ระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตาม
ทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า
“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไป
เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย
“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”
แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันที
เมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้ว
หลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”
“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ถามออกมาด้วยความกระตือรือร้นและเป็นกันเองกับศิษย์น้อง
“องค์หญิงใหญ่มีความจำเป็นเลิศ นางอ่านและทำความเข้าใจเพียงแค่สามชั่วยาม ก็สามารถจดจำบทกวีชิงชิว ที่มีความหมายลึกซึ้งได้แล้ว มิหนำซ้ำ นางยังสามารถตีความหมายของบทกวีนั้นได้อย่างง่ายดายและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง”
เสวี่ยเยวียนสือรายงานออกไปอย่างไม่ปิดบังความสามารถขององค์หญิงใหญ่
“นั่นเป็นเพราะเจ้าสอนนางอย่างไรล่ะ สมแล้วกับที่ข้าไว้วางใจให้เจ้าสอนนางด้วยตัวเอง” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และเอ่ยปากยกความดีความชอบนั้นให้กับผู้สอน
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ศิษย์พี่ พี่สะใภ้ ข้าคิดว่าพวกท่านได้ให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์ตัวน้อยขึ้นมาแล้วขอรับ เพราะข้าเพียงแค่ชี้แนะเล็กน้อย นางก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดี”
ทุกสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวมานั้น ไม่ได้เป็นคำเยินยอเลยแม้แต่น้อย เพราะเด็กน้อยคนนั้นมีพรสวรรค์ที่เหลือล้นจริง ๆ เนื่องจากเมื่อเทียบกับตัวของเขาในยามที่ได้อ่านบทกวีชิงชิว กว่าเขาจะท่องจำได้ ก็ใช้เวลาราวห้าวัน แต่หลินซูมี่ในวัยเพียงห้าหนาว กลับใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วยามเท่านั้น ก็สามารถท่องจำบทตำราที่ยากเย็นขนาดนั้นได้
เช่นนี้แล้ว หากไม่ให้เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรกัน!!
“เฮ้อ... ถ้าหากลูกข้าเก่งขนาดนี้ ในอนาคตจะหาสามีที่มียศและอำนาจเท่าเทียมกับนางได้จากที่ไหน”
ฮองเฮาที่นั่งฟังอยู่นาน ก็ได้กล่าวขึ้นมาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะสำหรับสตรีแล้ว การมีความรู้หรือเก่งกาจมากเกินไป ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เนื่องจากในอนาคต จะหาสามีที่มีความรู้และศักดิ์เสมอตนได้ยากยิ่ง
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ได้เอ่ยออกไปด้วยท่าทางที่ทระนง
“หาไม่ได้ ก็ไม่ต้องมีสามีสิ ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ในเมื่อลูกของเรามีความเก่งกาจเช่นนี้ ก็สมควรที่จะได้คนเก่งเป็นสามีเช่นกัน เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เพราะข้าจะเป็นคนทดสอบคนที่จะมาเป็นราชบุตรเขยด้วยตัวข้าเอง หากไม่มีใครผ่านบททดสอบ ก็ให้นาง.อยู่เป็นองค์หญิงใหญ่ของแคว้นหลินตลอดไปน”
พอฮองเฮาได้ฟังเช่นนั้น ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายสามีของตน ก่อนที่จะหันไปสนทนากับเสวี่ยเยวียนสือต่อเกี่ยวกับการเรียนของธิดา
ทางด้านขององค์หญิงใหญ่หลินซูมี่ แม้ในยามนี้ตัวของนางเพิ่งจะมีอายุเพียงห้าหนาว แต่มันสมองและความรู้ของนาง ก็ไม่น้อยไปกว่าผู้ใหญ่บางคนเลย ไม่แน่ตัวของนางนั้นอาจจะมีความรู้ความสามารถ ยิ่งกว่าผู้ใหญ่ในราชสำนักหลาย ๆ คนเสียอีก
และความรู้สึกในใจของนาง ก็โตเกินวัยไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
“นี่ข้าเป็นอะไรไปนะ ทำไมตอนเจอท่านอา หัวใจมันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้” หลินซูมี่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในขณะวางมือบนหน้าอกข้างซ้าย
โดยไม่รู้เลยว่าที่นางมีความรู้สึกเช่นนี้ เป็นเพราะในอดีตชาติ ตัวนางและเสวี่ยเยวียนสือมีด้ายแดงเชื่อมต่อกัน
“น้องหญิง เจ้าเป็นอะไรไปถึงต้องยกมือทาบอกเช่นนั้น เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ ให้พี่เรียกหมอหลวงมาตรวจอาการดีหรือไม่” เด็กชายที่ดูมีอายุมากกว่ากันเพียงเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเพียงแค่กำลังคิดอะไรเล็กน้อยเท่านั้น” หลินซูมี่หันไปเอ่ยกับผู้เป็นพี่ชายด้วยรอยยิ้มที่สดใส ก่อนจะเปลี่ยนไปเล่าเรื่องการเรียนวันนี้ให้พี่ชายฟัง
เมื่ออีกฝ่ายฟังแล้วก็ได้แต่ครุ่นคิดตาม ก่อนจะกล่าวออกมา
“มี่เอ๋อร์น้องพี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่เกิดเป็นบุรุษนะ พี่จะได้ส่งมอบตำแหน่งของพี่ให้กับเจ้าเสียเลย ทั้งที่เจ้ามีความรู้และความสามารถมากกว่าพี่แท้ ๆ แต่ไม่อาจสืบทอดบัลลังก์ได้ พี่ละอายใจต่อเจ้าจริง ๆ”
ผู้เป็นพี่ชายได้เอ่ยกับน้องสาวด้วยใบหน้าที่จริงจัง เพราะเขาเองก็ไม่เคยอยากสืบทอดตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่นี้
หลินซูมี่ได้ฟังเช่นนั้นก็มองพี่ชายของตนด้วยแววตาหลากอารมณ์ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“ท่านพี่ ท่านเป็นถึงโอรสสวรรค์ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น อีกอย่าง ถึงแม้ว่าข้าจะเกิดเป็นชายจริง ๆ แต่ข้าก็จะไม่รับตำแหน่งที่สวรรค์ประทานให้ท่านอย่างแน่นอน ข้าอยากจะให้ท่านสานต่องานของแผ่นดินจากท่านพ่อเพราะท่านเหมาะสมทุกประการ ส่วนข้าก็จะเป็นแขนขาให้กับท่านเอง คราวหน้าคราวหลังท่านก็อย่าได้กล่าวเช่นนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ยินเชียว ไม่เช่นนั้นพวกเราอาจจะเดือดร้อนกันทั้งคู่”
หลินซูมี่ได้เอ่ยกับผู้เป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนแอบฟังคำสนทนาเหล่านั้นอยู่ในมุมมืด
นับตั้งแต่องค์หญิงหลินซูมี่เริ่มร่ำเรียนวิชากับแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือ บัดนี้ก็ผ่านมาได้สองปีเศษแล้ว
จากคราแรกเป็นเพียงเด็กหญิงวัยห้าหนาว ทว่ายามนี้นางกลายเป็นเด็กหญิงวัยเจ็ดหนาวแล้ว และแม้จะยังเล็กอยู่ แต่ทว่านางกลับมีรูปร่างสูงเด่นเป็นสง่ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน อีกทั้งใบหน้าของนางก็สมบูรณ์แบบอย่างน่าทึ่ง ทุกส่วนสัดงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ยิ่งมองยิ่งเห็นความงามที่ฉายออกมาอย่างโดดเด่น
นอกจากการเรียนบทกวีและยุทธวิธีต่าง ๆ แล้ว นางยังได้ร่ำเรียนวิชาอาวุธและหมัดมวย รวมถึงวิธีการต่อสู้อื่น ๆ จากแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือโดยตรง
ทุกกระบวนท่าที่ฝึกฝน ล้วนเป็นศาสตร์ใหม่ที่เสวี่ยเยวียนสือคิดค้นขึ้นมาเพื่อสอนให้นางโดยเฉพาะ เขามุ่งมั่นที่จะปลูกฝังความแข็งแกร่งให้กับอีกฝ่ายอย่างเต็มความสามารถ ทั้งในด้านการต่อสู้และสติปัญญา ด้วยความมุ่งหมายว่าองค์หญิงน้อยผู้นี้ จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีทั้งความรู้และความสามารถอย่างไร้ที่ติ
หลินซูมี่นับว่าเป็นสตรีคนแรกที่ได้ร่ำเรียนการต่อสู้เช่นนี้ เนื่องจากการต่อสู้ที่ชายหนุ่มมีอยู่นั้น มันหนักหนาเกินกว่าร่างของสตรีทั่วไปจะรับได้ แต่นางกลับรับทุกอย่างที่เขาสอนได้อย่างไร้ปัญหา
โดยในครั้งนี้หลินซูมี่กำลังเรียนวิชาออกหมัด
“ฟังให้ดี ข้าจะบอกแค่รอบเดียวเท่านั้น ทุกครั้งที่มีการปล่อยหมัดออกไป เจ้าจะต้องยืนกางขาออกให้เสมอกับหัวไหล่เช่นนี้ แล้วการต่อยก็จะต้องรวบรวมแรงทั้งหมดไปที่กำปั้น แล้วปล่อยมันออกไปให้สุดแรงอย่างนี้” เสวี่ยเยวียนสือทั้งบอกและสาธิตให้นางดูอย่างใส่ใจ
“เจ้าจะต่อยอย่างไรก็ได้ ที่คิดว่าจะทำให้ศัตรูของเจ้าบาดเจ็บ และทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกมา ก็ห้ามเก็บแรงไว้เด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าอาจจะเป็นฝ่ายที่โดนทำร้ายเสียเอง เข้าใจหรือไม่” เขากล่าวเตือนเสียงเข้ม และส่งสายตาคมกริบจ้องมองหลินซูมี่อย่างจริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านอา” หลินซูมี่ตอบกลับมาด้วยท่าทางจริงจังไม่ต่างกัน
“เอาล่ะ วันนี้เจ้าจงต่อยหุ่นฟางตัวนั้นด้วยกำปั้นของเจ้า ทำสองข้างสลับกันให้ได้ครบห้าร้อยครั้ง และไม่ว่ามือของเจ้าจะบาดเจ็บเช่นไร ก็อย่าได้สนใจ จงทำต่อไปให้ครบตามจำนวนที่ข้าได้บอกไว้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้นางทำตามบทเรียนในวันนี้ ก่อนจะกล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้าของนาง
“จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นสตรี มีโอกาสที่จะถูกบุรุษหรือผู้อื่นรังแกได้โดยง่าย ถ้าหากการฝึกนี้ยังทำไม่ได้ ภายภาคหน้าเมื่อมีภัยมาถึงตัว ก็คงยากที่จะปกป้องตนเองได้”
เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับองค์หญิงน้อยหลินซูมี่ด้วยแววตาที่อ่อนลงจากเดิมเล็กน้อย
บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู
บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง
บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร
บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ
บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ
บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น