Se connecterเธอจากเขาไปพร้อมกับความรัก และกลับมาอีกครั้งพร้อมปริศนา... ส่วนเขา คนที่คิดว่าตนเองเป็นคนรักแรงเกลียดแรง กระทั่งได้กลับมาเจอหน้าแฟนเก่า ที่ทิ้งตนเองไปอีกครั้ง ☁️ส่วนหนึ่งในนิยาย☁️ “กูต้องการรู้ ว่าผู้หญิงที่ชื่อชาลีทำงานที่นี่ตำแหน่งอะไร” “รับทราบครับ ถ้าผมได้ข้อมูลแล้วจะให้ดำเนินการยังไงต่อครับ” คำถามของลูกน้องทำให้มาเฟียหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปาก ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาด้วยความเยือกเย็น “ให้มันไสหัวไปให้พ้นตีนกู” . . “ไม่ใช่พนักงานบริษัทเรา?” “ครับ เธอเปิดร้านขายกาแฟอยู่ใต้ตึกติดกับทางขึ้นลิฟต์พนักงานครับ และเป็น 'แม่ของเด็ก' ที่วิ่งมาขวางหน้ารถเราเมื่อเช้า” . . "มี้~ ลุงคนนี้เพื่อนมี้จริงเหรอ" "ใช่ ฉันเป็นเพื่อนของแม่เธอ" "..." "แล้วเธอน่ะ ลูกใคร?"
Voir plusก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนใจร้าย เขาเคยเป็นผู้ชายที่ตกหลุมรักใครบางคนหมดหัวใจเช่นกัน
________________
รถยุโรปสัญชาติอังกฤษสีดำสี่ประตูขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนในย่านเศรษฐกิจกรุงเทพ และกำลังมุ่งหน้าสู่ตึกสูงกว่าเจ็ดสิบชั้น ซึ่งอยู่ห่างออกไปข้างหน้าไม่ถึงสามร้อยเมตร
ภายในรถมีเพียงมาเฟียหนุ่มเจ้าของรูปร่างสูงโปร่งทว่ากลับแสดงใบหน้าเย็นชาตลอดเวลา กับบอดีการ์ดคนสนิทผู้ทำหน้าที่เป็นตั้งแต่เลขาส่วนตัวตลอดจนสารถีขับรถ เนื่องจากนิสัยส่วนตัวของคนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังที่ไม่มีพนักงานคนไหนรับมือได้ เจ้าระเบียบ โลกส่วนตัวสูง จริงจังกับการทำงาน หากใครต้องทำให้เขาพูดประโยคเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง ก็ต้องทำใจยอมแพ้ต่อโชคชะตาตนเอง ว่าคงมีโอกาสได้ทำหน้าที่เลขาส่วนตัวของลูเซีย กรอสเวอเนอร์เพียงเท่านี้
บอดีการ์ดหนุ่มลอบมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง ลูเซียกำลังมองหน้ากระดานกราฟหุ้นสีเขียวของบริษัทผ่านจอไอแพดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก็คงจะให้ดีใจไม่ได้ เพราะมันเขียวให้เห็นแบบนี้มาตลอดสามเดือนเต็ม
ชินเสียแล้ว...
ทันทีที่รถยนต์เลี้ยวเข้าไปยังเขตพื้นที่ของบริษัท ไอแพดในมือก็ถูกพับเก็บลงข้างตัวอย่างง่ายดาย อิริยาบถของคนตัวสูงดูผ่อนคลายขึ้นด้วยการเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างมองตึกสำนักงานตนเองที่เป็นคนออกแบบมันด้วยตนเอง
ในตอนที่โทรถามเพื่อนว่าอยากสร้างออฟฟิศในไทยให้สูงเสียดฟ้าในพื้นที่กฎหมายควบคุมอาคารสูงต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อนสนิทอย่างเวกัสก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าใช้แค่เงิน ลูเซียจึงไม่ลังเลที่จะสร้างมันขึ้นมาทันที
เงินไม่ใช่ปัญหา ยิ่งเจอปัญหาที่แก้ได้ด้วยเงินคนอย่างเขายิ่งชอบ
ตึกสูงเจ็ดสิบชั้นแบบสถาปัตยกรรมโมโนลิธ อาคารสูงรูปทรงสมมาตรที่ภายนอกเรียบหรูด้วยกระจกเมทัลลิกกันแสงทั้งหลังตั้งตรงตระหง่านกลางกรุง ท้าทายสายตาคนขับรถผ่านถนนเส้นนี้จนอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสงสัยว่ามันคือตึกอะไรกันแน่
ที่นี่คือที่ตั้งของลุกซ์ ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ บริษัทเครื่องดื่มระดับโลกที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก ลุกซ์ไม่ได้ตั้งฐานการผลิตด้วยตนเองในทุกประเทศ หากแต่ครอบครองเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวเติบโตเป็นหลัก เช่น ในทวีปอเมริกาเหนือจะเป็นสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรปคือฝรั่งเศสและอิตาลี และในเอเชียคือญี่ปุ่นและไทย นอกเหนือจากนั้นเป็นการขายลิขสิทธิ์ให้มีการผลิตและจัดจำหน่ายในรูปแบบ Bottler[1]
คนอย่างลูเซียไม่ยอมเสี่ยง และไม่ยอมให้ใครมาแย่งตลาดแน่นอน
เชร์ เชสนีย์ลอบสังเกตใบหน้าของผู้เป็นเจ้านายอย่างรอเวลา กระทั่งลูเซียละสายตาจากตึกสูงกลับมาภายในรถจึงเอ่ยถามเรื่องสำคัญ
“คุณเวกัสเชิญนายไปรับประทานมื้อค่ำที่โรงแรม...”
“ไม่” คำปฏิเสธไร้เยื่อใยออกมาจากริมฝีปากหยักไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบด้วยซ้ำ
“ครับ ผมจะแจ้งคุณเวกัสว่านายไม่ว่าง”
มาเฟียหนุ่มหยักยิ้มหลังได้ฟังคำพูดของลูกน้องคนสนิท คราวก่อนที่เขามาไทยลูเซียยังจำคำปฏิเสธของเพื่อนได้ มันทะเลาะกับเมียแล้วพาลไม่ยอมมาแดกเหล้าเป็นเพื่อนเขา ดังนั้นลูเซียจะไม่ยอมเสียเวลาสองชั่วโมงอันมีค่าของตนเองไปนั่งฟังคนหลงลูกหลงเมียอย่างเวกัสพูดอวดให้ฟังจนเสียรสชาติไวน์
มีไปทำไมลูกกับเมีย มีเงินสิดีกว่าตั้งเยอะ
“เอ่อ นอกจากนี้คุณเซนยังโทร...”
“มะ...”
ปริ๊นนนน~!!
ยังไม่ทันจะออกปากปฏิเสธนัดที่สอง บอดี้การ์ดหนุ่มบีบแตรพร้อมกับเหยียบเบรกชะลอรถเต็มเท้าจนได้ยินเสียงดังเข้ามาในรถดัง ‘เอี๊ยด~’ หากไม่มีสติอยู่กับตัวคนนั่งเบาะหลังอย่างเขาคงถลาหน้าทิ่มเบาะ
เสียงลอบถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งด้วยความหงุดหงิด ทำเอาเชร์กลืนน้ำลายดังอึกพร้อมกับอธิบายด้วยความรีบร้อน
“ขอโทษครับนาย เด็กวิ่งตัดหน้ารถครับ” เชร์พูดพร้อมๆ กับปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว “ขออนุญาตลงไปดูเด็กสักครู่ครับ”
ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก แต่ยังไม่ทันที่เท้าของลูกน้องคนสนิทจะแตะพื้น ก็มีผู้หญิงวิ่งออกมาจากอาคารลุกซ์ ลิมิเต็ดมายังเด็กที่ลูเซียเองก็มองไม่เห็นเพราะถูกหน้ารถบังทัศนวิสัยจนมิด แต่เพียงแค่ผู้หญิงในชุดผ้ากันเปื้อนสีครีมอุ้มเด็กขึ้นมา ดวงตาสีเทาของคนที่นั่งอยู่ในรถก็วาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความโกรธ
หน้าหวานจิ้มลิ้มสไตล์สาวเอเชียรับกับจมูกเชิดรั้น และริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูมีเสน่ห์ชวนมองเมื่อยามคลี่ยิ้ม ทำให้มาเฟียหนุ่มจำคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
ชาลี...
ห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน นึกว่าตายห่าไปแล้วซะอีก!!
คนที่เอาแต่ก้มหน้าปลกๆ ขอโทษบอดีการ์ดเขาอยู่ไม่มีโอกาสรู้เลย ว่าภายในรถมีคนที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุดกำลังนั่งมองอยู่
กระทั่งผู้หญิงคนนั้นอุ้มเด็กเดินกลับเข้าไปในตึก และลูกน้องเดินกลับเข้ามานั่งในรถ พร้อมออกตัวขับไปยังลานจอดรถที่เชื่อมต่อกับลิฟต์โดยสารส่วนตัวของเจ้าของตึก
“กูต้องการรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อชาลีทำงานที่นี่ตำแหน่งอะไร”
รถไม่ทันดับเครื่องยนต์ เจ้านายก็สั่งงานออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
“ชาลี? ใครครับ?” ความสงสัยของเชร์สิ้นสุดลง เมื่อสบตากับดวงตาสีเทาวาวโรจน์ของคนด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง “รับทราบครับ ถ้าผมได้ข้อมูลแล้วจะให้ดำเนินการยังไงต่อครับ”
คำถามของลูกน้องทำให้มาเฟียหนุ่มเหยียดยิ้ม ริมฝีปากหยักยกมุมปากขึ้นกึ่งหนึ่งพร้อมกับเปล่งเสียงออกมาด้วยความเยือกเย็น
“ให้มันไสหัวไปให้พ้นตีนกู”
»»-------✧-------««
[1] Bottler การให้ลิขสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม โดยมีการควบคุมสูตรและคุณภาพการผลิตตามมาตรฐานบริษัทผู้เป็นเจ้าของเครื่องดื่มนั้น และสามารถจำหน่ายได้ภายในประเทศที่ผลิตเท่านั้น
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอีกครั้งในยี่สิบนาทีให้หลัง ทว่าลูกจ้างตลอดชีวิตกลับชิงหลับไปก่อนแล้ว ว่าง่ายดี บอกให้นอนนี่ก็นอน สาเหตุคงเพราะกระดาษสีขาวที่กำไว้ในมือแน่นไม่เว้นแม้กระทั่งตอนหลับ ร่างสูงเดินอ้อมไปดึงเช็คออกจากมือบางวางลงบนหัวเตียง ซึ่งชาลีก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี จากนั้นจึงฉวยโอกาสสอดตัวเข้ามานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เขาพยายามคิดหาเหตุผล ว่าอะไรทำให้ชาลีเลือกจะโกหกเขาข้างๆ คูๆ ไปเรื่อยแบบนี้ เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าน้องคลาวด์เป็นลูก และไม่ยอมบอกเหตุผลที่เลิกรากัน แสดงว่าเหตุผลที่ทำให้เลิกกันมันต้องมีผลกับใครสักคน “ชาลี” ในเมื่อคิดไม่ออกจึงปลุกคนที่นอนหลับขึ้นมาหลอกถาม “ตื่นขึ้นมา” “ฮื่อ...” นอกจากการส่งเสียงประท้วงในลำคอกับการทำปากแจ้บๆ ใส่ คนขี้เซาก็ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย แอลกอฮอล์คงออกฤทธิ์เต็มที่จึงทำให้รู้สึกง่วงจนผล็อยหลับไป “ไม่ตื่น? ได้...” เสียงสุดท้ายมาเฟียหนุ่มพูดออกมาเบาหวิว มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ได้ยิน กายสูงกำยำจัดการขยับโยกย้ายร่างตนเองมานั่งกลางเรียวขาสวยของอีกคนพร้อ
“งั้นฉันจะให้เชร์ไปเอามาเอง” แววตาของชาลีวูบไหวกับสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนที่มือบางฟาดลงกลางอกแกร่งเสียงดังปึกด้วยความโมโห “พี่จะยุ่งเรื่องนี้อะไรนักหนา มันสำคัญนักหรือไงว่าลูกใคร!” “เธอจะให้ฉันรู้สึกยังไงที่มารู้ทีหลังว่าตัวเองมีลูก หลังจากเลิกกับแฟนเก่าไปหกปี คิดบ้างสิวะ!” ลูเซียเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาโต้กลับด้วยน้ำเสียงดุดันเพราะอารมณ์โกรธเช่นเดียวกัน “มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกมาตรงๆ เธอทิ้งให้ฉันคิดว่าหนีไปมีผัวใหม่หกปีเนี่ยนะ...” “ก็คิดถูกแล้วนี่ พี่คงให้คนไปตามสืบเรื่องของฉันบ้างแล้ว ถ้าไม่โง่ก็ต้องรู้ว่าฉันแต่งงา...” “แต่งเหี้ยอะไร!! ไม่ได้แต่ง มันถูกยกเลิกก่อนวันงาน” “มันไม่ได้การันตีว่าเขาเป็นลูกของพี่อยู่ดี ฉันอาจจะเอากับผู้ชายอีกคน...ว้าย!!!” ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ ลำคอระหงก็ถูกมือแกร่งบีบหมับ แรงที่เหนือกว่าดันร่างบางไปกระแทกกับผนังเหมือนอย่างวันแรกที่เธอถูกลูกน้องพามาหาเขาที่ห้องนี้ “อย่าพูดให้ได้ยินอีกว่าเอากับคนอื่น” มือของเขายังกดค้างบนคอของอดีตแฟนสาว ดวงตาสีหม่นบ่งบอกว่านี่คือการเ
หลังจากกลับมาถึงห้องก็ไม่มีใครพูดอะไร ชาลีรีบพาลูกแยกตัวไปอาบน้ำและไม่ยอมออกจากห้องนอนอีกเลย เธอไม่น่าหลวมตัวมาอยู่กับเขาเลย ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ เพราะความงก ตามใจลูก หรือตามใจตนเองก็ไม่แน่ใจ กายบางพลิกตัวจากการนอนตะแคงเป็นมานอนหงาย เพดานสีขาวสะอาดตาไม่ได้ทำให้จิตใจสงบลงแม้แต่น้อย มันทำให้เธอฟุ้งซ่านหนักกว่าเดิม เมื่อนึกถึงใบหน้าของลูเซียในตอนที่ตอบเธอด้วยความมั่นใจว่าตนเองเป็นพ่อของน้องคลาวด์ คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ลืมจะห่มผ้าให้ลูกที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนผ้าห่มหลุดออกจากตัว มือบางแง้มเปิดประตูออกไปส่องลาดเลาด้านนอก เห็นเพียงแสงสว่างจากห้องนั่งเล่นกลางห้องเปิดทิ้งเอาไว้ จุดหมายของการออกจากห้องครั้งนี้ คือหาเครื่องดื่มดับความกังวลตนเองให้หลับสบายขึ้น ชาลีเดินเข้าไปในครัวโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ แสงที่ลอดจากห้องนั่งเล่นเพียงพอจะพาเธอไปถึงหน้าตู้เย็นได้ มือบางเปิดมันออกก่อนจะก้มหยิบเบียร์กระป๋องเย็นๆ มาแนบแก้ม ใช้นิ้วเกี่ยวเปิดมันดัง 'พล็อก' กระดกลงคอหลายอึกจนสาแก่ใจ “ฮ่า~” ความสดชื่นผ่อนคลายสูบฉีดเข้าไปในเลือดอย่างรวดเร็ว
ชาลีหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความประหม่า ลูกชายตัวน้อยถูกบอดีการ์ดของลูเซียอุ้มขึ้นนั่งบนเก้าอี้เด็กซึ่งถูกยกตามหลังมาติดๆ สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จับจ้องมายังเธอและลูกชายอย่างพร้อมเพรียงกันโดยหาเหตุผลไม่ได้ คลาวด์ถูกสอนมาให้เป็นคนน้อบน้อม เด็กชายยกมือไหว้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ไม่เว้นแม้กระทั่งลูเซียทั้งที่นั่งรถมางานด้วยกันแท้ๆ คนเป็นแม่เข้าใจว่าลูกตื่นเต้น จึงเริ่มกล่าวแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อชาลีค่ะ นี่ลูกชายของฉันเองชื่อน้องคลาวด์ อายุ...อะ เอ่อ” “อายุเท่าไหร่” เวกัสถามออกมา เมื่อเห็นว่าแม่ของเด็กเงียบไป “คือ...” “สี่ขวบ ใช่ไหม?” ลูเซียที่นั่งกอดอกอยู่ตอบคำถามแทนเพราะต้องการตัดรำคาญเพื่อน “คลาวด์หกขวบต่างหาก” หน้าเล็กๆ มุ่ยลงเมื่ออีกฝ่ายบอกอายุตนเองผิด “หกขวบอะไรตัวเท่านี้” ตาสีเทามองเด็กตัวเท่าข้อนิ้วหัวจรดเท้า “ทะ ถึงจะยังไม่หกแต่ก็ใกล้แล้ว เนอะมี้ หลังคริสต์มาสคลาวด์ก็จะหกขวบ” เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำเด็กน้อยจึงหันไปขอกำลั