เสียงคลื่นกระทบเรือไม้ดังสะท้อนในความมืดของมหาสมุทร ชายหนุ่มยืนพิงราวเรือ พลางทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่ลับหายไปกับแสงดาว คืนนี้เงียบสงบ เหมาะกับการรับสายลมเย็นที่พัดผ่าน
ตอนแรกเขาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือสักพักหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านเหล้าเสียงดัง ผู้คนเดินขวักไขว่ เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่แล้วคำเชิญจากพ่อค้าก็เปลี่ยนความตั้งใจของเขา
พ่อค้าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาขอติดเกวียนมาด้วย เมื่อเขาได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มในระหว่างการเดินทาง พ่อค้าจึงเสนอค่าจ้างก้อนใหญ่เพื่อให้คุ้มกันสินค้าไปยังทวีปอื่น แม้ตอนแรกจะลังเล แต่เมื่อคิดถึงค่าตอบแทน สวัสดิการที่ได้รับ แถมโอกาสเดินทางไกลที่เขาไม่เคยสัมผัส เขาจึงตอบรับข้อเสนอ
"ถึงตอนแรกจะไม่ชิน ทำให้เมาเรือก็เถอะ แต่พอปรับตัวได้ มันก็ไม่เลวเลย…." เขาพึมพำกับตัวเอง
กลุ่มผู้คุ้มกันที่พ่อค้าจ้างมาก่อนหน้านี้ได้สลายตัว แยกย้ายออกไปแล้ว เหลือเพียงเขาและพวกอีกไม่กี่คนที่ตัดสินใจเดินทางต่อ
เรือลำนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ดูแข็งแรงพอที่จะฝ่ามหาสมุทร เขาเดินสำรวจดาดฟ้าเรืออย่างละเอียดเมื่อขึ้นมาเป็นครั้งแรก ลูกเรือที่นี่มีตั้งแต่คนหนุ่มสาวไปจนถึงชายแก่ผู้มีประสบการณ์ยาวนาน แต่ละคนดูมีเรื่องราวไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกัปตันเรือ หญิงสาววัยกลางคนที่มีสายตาเฉียบคมและคำพูดเฉียบขาด
กัปตันเรือที่สังเกตุเห็นเขา ก็เดินเข้ามาหา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังรับลมเย็นอยู่
"ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าขึ้นเรืองั้นหรือ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ชายหนุ่มหันมามองหน้ามองเธอ ก่อนตอบ "ใช่ครับ นี้เป็นครั้งแรก" เขาพยายามพูดให้ดูธรรมชาติที่สุด แต่ความไม่คุ้นชินทำให้ยังมีอาการเกร็งอยู่เล็กน้อย
กัปตันหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยืนกอดอกพร้อมมองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ฟังนะ ไอ้หนุ่ม การพูดสุภาพมันก็ดีอยู่หรอก แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และ กลมกลืนไปกับสิ่งที่รอบข้าง ลองพูดให้สบายๆ กับข้าดูสิ ไม่ต้องมากพิธีหรอก"
คำพูดของกัปตันทำให้เขาหยุดคิด ก่อนจะพยายามปรับตัว เขาพยักหน้าเล็กน้อย "เข้าใจแล้ว... ข้าจะลองดู" เขาตอบเสียงเรียบ แต่ดูเป็นกันเองมากขึ้น กัปตันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตบไหล่เขา
"ดีๆต้องแบบนี้สิ ตอนนี้ลมสงบดี แต่ระวังตกทะเลด้วยหล่ะ ยามค่ำคืนแบบนี้ จะไม่มีใครสังเกตุเห็น หากเจ้าหายตัวไปไหน จำไว้ให้ดี"เขาพยักหน้ารับ ก่อนที่กัปตันเรือจะลา กลับไปดูลูกน้องทำงานต่อ
ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่ราวเรือ เริ่มคุ้นเคยกับจังหวะชีวิตบนเรือ เสียงฝีพาย เสียงลมพัดผ่านใบเรือ และเสียงหัวเราะของเหล่าลูกเรือในยามพัก ทุกสิ่งนี้ล้วนทำให้เขานึกถึงความสงบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เขาหยิบเหรียญทองที่พ่อค้าให้ออกมาดูเล่น นี่เป็นค่ามัดจำจากการเดินทางครั้งแรก หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีก็คงดี
แต่แล้วความคิดของเขาก็วกกลับไปหาที่อดีตคู่หมั้นของตัวเอง ความเงียบของท้องทะเลยามค่ำคืนไม่อาจดับเสียงในหัวใจที่พลุ่งพล่าน ความเสียใจเริ่มก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นที่กระทบเข้าหากันไม่หยุด
"นี่ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วที่ออกมา" เขาพึมพำเบาๆ ท่ามกลางเสียงคลื่นอันเยือกเย็น
สายตาของเขาจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ดูไกลเกินเอื้อม มือที่จับขอบเรือแน่นสั่นเล็กน้อย เขากลืนน้ำลายเหมือนพยายามกลบความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก
“ดูจากที่ไม่มีปัญหาอะไร ยามที่ท่าเรือก็ไม่ได้พยายามหยุดเอาไว้...” เสียงแผ่วเบาของเขาเจือไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในคำพูด ก่อนริมฝีปากจะแย้มรอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“แสดงว่าเธอคงไม่สนใจกันแล้วจริงๆ”
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเพื่อไล่ความรู้สึกแย่ๆออกไป แม้หัวใจจะยังคงหน่วงหนัก แต่เขาพยายามหาคำปลอบใจให้ตัวเอง
“ถ้าเธอไม่สนใจฉันแล้ว... ก็ไม่เป็นไร” เขาพูดออกมาเบาๆ เหมือนเป็นคำสาบานที่พยายามยึดมั่น
“ฉันก็ขอให้เธอเจอคนที่ดีกว่า... คนที่เหมาะสม และคู่ควรกับเธอ ไม่ใช่ฉัน”
เขาลืมตาขึ้น มองทะเลเบื้องหน้าที่กว้างใหญ่และมืดมิด รอยยิ้มของเขาค่อยๆอ่อนโยนขึ้น แม้แฝงความเศร้า แต่ก็มีแสงเล็กๆ ของความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น
“สำหรับฉัน... ก็คงต้องเดินหน้าต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ว่าการออกมาครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด”
เขาพูดกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจกลับไปทีห้องพัก เพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็นยิ่งขึ้น
เรือค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงจันทร์เริ่มถูกเมฆบดบังเล็กน้อย กลิ่นอายแปลกๆ ของลมทะเลเริ่มกรุ่นขึ้นเหมือนคำเตือนที่มองไม่เห็น
ทว่าเขาหารู้ไม่ว่า วันพรุ่งนี้ทะเลจะเปลี่ยนโฉมจากความสงบเป็นความบ้าคลั่ง พายุร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา คลื่นยักษ์ที่เหมือนอสูรกำลังรอท้าทายความมุ่งมั่นของเขาในเส้นทางการเดินทางครั้งนี้...
ยามเช้าหลังการจากไปของเขา ที่คฤหาสน์ยังคงเงียบสงบ แต่ความสงบนั้นกลับแฝงด้วยความอึดอัด หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องของเขาเพื่อเรียกให้ไปทำหน้าที่ประจำวัน แต่สิ่งที่เธอพบกลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
บนโต๊ะเขียนหนังสือ มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ หญิงรับใช้หยุดมอง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา เนื้อหาในจดหมายสะท้อนถึงความทุกข์ที่เขาเผชิญ แรงกดดันที่เขาไม่อาจหลีกหนี และคำลาสั้นๆที่ส่งถึงคนสำคัญ
ทว่าจดหมายนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คำอำลา มันยังมีหลักฐานที่เขาได้รวบรวมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น รายจ่ายที่ดูน่าสงสัย หรือหลักฐานบางอย่างที่สำคัญ ที่เชื่อมโยงถึงอำนาจเบื้องหลังการล่มสลายตระกูล
มันถูกซ่อนไว้เป็นข้อความลับ มีเพียงแค่อดีตคนรับใช้ในตระกูลเขาเท่านั้นที่อ่านออก แต่ตอนนี้ดูเหมือนหลักฐานที่ว่านั้นจะถึงทางตัน เขาจึงยอมแพ้ที่จะสืบต่อ
หญิงรับใช้แอบเก็บจดหมายนี้เอาไว้ เพราะตอนนี้คุณหนูไม่อยู่ แถมยังมีสายตามากมายจับจ้อง เธอจึงไม่สามารถส่งจดหมายฉบับนี้ให้ไปถึงมือคนรับได้
สามสัปดาห์ผ่านไป หญิงรับใช้ลังเลว่าจะเก็บจดหมายนี้ไว้เพื่อเปิดเผยความจริง หรือทำลายมันเพื่อปกป้องชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เธอคิดจะเผาทิ้ง ภาพความเมตตาของอดีตตระกูลที่เธอเคยรับใช้ ก็ผุดขึ้นในใจ ความจริงควรถูกเปิดเผย แม้จะเสี่ยงเพียงใดก็ตาม
ในเช้าวันที่ยี่สิบเอ็ด เธอเก็บจดหมายใส่กระเป๋าใบเล็ก และ แจ้งหัวหน้าคนรับใช้ว่าจะลาออกเพื่อกลับไปดูแลครอบครัว หัวหน้าคนรับใช้ไม่ซักถาม ทำให้เธอออกจากคฤหาสน์ได้อย่างง่ายดาย
ก่อนออกจากเขตคฤหาสน์ เธอหยุดยืนที่สวนกุหลาบ มุมสงบที่เขาเคยทำงานเป็นประจำ ความทรงจำทั้งดีและร้ายหลั่งไหลเข้ามา เธอพึมพำเบาๆแต่หนักแน่นว่า
“ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกลบหายไป” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเธอก้าวออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ความกลัว และ ความหวังปะปนในใจ เธอรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เธอเลือกที่จะก้าวต่อไป
“จดหมายฉบับนี้จะต้องไม่สูญเปล่า...” เธอคิดในใจ พลางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เมืองที่ผู้รับจดหมายอาศัยอยู่ การเดินทางครั้งนี้อาจเปลี่ยนชะตากรรมของเธอและทุกคนที่เกี่ยวข้องไปตลอดกาล
“เธอได้ยินข่าวรึยัง?”เสียงกระซิบดังขึ้นในร้านขนมปังซึ่งมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแม่บ้าน แต่เช้านี้ กลับมีแต่ความเงียบงันตึงเครียดราวกับพายุจะมา หญิงสาวสองคนยืนต่อคิวอยู่ใกล้ตะกร้าขนมปังอบใหม่ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นหอมกรุ่นเหล่านั้นอีกต่อไป“เรื่อง ไอ้คุณชายจากตระกูลทรยศ นั่นน่ะเหรอ?” อีกคนตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ“นังคนใช้ที่บ้านฉันเล่าว่า เขาหายตัวไปจากคฤหาสน์กลางดึกเลยนะ ทั้งที่คุณหนูแคทลีนก็อุตส่าห์เลี้ยงไว้เป็นอย่างดี พยายามดึงขึ้นมาจากดินจากโคลน พอถึงเวลากลับตอบแทนด้วยการ หนีหาย อย่างกับคนขี้ขลาด!”“แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเถอะ! ไอ้นี่สิ! อยู่กินกับตระกูลคู่หมั้นของตัวเอง พอมีโอกาสพิสูจน์ความจริง ก็ถอยหลังกลับลำ ทิ้งคุณหนูเขาไว้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน!”หญิงอีกคนยกมือขึ้นกอดอกแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์“เขาว่ากันว่า...คืนก่อนจะหายตัวไป มีคนเห็นเขาแอบคุยกับชายแปลกหน้าสองคนตรงท่ารถใต้ดินฝั่งตะวันตกของเมือง แล้วก็หายเงียบ! นี่มันไม่ใช่บังเอิญแล้ว! มันคือ การวางแผนหลบหนี ชัดๆ!”“ใช่! แล้วคนในตลาดตอนนี้ก็พูดกันว่า ไอ้คุณชายบ้านั่น อาจจะเป็นสายลับให้พวกประเทศอื่นก็ได้!”“สายลับเ
เสียงฝนโปรยปรายดังสะท้อนกระจกหน้าต่างรถม้าที่เร่งสปีดผ่านถนนกรวดกลับไปยังคฤหาสน์วาเรนไฮม์ หญิงสาวในชุดดำเรียบหรูเอนตัวมาข้างหน้า มือกำชายผ้าคลุมแน่น เธอไม่อาจซ่อนความกระวนกระวายใจได้ประตูรถยังไม่ทันเปิดสนิท ร่างนั้นก็ก้าวลงอย่างรวดเร็ว รองเท้าบูตกระแทกลานหินเสียงดัง เธอไม่เหลียวมองข้ารับใช้ที่วิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยซ้ำ เอ่ยถามทันทีโดยไม่หยุดเดิน“เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”หัวหน้าแม่บ้านที่รออยู่ใกล้บันไดขยับเข้ามาอย่างร้อนรน“เมื่อวานช่วงสายค่ะคุณหนู ข้ารับใช้เห็นว่าเขาไม่ได้ออกมาทำงาน เลยไปดูที่ห้องแต่ก็ไม่เจอ ไม่ทราบแน่ชัดว่าออกไปเมื่อใด”“แล้วได้สั่งให้คนที่เหลือไปตรวจสอบรอบๆ เมืองรึยัง?”“ค่ะ ดิฉันได้สั่งการไปแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เจอคุณชายเลยค่ะ…”เธอไม่รอฟังต่อ ก้าวฉับๆ ไปทางฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์ เส้นทางเปียกชื้นจากฝนทำให้เสียงฝีเท้าดังขึ้นกว่าปกติ อาคารของข้ารับใช้เงียบผิดสังเกต แม้จะไม่ใช่เวลาพักแคทลีนมุ่งตรงไปยังห้องของเขา เธอแค่ต้องการดู—ว่าเขาทิ้งอะไรไว้หรือเปล่า บางอย่างที่อาจบอกได้ว่าเขาจากไปเพราะเหตุจำเป็น... หรือเพราะตั้งใจ“หรือว่า…เขาหายไปเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี?”ปร
ภายในห้องประชุมของวัง บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ฝนที่สาดกระหน่ำนอกหน้าต่างส่งเสียงเคาะกระจกเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ คล้ายกำลังนับถอยหลังสู่บางสิ่งที่ไม่มีใครอยากเผชิญกษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้น เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนาง ขุนพล และรัชทายาททั้งสามคนที่ยืนเรียงแถว แววตาของกษัตริย์นั้นเย็นชาและเฉียบคม มองตรงไปโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่แผ่ปกคลุมไปทั้งห้องทันใดนั้น ประตูเปิดออก ข้าหลวงคนหนึ่งรีบเข้ามา คุกเข่าทันที ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ... เรายังหาตัวท่าน เซลวิน ไม่เจอขอรับ”คำพูดนั้นเหมือนเสียงระเบิดในห้องเงียบๆ ทุกสายตาหันมามอง เสนาบดีบางคนเบิกตากว้าง รัชทายาทคนโตกับคนรองขมวดคิ้ว แต่มีเพียงองค์ชายคนเล็กที่แอบยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังพอใจกับข่าวนี้เสียงทรงอำนาจดังขึ้น มันเปี่ยมไปด้วยพลังจนไม่มีใครกล้าขัด“เขาอยู่กับตระกูลวาเรนไฮม์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงหายตัวไปได้? ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีงั้นรึ?”ข้าหลวงกลืนน้ำลายก่อนตอบ“ตอนนี้คุณหนูแคทลีน วาเรนไฮม์กำลังรีบกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองอยู่พ่ะย่ะค่ะ... ไม่มีใคร
แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อย ๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา“เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!”ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่
นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำแต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเทพ
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคงขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถ