LOGIN[CHALEE’s Talk]
เมื่อคืนฉันเข้านอนเกือบตีสอง หลังจากที่ใช้ไอแพดของลูกหาสถานที่ใหม่ในการเปิดร้านพร้อมๆ กับทำกาแฟบรรจุขวดเตรียมเอาไปขายหน้าตึกลุกซ์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเช่า พอตีสี่ก็ต้องลุกขึ้นมาเงียบๆ ระวังไม่ให้ลูกตื่นอาบน้ำและแพ็กของลงกระเป๋ารถเข็นเตรียมพร้อม แถมยังมีขนมปังที่รับซื้อมาเมื่อตอนต้นสัปดาห์ ตั้งใจว่าจะขายราคาถูกกว่าหน้าร้านลงมาหน่อยเพื่อที่จะระบายมันออกจากตัวให้หมด
อย่างน้อยได้ทุนค่าขนมคืนก็ยังดีกว่าขาดทุนเพราะมันหมดอายุก่อน
สาเหตุที่ฉันดูเสียดายช่องทางการทำมาหากินในตึกนี้เหตุผลหลักๆ คือเรื่องรายได้ รองลงมาคือชื่อตึก ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นตึกนี้มันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน แค่เห็นชื่อตึกก็แอบใจสั่น เคยเป็นบ้าไปค้นอินเทอร์เน็ตดูหน้าเจ้าของตึกมาแล้วด้วย แต่ก็ไม่เจอ เจอแต่ข่าวเรื่องซุบซิบที่คนในแวดวงธุรกิจนินทาเขาว่าหยิ่งยโส รักความเป็นส่วนตัว ไม่ว่ารูปไหนที่ถ่ายติดเขาล้วนถูกคนของเขากว้านซื้อจนเรียบหรือไม่ก็ร่อนโนติสเตือนจนต้องออกมาปักหมุดขอโทษ
ท่าจะเป็นตาแก่เรื่องมากไม่น้อย
พอตีห้าครึ่งก็ปลุกลูกให้ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อไปขายของ ฉันอยากให้ลูกโตกว่านี้จนสามารถอยู่บ้านคนเดียวได้ ฉันอาจจะหางานประจำที่มั่นคงกว่านี้ทำ
เราสองคนแม่ลูกจูงมือกันพร้อมกับลากกระเป๋าใส่กาแฟขวดมาขายอยู่หน้าทางเข้าตึก ซึ่งตรงนั้นก็มีทั้งแผงขายลอตเตอรี่และร้านขายไก่ทอด ฉันฝากลูกให้แม่ค้าไก่ทอดดูแลชั่วคราวก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะพับที่เอามาฝากทางร้านไว้มากาง
“หม่ามี้~ ทำไมเราไม่ได้ขายข้างใน” ลูกชายวัยห้าขวบถามคำถามนี้เป็นรอบที่สิบ
เมื่อวานหลังจากฉันบอกลูกว่าเราจะเลิกขายในตึก ลูกก็เอาแต่ถามไม่หยุด ซึ่งฉันเองก็บอกแค่ว่าเรากำลังหาที่ใหม่
“เดี๋ยววันนี้เราจะไปหาที่ใหม่ขายของกันนะคะ” ฉันตอบกลับด้วยประโยคเดิมพร้อมกับยิ้มให้ลูกชาย
“วันนี้เหยอ~” ตาสีอ่อนของเขาเป็นประกายทุกครั้งหลังได้ฟังคำตอบของฉัน
“ใช่ค่ะ แต่ต้องรอให้หม่ามี้ขายของที่เอามาให้หมดก่อนนะคะ”
น้องคลาวด์พยักหน้าหงึกหงักรับทราบ ลูกเป็นเด็กร่าเริง พูดเก่ง แต่บางทีก็โลกส่วนตัวสูง
เราสองคนแม่ลูกคุยกันได้ไม่นาน พนักงานที่ใช้ทางเส้นนี้เป็นทางเข้าตึกก็หยุดดูที่แผงขายของเราด้วยความสนใจ
“ใช่เจ้าร้านกาแฟใต้ตึกหรือเปล่าคะ” พนักงานผู้หญิงห้อยป้ายพนักงานของตึกเอ่ยทักฉันด้วยความสงสัย
อาจเพราะปกติเราสองคนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยแบบวันนี้ จึงทำให้เขาจำเราไม่ได้
“ใช่ค่ะ ฝากบอกคนอื่นๆ ในตึกด้วยนะคะ ว่าย้ายมาขายตรงนี้ ไม่มีเมนูเย็น แต่ราคาดีกว่าใต้ตึกแน่นอนค่ะ”
“ได้เลยค่ะ ว่าแล้วเชียวต้องใช่ จำหน้าน้องฝรั่งคนนี้ได้” พนักงานออฟฟิศคนนั้นพูดก่อนจะยิ้มออกมา และก้มสแกนจ่ายค่ากาแฟ “เดี๋ยวบอกในไลน์กลุ่มออฟฟิศให้นะคะ”
เธอเดินจากไปแล้ว ส่วนคลาวด์ก็หันมามองหน้าฉันคล้ายกับกำลังมีคำถาม
อย่านะ...
“หม่ามี้ หน้าคลาวด์ไม่เหมือนหม่ามี้เหรอ~”
นั่นไง
“เพราะคลาวด์ยังเด็กไงคะ ถ้าโตขึ้นคลาวด์จะหน้าเหมือนหม่ามี้” ฉันโกหกลูกออกไป ตอนนี้เริ่มกลัวว่าหากลูกเข้าโรงเรียนจะถูกเพื่อนและคุณครูถาม
พ่อเป็นคนประเทศอะไรคะ?
พ่อไปไหน?
“กี่ขวบ?”
“สิบขวบค่ะ”
น้องคลาวด์พยักหน้าอีกครั้ง ยังไม่ทันจะอ้าปากถามอะไรพนักงานออฟฟิศจากในตึกก็เดินเข้ามากันกลุ่มใหญ่ เราสองคนจึงหยุดการพูดคุยกันไว้แค่นั้นก่อน และรีบขายของที่นำมาแข่งกับเวลา
กระทั่งเกือบสิบเอ็ดโมง ขนมกล่องสุดท้ายก็ถูกลูกชายของฉันจับใส่ถุงพลาสติกยื่นให้ลูกค้า
กระเป๋ารถเข็นถูกรูดซิปปิด และฉันคว้ามันมาถือด้วยตนเอง
“หม่ามี้~ กลับบ้านหรือไปหาร้านใหม่ต่อ”
“กลับบ้านเอาของไปเก็บก่อนค่ะ หิวมากไหม หม่ามี้ขอเข้าตึกไปถามเรื่องคืนเงินแป๊บเดียว เดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านป้าแก้ว”
“คลาวด์รอได้”
“เก่งมากค่ะ งั้นหม่ามี้จะฝากน้องคลาวด์ไว้กับลุง รปภ. หน้าตึกเหมือนเดิมนะ หม่ามี้จะรีบไปรีบกลับ”
ลูกชายของฉันว่าง่าย พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจอีกแล้ว อภิชาตบุตรจริงๆ
ฉันฝากลูกไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูทางเข้า ซึ่งคุณลุงก็คุ้นหน้าคุ้นตาเราสองคนเป็นอย่างดีจึงรับฝากง่ายๆ จากนั้นฉันจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ติดต่อขอพบผู้จัดการฝ่ายอาคารสถานที่
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ต่อสายขึ้นไปบนตึก ก่อนจะหันมาบอกฉันด้วยน้ำเสียงติดสุภาพ
“เชิญเข้าไปรอที่ห้องประชุมเล็กก่อนนะคะ ข้างบนกำลังลงมา”
ฉันกดใบหน้าลงเล็กน้อยเชิงรับทราบ เดินตามการผายมือของเจ้าหน้าที่เข้าไปนั่งรอในห้องประชุมตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ห้องประชุมเล็ก
ที่ไม่เล็ก...
เก้าอี้เจ็ดตัววางเป็นระเบียบรอบโต๊ะคือหลักฐาน
เพราะไม่รู้ว่าควรนั่งตรงไหน จึงตัดสินใจนั่งหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้โดยหันหน้าออกไปมองทางด้านประตู การนั่งแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมากกว่านั่งหันหลังให้ทางเข้าออก
ไม่นานนักเสียงหมุนลูกบิดก็เรียกความสนใจให้ฉันอีกครั้ง ตั้งใจจะส่งยิ้มหวานเป็นมิตรให้มากที่สุด เผื่อเขาจะรีบจัดการเรื่องเงินให้
“...!”
ทว่ากลับต้องยิ้มค้างกลางอากาศ เมื่อคนที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันไม่ใช้ผู้จัดการฝ่ายอาคารสถานที่คนเมื่อวาน
“ไง...”
“ทะ ที่รัก...”
ทันทีที่รู้สึกว่าหลุดปาก จึงรีบยกสองมือเรียวของตนเองมันขึ้นมากปิดริมฝีปากตนเองพร้อมกับดวงตาซึ่งค่อยๆ เบิกกว้างอย่างยากจะควบคุม
[Talk End]
“ใครที่รักของเธอ”
คนเพิ่งเดินเข้ามายกยิ้มมุมปากกับสีหน้าของคนตรงหน้า เรียกได้จะแทบช็อกตายน้ำลายฟูมปาก ยิ่งมือสองข้างที่กำลังวางประสานเริ่มสั่นเทา กอปรกับอาการหวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ยิ่งอยากทำให้ลูเซียเดินเข้าไปใกล้
ไปช่วยบีบคอ จะได้ตายเร็วขึ้น
แต่ไม่เอาดีกว่า...เสนียดฝ่ามือ
“ทะ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่” คนตัวเล็กรีบปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวทั้งชื่อและการแต่งการด้วยสูทราคาแพงของคนตัวโต
สิ่งที่เธอคิดว่ามันเพ้อเจ้อมาตลอดคือเรื่องจริง
แฟนเก่าของเธอคือเจ้าของลุกซ์ ลิมิเต็ด
“อย่าตีสนิท” น้ำเสียงติดเย็นชาเปรยออกมาเข้าหูคนฟังจนก้มหน้างุด “คนอย่างฉันให้เกียรติลงมาคุยกับเธอขนาดนี้ก็ดีแค่ไหน”
“ขอโทษค่ะ คุณ...นี่คือสาเหตุที่คุณไล่ฉันออกจากตึก”
“ใช่ เพราะเห็นหน้าเธอมันขยะแขยง แค่เห็นก็ฝันร้าย อยากจับโยนไปให้พ้นๆ ตาสักที”
ชาลีเม้มริมฝีปากแน่น กระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจก่อนจะเรียกสติตนเองให้กลับมาและค่อยๆ ผ่อนปรนความตึงเครียดออก
“ค่ะ ขอโทษที่รบกวน งั้นฉันขอตั...”
“แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
เสียงพูดแทรกของอดีตคนรัก ทำให้ชาลีหยุดพูดประโยคของตนเองพร้อมเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายโดยปริยาย
“ฉันอนุญาตให้เธอขายของในตึกต่อไปก็ได้”
“แลกกับอะไรคะ” ถามออกไปเพราะรู้นิสัยของเขาดี เพราะเมื่อก่อนเวลาเธออยากไปไหน ลูเซียมักจะมีเงื่อนไขมาแลกเสมอ
“แม่บ้าน ฉันต้องการให้เธอขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักชั้นบนสุดของฉันทุกสัปดาห์...คนเดียว”
คนตัวเล็กกำมือแน่น ครุ่นคิดในสิ่งที่เพิ่งได้ฟังจากปากอดีตแฟนเก่าด้วยความสับสน ชาลีนึกว่าเขาจะโกรธเกลียดเธอจนทำอะไรรุนแรงกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นแค่การกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการใช้แรงงานเธออย่างหนัก
“ไม่มีเวลาเก็บไปคิด ตอบเดี๋ยวนี้”
คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ารอเอาคำตอบอย่างวางอำนาจ กระทั่งชาลีถอนหายใจออกมาเมื่อตัดสินใจดีแล้ว
“ฉัน...ขอปฏิเสธค่ะ”
»»-------✧-------««
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอีกครั้งในยี่สิบนาทีให้หลัง ทว่าลูกจ้างตลอดชีวิตกลับชิงหลับไปก่อนแล้ว ว่าง่ายดี บอกให้นอนนี่ก็นอน สาเหตุคงเพราะกระดาษสีขาวที่กำไว้ในมือแน่นไม่เว้นแม้กระทั่งตอนหลับ ร่างสูงเดินอ้อมไปดึงเช็คออกจากมือบางวางลงบนหัวเตียง ซึ่งชาลีก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี จากนั้นจึงฉวยโอกาสสอดตัวเข้ามานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เขาพยายามคิดหาเหตุผล ว่าอะไรทำให้ชาลีเลือกจะโกหกเขาข้างๆ คูๆ ไปเรื่อยแบบนี้ เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าน้องคลาวด์เป็นลูก และไม่ยอมบอกเหตุผลที่เลิกรากัน แสดงว่าเหตุผลที่ทำให้เลิกกันมันต้องมีผลกับใครสักคน “ชาลี” ในเมื่อคิดไม่ออกจึงปลุกคนที่นอนหลับขึ้นมาหลอกถาม “ตื่นขึ้นมา” “ฮื่อ...” นอกจากการส่งเสียงประท้วงในลำคอกับการทำปากแจ้บๆ ใส่ คนขี้เซาก็ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย แอลกอฮอล์คงออกฤทธิ์เต็มที่จึงทำให้รู้สึกง่วงจนผล็อยหลับไป “ไม่ตื่น? ได้...” เสียงสุดท้ายมาเฟียหนุ่มพูดออกมาเบาหวิว มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ได้ยิน กายสูงกำยำจัดการขยับโยกย้ายร่างตนเองมานั่งกลางเรียวขาสวยของอีกคนพร้อ
“งั้นฉันจะให้เชร์ไปเอามาเอง” แววตาของชาลีวูบไหวกับสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนที่มือบางฟาดลงกลางอกแกร่งเสียงดังปึกด้วยความโมโห “พี่จะยุ่งเรื่องนี้อะไรนักหนา มันสำคัญนักหรือไงว่าลูกใคร!” “เธอจะให้ฉันรู้สึกยังไงที่มารู้ทีหลังว่าตัวเองมีลูก หลังจากเลิกกับแฟนเก่าไปหกปี คิดบ้างสิวะ!” ลูเซียเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาโต้กลับด้วยน้ำเสียงดุดันเพราะอารมณ์โกรธเช่นเดียวกัน “มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกมาตรงๆ เธอทิ้งให้ฉันคิดว่าหนีไปมีผัวใหม่หกปีเนี่ยนะ...” “ก็คิดถูกแล้วนี่ พี่คงให้คนไปตามสืบเรื่องของฉันบ้างแล้ว ถ้าไม่โง่ก็ต้องรู้ว่าฉันแต่งงา...” “แต่งเหี้ยอะไร!! ไม่ได้แต่ง มันถูกยกเลิกก่อนวันงาน” “มันไม่ได้การันตีว่าเขาเป็นลูกของพี่อยู่ดี ฉันอาจจะเอากับผู้ชายอีกคน...ว้าย!!!” ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ ลำคอระหงก็ถูกมือแกร่งบีบหมับ แรงที่เหนือกว่าดันร่างบางไปกระแทกกับผนังเหมือนอย่างวันแรกที่เธอถูกลูกน้องพามาหาเขาที่ห้องนี้ “อย่าพูดให้ได้ยินอีกว่าเอากับคนอื่น” มือของเขายังกดค้างบนคอของอดีตแฟนสาว ดวงตาสีหม่นบ่งบอกว่านี่คือการเ
หลังจากกลับมาถึงห้องก็ไม่มีใครพูดอะไร ชาลีรีบพาลูกแยกตัวไปอาบน้ำและไม่ยอมออกจากห้องนอนอีกเลย เธอไม่น่าหลวมตัวมาอยู่กับเขาเลย ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ เพราะความงก ตามใจลูก หรือตามใจตนเองก็ไม่แน่ใจ กายบางพลิกตัวจากการนอนตะแคงเป็นมานอนหงาย เพดานสีขาวสะอาดตาไม่ได้ทำให้จิตใจสงบลงแม้แต่น้อย มันทำให้เธอฟุ้งซ่านหนักกว่าเดิม เมื่อนึกถึงใบหน้าของลูเซียในตอนที่ตอบเธอด้วยความมั่นใจว่าตนเองเป็นพ่อของน้องคลาวด์ คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ลืมจะห่มผ้าให้ลูกที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนผ้าห่มหลุดออกจากตัว มือบางแง้มเปิดประตูออกไปส่องลาดเลาด้านนอก เห็นเพียงแสงสว่างจากห้องนั่งเล่นกลางห้องเปิดทิ้งเอาไว้ จุดหมายของการออกจากห้องครั้งนี้ คือหาเครื่องดื่มดับความกังวลตนเองให้หลับสบายขึ้น ชาลีเดินเข้าไปในครัวโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ แสงที่ลอดจากห้องนั่งเล่นเพียงพอจะพาเธอไปถึงหน้าตู้เย็นได้ มือบางเปิดมันออกก่อนจะก้มหยิบเบียร์กระป๋องเย็นๆ มาแนบแก้ม ใช้นิ้วเกี่ยวเปิดมันดัง 'พล็อก' กระดกลงคอหลายอึกจนสาแก่ใจ “ฮ่า~” ความสดชื่นผ่อนคลายสูบฉีดเข้าไปในเลือดอย่างรวดเร็ว
ชาลีหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความประหม่า ลูกชายตัวน้อยถูกบอดีการ์ดของลูเซียอุ้มขึ้นนั่งบนเก้าอี้เด็กซึ่งถูกยกตามหลังมาติดๆ สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จับจ้องมายังเธอและลูกชายอย่างพร้อมเพรียงกันโดยหาเหตุผลไม่ได้ คลาวด์ถูกสอนมาให้เป็นคนน้อบน้อม เด็กชายยกมือไหว้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ไม่เว้นแม้กระทั่งลูเซียทั้งที่นั่งรถมางานด้วยกันแท้ๆ คนเป็นแม่เข้าใจว่าลูกตื่นเต้น จึงเริ่มกล่าวแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อชาลีค่ะ นี่ลูกชายของฉันเองชื่อน้องคลาวด์ อายุ...อะ เอ่อ” “อายุเท่าไหร่” เวกัสถามออกมา เมื่อเห็นว่าแม่ของเด็กเงียบไป “คือ...” “สี่ขวบ ใช่ไหม?” ลูเซียที่นั่งกอดอกอยู่ตอบคำถามแทนเพราะต้องการตัดรำคาญเพื่อน “คลาวด์หกขวบต่างหาก” หน้าเล็กๆ มุ่ยลงเมื่ออีกฝ่ายบอกอายุตนเองผิด “หกขวบอะไรตัวเท่านี้” ตาสีเทามองเด็กตัวเท่าข้อนิ้วหัวจรดเท้า “ทะ ถึงจะยังไม่หกแต่ก็ใกล้แล้ว เนอะมี้ หลังคริสต์มาสคลาวด์ก็จะหกขวบ” เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำเด็กน้อยจึงหันไปขอกำลั
“มี้ค้าบ~ คนสวย...” คลาวด์เป็นคนแรกที่เห็นว่าแม่ของตนเองเปิดประตูออกมาจากห้องนอน ลูกชายตัวน้อยไถตัวเองลงจากโซฟาใหญ่ตามด้วยการติดกระดุมเสื้อสูทให้เรียบร้อย ไม่ลืมจะหมุนตัวอวดการกระทำของตนเองกับคนสอนมารยาท จากนั้นเท้าน้อยๆ จึงก้าวเข้าไปหามารดาก่อนจะสวมกอดเข้าที่เรียวขาสวยซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเดรสยาวเปิดไหล่สีลาเวนเดอร์เป็นการออดอ้อน ชาลีมองการกระทำแสนน่ารักของลูก พร้อมกับยกมือลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดูเปี่ยมล้น “คนสวยหอมคลาวด์หน่อย” ร่างน้อยเขย่งตัวยื่นแก้มกลมรอให้ผู้เป็นแม่มาจุ๊บ ชาลีจึงไม่รีรอที่จะนั่งย่อตัวหอมแก้มระเรื่อด้วยเลือดฝาดของลูกตามต้องการ “มี้ใส่สีม่วงสวย” “ใส่สีเดียวกับเสื้อข้างในน้องคลาวด์ไงคะ จะได้แต่งตัวคู่กัน” ชาลีระบายยิ้มหวานอธิบายกับลูก พร้อมจิ้มนิ้วชี้ลงบนอกเล็กของคลาวด์ เด็กชายตัวน้อยหัวเราะชอบใจกับการหยอกล้อของผู้เป็นแม่ ขยับตัวโถมเข้าสวมกอดแนบหน้าลงบนอกนุ่มอย่างแสนรัก “รักมี้ที่สุด~” “มี้ก็รักน้องคลาวด์ที่สุดค่ะ” “ที่หนึ่งเลยไหม?” “ที่หนึ่งเลยค่ะ”
“เสร็จแล้วค่ะ!” ชาลีในชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มนั่งคุกเข่าติดกระดุมเสื้อสูทให้ลูกชาย พร้อมขยับจัดชายเสื้อให้เข้าที่เข้าทางเป็นอย่างสุดท้าย ชาลีคลี่ยิ้มภูมิใจในความหล่อเท่ ราวกับนายแบบนิตยสารเด็กของลูก วันนี้น้องคลาวด์ดูดีในเสื้อเชิ้ตสีม่วงลาเวนเดอร์ สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาและสูทตัวนอกสีเดียวกันเข้าเซตกับกางเกงขายาวกับรองเท้าหนัง ทรงผมเรียบแปล้ด้วยเจลจัดแต่งทรงผมเด็กดูน่ารักน่าชัง และแอบหล่อได้พ่อ... “ใส่แบบนี้อาจจะร้อนนิดหน่อย แต่พอขึ้นเรือไปลูกจะไม่หนาวนะคะ” คนเป็นแม่บอกกับลูกตัวน้อย ซึ่งใบหน้าจิ้มลิ้มก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี “คลาวด์ไปขับรถรอนะ” “ได้ค่ะ แต่อย่าเล่นจนชุดเปื้อนนะ เดี๋ยว...” “เจ้าของห้องดุ” น้องคลาวด์พูดประโยคถัดมาด้วยตนเองเสมือนจดจำคำพูดของเธอได้ขึ้นใจ ก่อนที่สองแม่ลูกจะปิดปากหัวเราะคิกคักกันสองคนด้วยความขบขัน อยู่ด้วยจนเริ่มเกิดความคุ้นชินทีละนิด ว่าเจ้าของห้องหน้าดุเป็นคนขี้รำคาญขนาดไหน มือบางเปิดประตูห้องนอน ปล่อยให้ลูกชายออกไปเล่นข้างนอกก่อนจะปิดประตูล็อกแน่นหนา และเริ่มจัด







