงกล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ท่านพ่อหยุดก่อน ลูกไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ เป็นเช่นนี้ถือว่าดีด้วยซ้ำ ลูกจะได้เรียนรู้ถึงความอดทนอย่างไรเล่าเจ้าคะ อีกอย่าง ในภายภาคหน้าใช่ว่าทุกคนจะคอยปกป้องลูกได้ทุกเวลาเสียที่ไหน การที่ท่านอาฝึกฝนลูกเช่นนี้ ก็เพื่อฝึกความอดทนให้กับร่างกายของลูกก็เท่านั้นเจ้าค่ะ วันนี้ลูกก็ยังได้รับรางวัลเป็นคำชมกับยาทาแผลจากท่านอาด้วยนะเจ้าคะ”

เสียงเล็ก ๆ เปล่งออกมาอย่างสดใส มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองปนอยู่ไม่น้อย

“จริงหรือ ไหนเจ้าลองเล่าให้พ่อฟังอีกหน่อยเถิด” ฮ่องเต้ถามออกมาอย่างสนใจ ตั้งแต่รู้จักกับเสวี่ยเยวียนสือมานานหลายสิบปี ไม่เคยได้ยินศิษย์น้องผู้นั้นเอ่ยปากชมผู้ใดเลยสักครั้ง

หลินซูมี่จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมา นางสนทนากับบิดาอย่างเป็นกันเองและรู้สึกสนุกสนาน แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้น แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัว อีกทั้งตอนที่ไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเช่นนี้ บทสนทนาที่ใช้กันระหว่างพ่อลูก จึงเป็นคำสามัญทั่วไปที่เรียบง่าย ซึ่งโดยปกติท่านพ่อกับท่านแม่ของนางก็ชอบให้สนทนากันเช่นนี้กับคนในครอบครัวอยู่แล้ว

“จริงนะเจ้าคะ ท่านอาทำแบบนี้เพราะหวังดีกับลูก ทหารคนอื่นยังโดนสั่งให้ฝึกมากกว่าลูกถึงสองเท่าเลยทีเดียว” หลินซูมี่กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้ง เพื่อให้บิดามารดาคลายความกังวล

และถ้อยคำที่นางได้เอ่ยออกมาในเวลานี้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงหลินซูมี่ จะเอ่ยเพื่อปกป้องแม่ทัพหนุ่ม โดยที่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าปกป้องเขาแต่อย่างใด

แม้ว่าจะหลุดพ้นจากสายตาของผู้เป็นบิดาไปแล้วก็ตาม แต่มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาของผู้เป็นมารดาไปได้ ความคิดและความสงสัยนี้ ฮองเฮาได้เก็บเอาไว้ในใจเพียงลำพัง เนื่องจากเห็นว่าเวลานี้บุตรสาวของตนยังเด็กอยู่มาก

“แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ควรทำกับลูกรุนแรงขนาดนี้ ดูสิมือน้อย ๆ อันน่าทะนุถนอมของพ่อ บาดเจ็บหมดแล้ว”

ฮ่องเต้ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมจับมือของบุตรสาวที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ขึ้นมาแนบแก้ม ทำท่าราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น

ฮองเฮาส่ายหน้าไปมากับภาพนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รักษาน้ำใจของพระสวามีเลยแม้แต่น้อย

“ท่านพี่เจ้าคะ ภาพนี้ขอให้เห็นแค่พวกเราก็พอนะเจ้าคะ อย่าไปทำให้ผู้ใดได้เห็นว่าฮ่องเต้แห่งแคว้น มีท่าทีที่น่าขันและไร้ความน่านับถือเช่นนี้นะเจ้าคะ”

หลินซูมี่ได้แต่ยิ้มอย่างน่ารักเนื่องจากนางชินแล้วกับท่าทีเช่นนี้ของบิดา

ภายในตำหนักร้างท้ายวัง สถานที่อันลึกลับและน่ากลัวแห่งนี้ ได้มีร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเกรี้ยวกราด

“หลินซูมี่ ข้าเกลียดเจ้า! เจ้าแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าขอสาบานว่า ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทุกข์ทรมาน! ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิต และสูญเสียอะไรที่มีทั้งหมดไป ข้าก็ยอม!!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ

    บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 5 การตายขององค์ชายสาม

    บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่าง

    บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนัก

    บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อย

    บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่

    บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status