Share

บทที่ 3

Author: กวนเหอว่านหลี่
“หา เรียกข้าหรือ?”

จูอวิ่นเทิงตื่นขึ้นมา เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของฉางเซิง ซึ่งฉายแววกังวลอย่างยิ่ง

ฉางเซิงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากจูอวิ่นเทิงเดินไปข้างหน้า

เดิมทีเหล่าขุนศึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทถึงกับเอ่ยถามว่าจูอวิ่นเทิงมาแล้วหรือยัง!

นี่เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจะทดสอบจูอวิ่นเทิง

หากจูอวิ่นเทิงตอบได้ดี แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่น ก็จะเพิ่มแต้มต่อในการชิงตำแหน่งพระนัดดารัชทายาทได้อย่างมหาศาล

แต่ใครจะไปรู้ว่า เจ้าเด็กนี่จะหลับไปเสียได้!

ตอนที่เดินออกมา ก็ยังมีท่าทีไม่เต็มใจอีก

ขาดก็แต่ให้ลุงรองฉางเซิงมาบิดหูเขาเท่านั้น

หรือว่าฉางเซิงไม่ได้บอกหลานนอกของเขาถึงความสำคัญของการเข้าร่วมประชุมราชสำนักในครั้งนี้?

ฉางเซิงผลักจูอวิ่นเทิงไปอยู่แถวหน้าสุด แล้วจึงถอยกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง

ในใจเต้นระรัว หลานผู้แสนดีของข้า หลานแท้ ๆ เอ๋ย เจ้าต้องแสดงความสามารถให้ดีนะ!

นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว!

หากพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าและตระกูลฉางของเรา รวมทั้งตระกูลหลานอวี้ เกรงว่าจะต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้า!

ทุกสายตาในท้องพระโรงจับจ้องมาที่จูอวิ่นเทิง

ขุนนางหลายคนเพิ่งเคยเห็นจูอวิ่นเทิงเป็นครั้งแรก

หลายปีมานี้ พระราชนัดดาที่โดดเด่นอยู่เบื้องหน้าคือจูอวิ่นเหวิน ผู้รอบรู้ในตำราและมีมารยาท เป็นที่ยอมรับของทุกคน

ส่วนจูอวิ่นเทิงนั้นราวกับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

วันนี้พอได้เห็น สิ่งเดียวที่จูอวิ่นเทิงจะเทียบจูอวิ่นเหวินได้ เกรงว่าจะมีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

ใครเล่าจะคาดคิด ภายใต้รูปร่างหน้าตาที่น่ามองนี้จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย

จูหยวนจางมองจูอวิ่นเทิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างเหมือนคนโง่เขลา ในใจก็พลันเกิดความสงสารขึ้นมาแวบหนึ่ง

เจ้าเด็กนี่แสร้งทำอย่างเห็นได้ชัด!

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า?

มิใช่เพราะมารดาจากไปเร็วหรอกหรือ?

“อวิ่นเทิง มาก็ดีแล้ว เมื่อวานเราถามเจ้าเรื่องสงครามทางเหนือ เจ้าก็โยนไปให้พี่รองของเจ้า วันนี้พี่รองเจ้าไม่ได้มา เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาเถิด”

เมื่อจูหยวนจางพูดจบ เหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง

ฝ่าบาททรงเข้มงวดและโหดเหี้ยมมาโดยตลอด แต่เมื่อครู่กลับมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา!

[ตาเฒ่านี่สมองกระทบกระเทือนหรือไร? เรื่องสงครามทางเหนือ มาถามจูอวิ่นเทิงเนี่ยนะ?]

เมื่อได้ยินเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง จูหยวนจางก็ทรงสับสนเล็กน้อย หรือว่าเจ้าไม่ใช่จูอวิ่นเทิง?

เจ้าเด็กนี่ ยังไม่ตื่นนอนหรืออย่างไร?

“เสด็จปู่ มีแม่ทัพหลานนำทัพออกศึก จะต้องกวาดล้างพวกหยวนเหนือที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก และประกาศศักดิ์ดาต้าหมิงของเราได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

คำตอบของจูอวิ่นเทิงไม่ได้น่าประหลาดใจนัก เพราะหลานอวี้เป็นน้องชายภรรยาของฉางอวี้ชุน ซึ่งก็คือน้าทวด ของจูอวิ่นเทิง

พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมต้องพูดเช่นนี้อยู่แล้ว

ปัญหาที่ทุกคนถกเถียงกันเมื่อครู่คือ หลานอวี้นำทัพขึ้นเหนือไปได้สองเดือนแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังหากองกำลังหลักของหยวนเหนือไม่พบ

เสบียงอาหารแทบจะหมดสิ้นแล้ว ราชสำนักควรจะจัดหาเสบียงให้หลานอวี้ต่อไปหรือไม่

หากหลานอวี้ยังหาศัตรูไม่พบอีกจะทำอย่างไร?

จะถอยทัพกลับมา หรือจะค้นหาศัตรูต่อไป?

“อวิ่นเทิง ตอนนี้หลานอวี้ควรจะถอยทัพกลับ หรือควรจะไปต่อ?” จูหยวนจางไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามตรงประเด็น

เมื่อครู่ ในราชสำนักได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายที่ต้องการให้หลานอวี้ถอยทัพ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น

ฝ่ายที่เรียกร้องให้ค้นหาศัตรูต่อไป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางฝ่ายบู๊

จูอวิ่นเทิงมองไปรอบๆ อย่าง “ขลาดกลัว” แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “สะ เสด็จปู่ จะถอยหรือไปต่อ เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง จะต้องหารือกันอย่างเต็มที่ รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และตัดสินใจอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบจูอวิ่นเทิงก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

แค่นี้? พูดจบแล้ว?

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นแอบหัวเราะในใจ คำพูดแบบนี้ใครๆ ก็พูดได้ เป็นคำพูดไร้สาระที่ถูกต้องอย่างหาที่เปรียบมิได้!

อันที่จริงก็คือไม่ได้พูดอะไรเลย คิดว่าจะหลอกฝ่าบาทปล่อยผ่านไปได้หรือ?

เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ก็ใจเสียเช่นกัน

เจ้าพูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็สนับสนุนให้หลานอวี้ค้นหาศัตรูต่อไปสิ!

นี่อย่างน้อยก็ยังเรียกว่ามีจุดยืน!

ฉางเซิงส่ายหน้า ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่ตนมีต่อหลานนอก ดูท่าจะยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ

เจ้าเด็กนี่ยังคงอ่อนแอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

จูหยวนจางกำลังจะเอ่ยถาม เสียงในใจของจูอวิ่นเทิงก็ดังขึ้นในหัว [เหอะๆ ถ้าถอยทัพกลับสิถึงจะโง่จริง! ไปมาตั้งสองเดือนแล้ว เสียเวลาเพิ่มอีกสักเดือนจะเป็นไรไป?]

[พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นนี่มันโง่เง่าจริงๆ ปล่อยให้หลานอวี้กลับมามือเปล่า มิเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าตาเฒ่าจูโง่เขลาหรอกหรือ?]

จูหยวนจางถึงกับพูดไม่ออก เจ้าหลานคนนี้ถึงกับเรียกเขาว่าตาเฒ่าจู!

ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา!

แต่ว่าเด็กคนนี้ก็เป็นหลานของตน

ตนเองก็ใกล้จะลงโลงอยู่แล้ว จะไปถือสาหาความกับหลานทำไม?

หืม? แต่ประโยคหลังของเขา พูดได้มีเหตุผลทีเดียว!

การให้หลานอวี้ขึ้นเหนือไปตีหยวน เป็นการตัดสินใจของเขาเอง!

ตั้งแต่เริ่มประชุมในวันนี้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะให้หลานอวี้ถอยทัพกลับมา

ไม่คาดคิดว่า ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของตน พระราชนัดดาที่ดูโง่เขลาคนนี้กลับเดาออก!

[ก็ต้องดูว่าตาเฒ่าจูกล้าตัดสินใจหรือไม่! อย่าได้หวั่นไหวเป็นอันขาด! การลบหยวนเหนือออกจากแผนที่ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว!]

[หลานอวี้เอ๋ย ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางน่าจะมาบอกข้าสักคำ มิเช่นนั้นก็คงไม่ลำบากขนาดนี้]

[แต่เชื่อว่าท่านก็คงหาเจอในที่สุด สถานที่ซ่อนตัวของฮ่องเต้หยวนทัวกู่ซือเทียมู่เอ๋อร์หาไม่ยากจริงๆ]

อะไรนะ?

พระราชนัดดาผู้นี้รู้ที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวน?!

จูหยวนจางไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตัดสินใจที่จะฟังต่อไป

แต่ใครจะรู้ว่า เสียงในใจของเจ้าเด็กนี่มาถึงตรงนี้ก็ขาดหายไปอีกแล้ว!

“ฝ่าบาท” หวงจื่อเฉิงหัวหน้าสำนักไท่ฉางออกมาทูลว่า “กระหม่อมหวงจื่อเฉิงเห็นว่า กองกำลังหยวนเหนือไม่น่ากลัวพอ การใช้ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายไปกวาดล้างผู้ที่เหลืออยู่ เกรงว่าจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

หวงจื่อเฉิงยังเป็นสหายเรียนตำหนักบูรพา เป็นขุนนางในสังกัดของรัชทายาท ปกติแล้วยากที่จะแสดงความเห็น

วันนี้ในที่สุดก็หาช่องว่างแสดงความเห็นได้ แถมยังเอ่ยชื่อตัวเองโดยเฉพาะ กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

[ที่แท้ เจ้าคนขี้พูดจาเหน็บแนมคนอื่นนี่ก็คือหวงจื่อเฉิงหรือ?]

[เจ้านี่นอกจากจะมีความรู้พื้น ๆ นิดหน่อย นอกจากจะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตอยู่นิด ๆ แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเลย!]

[ปกครองบ้านเมืองก็ไม่เป็น สร้างเรื่องเสียหายล่ะที่หนึ่ง!]

จูหยวนจางไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะประเมินหวงจื่อเฉิงเช่นนี้!

แต่ตอนนี้เขาอยากจะได้ยินเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงเกี่ยวกับที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนใจจะขาด

หากไม่ใช่เพราะหวงจื่อเฉิงพูดแทรกขึ้นมา พระราชนัดดาก็คงจะบอกที่ซ่อนนั้นออกมาแล้ว!

จูหยวนจางเห็นว่าหวงจื่อเฉิงจะพูดต่อ จึงเอ่ยเสียงดัง “หวงจื่อเฉิง เจ้าหุบปากเสีย!”

หวงจื่อเฉิงหน้าแดงก่ำ ทำอะไรไม่ถูก

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงพิโรธขึ้นมากะทันหัน!

หวงจื่อเฉิงเงียบปากแล้ว ท้องพระโรงก็เงียบสงัด

[ตาเฒ่าทรงพระปรีชายิ่งนัก! หวงจื่อเฉิง สมควรโดนด่า! หยวนเหนือไม่น่ากลัวพอ? ล้อเล่นหรือไร!]

[คนจากสายเลือดทองคำของเจงกิสข่าน จะกำจัดได้ง่ายขนาดนั้นเชียว? ผู้ที่เหลืออยู่? อีกหลายสิบปีต่อมา พวกเขาก็กลายเป็นภัยคุกคามของต้าหมิงอีกครั้ง! ลูกหลานของพวกเขาถึงกับจับฮ่องเต้แห่งต้าหมิงเป็นเชลยแล้ว!]

หา จูหยวนจางตกใจอีกแล้ว!

หรือว่าเจ้าเด็กจูอวิ่นเทิงนี่กำลังพูดจาข่มขู่ให้กลัว?

ไม่น่าจะใช่! หากเขาอยากจะขู่ให้กลัว เช่นนั้นควรจะพูดออกมาดังๆ ไม่ใช่เก็บไว้ในใจ

มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยินเสียงในใจของเขา

เจ้าเด็กนี่อาจจะหยั่งรู้อนาคตได้จริงๆ !

สิ่งที่จูหยวนจางอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ก็คือ ฮ่องเต้หยวนทัวกู่ซือเทียมู่เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่!

[แต่การให้ตาเฒ่าส่งเสบียงไปเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากเสบียงของหลานอวี้ไม่พอ ต่อให้หาเจอแล้ว ก็กลายเป็นทัพที่หมดสิ้นเรี่ยวแรง ฝ่ายหยวนเหนือก็รอรับมือศัตรูที่อ่อนล้า หลานอวี้ก็จะตกอยู่ในอันตราย]

[อย่างไรเสีย หลานอวี้ก็เป็นน้าทวดของข้า หรือว่าจะหาช่องทางไหนสักทาง บอกที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนให้เขารู้ดี...]

พอได้ยินถึงตรงนี้ จูหยวนจางก็ไม่ได้ยินอีกต่อไป

ที่แท้เป็นเพราะจูอวิ่นเทิงถอยหลังไปหลายก้าว

มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกแล้ว!

“อวิ่นเทิง เจ้าเข้ามาพูดใกล้ๆ เสด็จปู่ไม่จับเจ้ากินหรอก!” จูหยวนจางกล่าว

ฉางเซิงฟังออกแล้วว่า วันนี้ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อหลานชายของตนแตกต่างเป็นพิเศษ!

ยังให้เขาเข้าไปพูดใกล้ๆ อีก!

เสด็จปู่ไม่จับเจ้ากินหรอก คำพูดนี้ ช่างฟังดูสนิทสนมเพียงใด!

หลานนอกของตน ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้ได้!

พี่สาวของข้า ท่านอยู่ใต้พื้นพิภพคงได้เห็นแล้วสินะ!

“อวิ่นเทิง เจ้าลองบอกมาสิ ฮ่องเต้หยวนน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด?”

ตอนนี้จูหยวนจางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เอ่ยถามเข้าประเด็นโดยตรง

เสียงในใจของพระราชนัดดาเมื่อครู่มีเหตุผลอย่างยิ่ง อันที่จริงก็เป็นสิ่งที่เขากังวลที่สุด

หากหาที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนไม่พบเป็นเวลานาน เมื่อกองทัพของหลานอวี้อ่อนล้า ต่อให้เขาไม่ไปหาฮ่องเต้หยวน ฮ่องเต้หยวนก็จะมาหาเขาเอง

ถึงตอนนั้น จะเป็นหายนะอย่างแท้จริง!

นี่คือกองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย เป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าหมิงทั้งหมด!

ต้องถามให้ได้ว่าฮ่องเต้หยวนซ่อนตัวอยู่ที่ไหน!

“เสด็จปู่ ทุ่งหญ้าทางเหนือกว้างใหญ่เพียงนั้น จะซ่อนที่ไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น ส่วนจะอยู่ที่ไหนกันแน่ หลานก็บอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จูอวิ่นเทิงคิดในใจ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด

วันนี้ได้เข้ามาในราชสำนักก็ถูกบีบบังคับมาพอแล้ว และก็เป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว

[เหอะๆ ข้าไม่บอกพวกท่านหรอกว่าฮ่องเต้หยวนซ่อนอยู่ที่ไหน]

[ขุนนางพวกนี้ก็เหลือเกินจริงๆ ทำไมไม่ดูแผนที่กันบ้าง? หรือว่ายุคนี้ ยังไม่มีแผนที่?]

จูหยวนจางยังไม่ได้คำตอบจากเสียงในใจของพระราชนัดดา ในใจก็กระวนกระวายเหมือนถูกแมวข่วน

แผนที่?

ในตำหนักหย่างซินมีแผนที่ขนาดใหญ่แขวนอยู่พอดี!

เช่นนั้นก็ลากเจ้าเด็กอวิ่นเทิงนี่ไปที่หน้าแผนที่ ไม่เชื่อว่าจะหาที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนไม่เจอ!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 83

    “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!”ยิ่งมูเหยาขัดขืน จูอวิ่นเทิงก็ยิ่งเข้ามาแนบชิด“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันมีกายเป็นหญิง” มู่เหยาพูดจบ จูอวิ่นเทิงก็ปล่อยนางมู่เหยาไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยมือในตอนนี้อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้“เจ้ามีกายเป็นหญิง เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ฟังดูเหลวไหลมาก บอกมาดีกว่า อย่ามาหลอกข้า”เสี้ยวอำมหิตฉายวาบในดวงตาของจูอวิ่นเทิงมู่เหยาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร “อู๋อ๋อง หม่อมฉันเป็นคนอวิ๋นหนาน เมื่อราชวงศ์ต้าหมิงเริ่มก่อตั้ง จำนวนขันทีขาดแคลนมาก ทางการจึงยัดเยียดรายชื่อหนึ่งให้กับครอบครัวของหม่อมฉัน”“หม่อมฉันมีน้องชายเพียงคนเดียว พ่อแม่หม่อมฉันตัดใจไม่ลง”“ครอบครัวของหม่อมฉันในท้องถิ่นถือว่ามั่งคั่ง จึงใช้เงินเพื่อติดสินบนขุนนางทุกระดับ สุดท้ายก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมา”“หม่อมฉันเป็นหญิง ฝ่าบาทก็ไม่รู้เช่นกัน”จูอวิ่นเทิงเดินวนรอบกายมู่เหยา เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริงประการแรก ฝ่าบาทเป็นคนส่งมู่เหยามาจริง ๆ เรื่องนี้เจิ้งเหอสามารถเป็นพยานได้สุขภาพของตนเองอ่อนแอ เรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ฝ่าบาทส่งขันทีคนหนึ่งมาเพื่อไม่ปล่อยให้วัน ๆ เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่ในความเย้าย

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 82

    จูอวิ่นเทิงกลับมาถึงเรือน เจิ้งเหอ เหมยเอ๋อร์ และหลานเอ๋อร์ถูกแก้มัดเชือกกันหมดแล้ว“มู่เหยาไปไหนหรือ?”“มู่เหยาบอกว่า เขาจะเข้าวังเพคะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวเอ๊ะ ฮ่า ๆ!มู่เหยาไม่อยู่!อย่างนั้นก็เข้าไปในห้องกับเหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ ถ่ายทอดความรู้ทางร่างกายแก่พวกนางได้น่ะสิ?เจิ้งเหอรู้ว่าหัวใจวสันต์ของคุณชายเริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กน้อย ก่อนกลับไปยังห้องของตัวเอง“เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้าเข้าไปแล้วนะ”จูอวิ่นเทิงเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงของมู่เหยา “เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”ร่างของจูอวิ่นเทิงพลันชะงัก ขันทีน้อยผู้นี้กลับมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ!ไม่ใช่สิ กลับมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยต่างหาก!เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เห็นดังนั้น ก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบถอยไปยังหลังเรือนมู่เหยาเข้ามาในเรือน จูอวิ่นเทิงได้โผเข้าหาทันทีสวมกอดมู่เหยาไว้ว้าย! มู่เหยาไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาเสียงดัง“อย่าร้อง ร้องไปก็เปล่าประโยชน์!”จูอวิ่นเทิงดันมู่เหยาไปชิดผนังอย่างดุดันมู่เหยาคิดขัดขืน แต่จูอวิ่นเทิงพลันยันผนังคร่อมไว้“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ?” มู่เหยาหน้าแดงก่ำ“ข

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 81

    [ตาเฒ่า ท่านจะเอาแต่ดื้อรั้นเช่นนี้ไม่ได้! อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง]การบ่นของจูอวิ่นเทิงทำให้จูหยวนจางหมดคำพูด เราสามารถพูดเสียงในใจของเจ้าออกมาได้ไหม?[เหตุผลก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?][เจ้าเมืองคนหนึ่ง เก็บภาษีเงินและเสบียงได้เกินเป้าทุกปี! นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกหรือ?]จูหยวนจางคิดในใจว่า การเก็บภาษีได้เกินเป้ามันคือผลงาน เหตุใดถึงกลายเป็นปัญหาไปได้?ความคิดของหลานสามผู้นี้ มักจะพิลึกพิลั่นอยู่เสมอ![ตำแหน่งกำหนดความคิด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็นขุนนางสมัยหนึ่ง ก็ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่นนั้น นี่คือจุดยืนและมุมมองอันเป็นพื้นฐานที่สุด!][ราชสำนักให้เจ้าเก็บเสบียงและภาษีเกินเป้าแล้วหรือ?][เมื่อไม่ได้ให้เจ้าเก็บภาษีเกินเป้า หวงจื่อซิ่น เจ้าหลอกลวงเบื้องบน!][ประชาชนคิดว่าราชสำนักให้เก็บเสบียงและภาษีเพิ่ม หวงจื่อซิ่น เจ้าปิดบังเบื้องล่าง!][เก็บเกินเป้าสองส่วน หนึ่งส่วนที่เพิ่มมามอบให้ราชสำนัก ได้รับชื่อเสียงในฐานะขุนนาง! อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้กับตนเอง เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว!][เพิ่มภาระให้กับชาวนา! ทวีความคับแค้นของชาวนาที่มีต่อราชสำนัก! อาศัยเรื่องน

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 80

    ดวงพระเนตรของจูหยวนจางเบิกกว้างโดยพลัน มองไปทางจูอวิ่นเทิงการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาท!!!เกี่ยวข้องกับหวงจื่อซิ่น?!จูอวิ่นเทิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนของจูหยวนจาง มันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ[ไม่ใช่กระมัง ตาเฒ่าจู ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!][ตอนแรกข้าก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่พอถูกเขามองแบบนี้กลับทำให้ดูมีเงื่อนงำขึ้นมาได้!][พระทัยของฮ่องเต้ คาดเดาได้ยากจริง ๆ ด้วย]จูหยวนจางรีบละสายตามองไปที่หวงจื่อเฉิงหวงจื่อเฉิงลังเลเล็กน้อยเช่นกัน พระเนตรของฝ่าบาทสามารถฆ่าคนได้เลย!หวงจื่อซิ่นเป็นญาติผู้น้องของเขา!ที่หวงจื่อซิ่นสามารถเป็นเจ้าเมืองหางโจว ก็เพราะจูอวิ่นเหวินเป็นคนแนะนำให้จูเปียวฝ่าบาทรู้ว่าเขากับฉีไท่สนิทกัน การที่ฉีไท่เป็นคนแนะนำหวงจื่อซิ่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร[ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง แต่ก็ไม่แปลก การตายของรัชทายาทคงทำให้ไม่อาจสงบพระทัย][หวงจื่อซิ่น นึกออกแล้ว! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้!][ชาวอุทัยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่เมืองหางโจวภายใต้การนำของอันธพาลท้องถิ่น ทำการเผา สังหาร และปล้นสะดม จากนั้นเดินออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่เกรงกล

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 79

    หวงจื่อเฉิงไม่ยอมแพ้!เพราะการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้มันเหลวไหลมากจริง ๆ!สำนักโหรหลวง มันใช่ที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้หรือ?ต่อให้เจ้ามีความรู้มากมาย มีความสามารถเป็นเลิศ เข้าสำนักโหราศาสตร์ไปแล้วก็คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆนอกจากนี้ คนด้านในก็หยิ่งผยองกันทั้งนั้น!อยู่ในถิ่นของพวกเขา อย่าหวังว่าจะเข้าไปยุ่งได้!หากส่งคนที่ไม่รู้เรื่องไปสั่งการ มันจะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรือ?“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญของบ้านเมืองมีสองประการ คือการบูชาและการสงคราม การบูชามีการแจกจ่ายเครื่องเซ่น การสงครามมีการแบ่งสรรอำนาจ ทั้งสองล้วนเป็นพิธีการสำคัญที่ใช้ติดต่อกับสวรรค์เบื้องบน”“แม้อู๋อ๋องจะมีความสามารถ แต่ในแง่ของการสังเกตดวงดาวและภูมิศาสตร์แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่ด้านที่ถนัด”“ฝ่าบาท กระหม่อมมองว่าการให้อู๋อ๋องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมสำนักโหราศาสตร์หลวง ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”จูอวิ่นเทิงโมโหมาก หวงจื่อเฉิงชอบขัดขาเขาอยู่เรื่อย!ข้าก็แค่สั่งสอนหวงเฉิงอิ้นลูกชายเจ้าไปเพียงเล็กน้อยที่สำคัญคือ คนผู้นี้รนหาที่เอง สมควรโดนดี!มาเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่กลับวางท่าโอ้อวด!แต่ว่า คำคัดค้านของหวงจื่อเฉิงก็สามารถใช้ให้เกิ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 78

    โหรหลวงคืออะไร หากเป็นคนปกติก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะอยากรับตำแหน่งนี้!โหรหลวงมีชื่อเดิมว่าผู้เฝ้ามองดวงดาว ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ คำนวณปฏิทิน สำนักโหรหลวงจะทำงานแค่เฉพาะเหตุการณ์สำคัญเท่านั้นหากมีภัยธรรมชาติ โหรหลวงจะต้องคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะพิโรธหากเกิดสงคราม โหรหลวงจะต้องทำนายสภาพอากาศ ถ้าทำนายผิดพลาด อาจมีภัยมาถึงตัว!ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหน้าที่ของไท่สื่อลิ่งก็ดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และประกอบพิธีบวงสรวง ซือหม่าเชียนที่ถูกตอนก็เคยดำรงตำแหน่งนี้[ครานี้ก็อยู่ที่ว่า ตาเฒ่าจูจะตอบตกลงหรือไม่!][โหลหลวงสบายจะตาย! ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์!][เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น! ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวัน!][หากมีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขออภัย ฝ่าบาท ข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า!][อะไรนะ เข้าประชุมงั้นหรือ? ประชุมอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า?][ประชุมหรือ? ชู่ว อย่าเสียงดัง! ข้ากำลังคุยกับเง็กเซียนฮ่องเต้!][ตาเฒ่าจู ท่านไม่ให้ข้าออกจากเมืองอิ้งเทียนใช่หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าดาวจื่อเวยปรากฏที่เมืองซงเจี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status