LOGINหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ
ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอน
ความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆ
จนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น
“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง
“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”
เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อ
แม้มือเล็กจะถูกเลือดอาบจนแดงฉาน แต่ใบหน้าของหลินซูมี่ยังคงมุ่งมั่น แววตามีความดุดัน และตั้งใจออกหมัดไปสุดแรงเหมือนเดิม
ความดุดันในแววตาคู่นั้น ทำให้รองแม่ทัพตงตี้ รู้สึกทั้งทึ่งและเจ็บปวดแทนในเวลาเดียวกัน
ขณะที่หมัดต่อยลงที่หุ่นฟาง หลินซูมี่ก็กัดริมฝีปากตัวเองแน่น จนเวลานี้มีเลือดซึมออกมาที่มุมปาก แต่แม้จะรู้สึกเจ็บปวดสักแค่ไหน แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ มือน้อย ๆ ยังคงต่อยใส่หุ่นฟางตัวนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดลงไปในทุกหมัด
นับตั้งแต่ที่นางได้เริ่มต่อยได้เกินร้อยหมัดแรก ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มืออีกต่อไปแล้ว เนื่องจากทุกอย่างมันชาไปหมดนั่นเอง
และนางก็รู้ดีว่าถ้าหากหยุดฝึกในเวลานี้ จะต้องรู้สึกเจ็บและทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่มือแน่นอน อีกทั้งยังถือว่าการฝึกครั้งนี้ล้มเหลวลงด้วยมือของนางเอง ดังนั้นจึงต้องฝืนทนต่อไป
ในที่สุดหลินซูมี่ก็ต่อยหุ่นฟางครบห้าร้อยหมัดจนได้
ทุกคนที่ได้เห็นความพยายามในครั้งนี้ขององค์หญิงหลินซูมี่ ต่างปรบมือแสดงความยินดีให้กับนางอย่างกึกก้องและกล่าวชื่นชมนางไม่ขาดสาย
ท่านหมอหลวงและผู้ช่วยที่รอคอยอยู่นานแล้ว รีบเข้าไปทำการรักษาบาดแผลที่มือให้องค์หญิงอย่างเร่งรีบ
“องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง ท่านหมอหลวง” รองแม่ทัพตงตี้ถามออกมาอย่างห่วงใย โดยมีอีกคนยืนมองอยู่เงียบ ๆ
“หลังจากทำความสะอาดบาดแผลแล้ว ก็เห็นเป็นเพียงแค่แผลแตกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทายาเพียงไม่นานบาดแผลก็จะหายและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้”
หมอหลวงตอบกลับมาหลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้ว
และขณะที่หมอหญิงกำลังทำแผลและทายาให้กับองค์หญิงอยู่นั้น ศีรษะของนางก็มีมือขนาดใหญ่วางลงมาอย่างอ่อนโยนและมีคำชมที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้น
“เก่งมาก”
คำชมเพียงแค่ประโยคเดียว แต่มันกลับมีความหมายอันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อย่างมาก สำหรับคนที่ได้รับคำชม เพราะฝ่ามือกับคำชมนั้น มาจากท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เย็นชา
และเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหลายก็แสดงสีหน้าต่างกันออกไป เนื่องจากเคยติดตามแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ออกศึกมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อนเลย
“เจ้าจงเอายาตำรับนี้ทาให้นาง ไม่เกินสองชั่วยาม ความเจ็บปวดและบาดแผลของนางจะสมานกันดี”
หลังจากที่ได้ลูบศีรษะและกล่าวคำชมออกมาเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ได้หันไปยื่นตลับยาให้กับนางกำนัลคนสนิท ที่ได้ติดตามมากับองค์หญิงหลินซูมี่พร้อมบอกวิธีการใช้
“ขอบคุณท่านอามากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณออกมาพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่คิดแค้นเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้าจงกลับไปพักผ่อนให้ดี บาดแผลที่มือหายเมื่อไร เจ้าค่อยกลับมาฝึกต่อ”
เสวี่ยเยวียนสือกล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที
โดยมีสายตาหลายคู่มองตามด้วยความสงสัย ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของท่านแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือที่มีต่อองค์หญิงหลินซูมี่
“นี่แม่ทัพใหญ่เป็นอะไรไปหรือเปล่า ปกติพวกเราฝึกแทบเป็นแทบตาย ท่านแม่ทัพก็ไม่เคยเอ่ยปากชมหรือให้ยาทาสักครั้ง หนำซ้ำยังเอ่ยตำหนิพวกเราอีกที่ทำให้ตนเองบาดเจ็บ”
นายกองคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเอง
“หึ นายกองหยาง เจ้าจะเอ่ยอะไรก็ดูฐานะของเจ้าด้วย โตขนาดนี้แล้วยังจะไปอิจฉาเด็กตัวแค่นั้นอีก แล้วอย่าลืมว่าองค์หญิงเป็นผู้ใด อยากเปรียบเทียบกับพระองค์ ก็ระวังหัวของเจ้าไว้ด้วย และวันนี้เจ้าต่อยหุ่นฟางให้ครบหนึ่งพันครั้ง ถ้าไม่ครบอย่าหยุดเด็ดขาด ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน”
รองแม่ทัพตงตี้หันมาเอ่ยกับนายกองคนนั้นอย่างแข็งกร้าวและสั่งให้เขาต่อยหุ่นฟางเป็นจำนวนสองเท่าขององค์หญิงหลินซูมี่ จากนั้นหันไปออกคำสั่งให้ทหารคนอื่นแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
“โถ...ไม่น่าเลยนายกองหยาง นี่คือบทลงโทษของคนที่ไม่รู้จักคำว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำใช่หรือไม่ อย่างไรก็ขอให้เจ้าทำครบหนึ่งพันครั้งโดยเร็ว” นายกองมู่เอ่ยกับสหายของตนเอง
“ข้ารู้ซึ้งแล้วล่ะ เจ้าเองก็อย่ามาซ้ำเติมข้านักเลย”
นายกองหยางเอ่ยออกมาอย่างท้อแท้ ยามนี้เขาก้มหน้าคอตก ยอมรับความผิดที่เกิดจากความปากพล่อยของตนเอง
ส่วนทางด้านองค์หญิงหลินซูมี่ เมื่อกลับมาถึงวังหลวง ก็ได้ไปเฝ้าบิดาที่พระตำหนัก เพื่อรายงานผลการเรียนตามปกติ นั่นทำให้ฮ่องเต้อดตกใจและโมโหไม่ได้ เมื่อพบว่าบุตรสาวได้รับบาดเจ็บที่มือทั้งสองข้าง จึงได้ก่นด่าเสวี่ยเยวียนสือเสียงดังลั่นพระตำหนัก
“เจ้าเสวี่ยเยวียนสือ เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงกล้ามาทำให้บุตรสาวของข้าบาดเจ็บเช่นนี้!!” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ที่ศิษย์น้องของตนบังอาจมาทำให้มืออันแสนน่ารักของบุตรสาวได้รับความบาดเจ็บเช่นนี้
“ทหาร...ไปตาม...” ฮ่องเต้ตะโกนเรียกทหารมาเพื่อจะให้ไปตามคนต้นเหตุมาพบ แต่ถูกองค์หญิงกล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านพ่อหยุดก่อน ลูกไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ เป็นเช่นนี้ถือว่าดีด้วยซ้ำ ลูกจะได้เรียนรู้ถึงความอดทนอย่างไรเล่าเจ้าคะ อีกอย่าง ในภายภาคหน้าใช่ว่าทุกคนจะคอยปกป้องลูกได้ทุกเวลาเสียที่ไหน การที่ท่านอาฝึกฝนลูกเช่นนี้ ก็เพื่อฝึกความอดทนให้กับร่างกายของลูกก็เท่านั้นเจ้าค่ะ วันนี้ลูกก็ยังได้รับรางวัลเป็นคำชมกับยาทาแผลจากท่านอาด้วยนะเจ้าคะ”
เสียงเล็ก ๆ เปล่งออกมาอย่างสดใส มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองปนอยู่ไม่น้อย
“จริงหรือ ไหนเจ้าลองเล่าให้พ่อฟังอีกหน่อยเถิด” ฮ่องเต้ถามออกมาอย่างสนใจ ตั้งแต่รู้จักกับเสวี่ยเยวียนสือมานานหลายสิบปี ไม่เคยได้ยินศิษย์น้องผู้นั้นเอ่ยปากชมผู้ใดเลยสักครั้ง
หลินซูมี่จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมา นางสนทนากับบิดาอย่างเป็นกันเองและรู้สึกสนุกสนาน แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้น แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัว อีกทั้งตอนที่ไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเช่นนี้ บทสนทนาที่ใช้กันระหว่างพ่อลูก จึงเป็นคำสามัญทั่วไปที่เรียบง่าย ซึ่งโดยปกติท่านพ่อกับท่านแม่ของนางก็ชอบให้สนทนากันเช่นนี้กับคนในครอบครัวอยู่แล้ว
“จริงนะเจ้าคะ ท่านอาทำแบบนี้เพราะหวังดีกับลูก ทหารคนอื่นยังโดนสั่งให้ฝึกมากกว่าลูกถึงสองเท่าเลยทีเดียว” หลินซูมี่กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้ง เพื่อให้บิดามารดาคลายความกังวล
และถ้อยคำที่นางได้เอ่ยออกมาในเวลานี้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงหลินซูมี่ จะเอ่ยเพื่อปกป้องแม่ทัพหนุ่ม โดยที่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าปกป้องเขาแต่อย่างใด
แม้ว่าจะหลุดพ้นจากสายตาของผู้เป็นบิดาไปแล้วก็ตาม แต่มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาของผู้เป็นมารดาไปได้ ความคิดและความสงสัยนี้ ฮองเฮาได้เก็บเอาไว้ในใจเพียงลำพัง เนื่องจากเห็นว่าเวลานี้บุตรสาวของตนยังเด็กอยู่มาก
“แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ควรทำกับลูกรุนแรงขนาดนี้ ดูสิมือน้อย ๆ อันน่าทะนุถนอมของพ่อ บาดเจ็บหมดแล้ว”
ฮ่องเต้ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมจับมือของบุตรสาวที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ขึ้นมาแนบแก้ม ทำท่าราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น
ฮองเฮาส่ายหน้าไปมากับภาพนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รักษาน้ำใจของพระสวามีเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่เจ้าคะ ภาพนี้ขอให้เห็นแค่พวกเราก็พอนะเจ้าคะ อย่าไปทำให้ผู้ใดได้เห็นว่าฮ่องเต้แห่งแคว้น มีท่าทีที่น่าขันและไร้ความน่านับถือเช่นนี้นะเจ้าคะ”
หลินซูมี่ได้แต่ยิ้มอย่างน่ารักเนื่องจากนางชินแล้วกับท่าทีเช่นนี้ของบิดา
ภายในตำหนักร้างท้ายวัง สถานที่อันลึกลับและน่ากลัวแห่งนี้ ได้มีร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเกรี้ยวกราด
“หลินซูมี่ ข้าเกลียดเจ้า! เจ้าแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าขอสาบานว่า ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทุกข์ทรมาน! ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิต และสูญเสียอะไรที่มีทั้งหมดไป ข้าก็ยอม!!”
ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ
ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั
บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ
บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ
บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร
บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง







