LOGIN“พอรู้ว่าเจ้าจัดงานเลี้ยงชมบุปผา อาหารรสเลิศต้องไม่ขาดเป็นแน่ ข้าจะไม่มาชิมได้อย่างไร” องค์ชายแปดพูดยิ้มๆ เดินตรงมาหาพวกนางโดยเพิกเฉยต่อสายตาหญิงงามทั้งหลายที่มองตามทุกฝีก้าว ซูเหยาคิดว่าในบรรดาโอรสของฮ่องเต้มีเพียงคังอ๋องและองค์ชายแปดที่ดูดีที่สุด แม้ว่าหน้าตาขององค์ชายแปดจะด้อยกว่าคังอ๋องหลายส่วน แต่เมื่อรวมเข้ากับท่วงท่างามสง่าราวกับเทพเซียนนี้แล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าใครอยู่เหนือกว่าใคร ซูเหยารู้สึกถึงอุณภูมิในอุทยานแห่งนี้กำลังสูงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ซูเหยาลุกขึ้นคำนับทั้งสอง “ถวายพระพรเสียนเฟยและองค์ชายแปดเจ้าค่ะ” “ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” องค์ชายแปดพยักหน้าให้นาง รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปากราวกับสายลม จากนั้นหันไปประคองเสียนเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ “เด็กๆ จัดที่นั่งให้เสียนเฟยและองค์ชายแปดที” องค์หญิงผิงอันไม่ได้ให้ซูเหยาย้ายที่นั่งแต่อย่างใด เพียงจัดที่นั่งให้ทั้งสองนั่งข้างนางอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่าระดับความสำคัญในใจของนาง ซูเหยามาเป็นอันดับหนึ่ง หากคนที่มาไม่ใช่เสด็จพ่อ เสด็จแม่หรือไทเฮา นางไม่มีทางสละที่นั่งของสหายรักให้แก่ผู้ใดแน่นอน “นอกจากอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ยังมีโฉมสะคราญทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ที่นี่กันหมด ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็รื่นหูรื่นตายิ่งนัก หม่อมฉันและลูกชายต้องขอบากหน้ามาร่วมชมความครึกครื้นนี้ด้วยคนแล้วเพคะ” ทันทีที่พูดจบก็ชิมอาหารที่พ่อครัวปรุงอย่างวิจิตรพอเป็นพิธี ตั้งแต่เข้ามารอยยิ้มบนใบหน้าของเสียนเฟยไม่เคยจางหาย ยามพูดก็เหลือบมองคนบางคนที่นั่งอยู่ข้างกายองค์หญิงผิงอันแวบหนึ่ง รอยยิ้มงดงามของนางหวานหยดย้อยขึ้นหลายส่วนเมื่อปะทะใบเย่อหยิ่งไม่ใส่ใจสิ่งใดของซูเหยา วันนี้ยิ่งนางมองซูเหยายิ่งรู้สึกว่าสบายตามากกว่าทุกๆ วัน พัดที่อยู่ในมือถูกกรีดออกมาอย่างช้าๆ ก่อนละสายตามองสาวงามรอบอุทยาน ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงนางกำนัลดังขึ้นอีกครา “องค์หญิง คังอ๋องและองค์หญิงโซ่วคังมาถึงแล้วเพคะ” สิ้นเสียงนางกำนัลพลันเกิดเสียงซุบซิบรอบด้านขึ้นมาทันที ซูเหยาหนังตากระตุก หันขวับไปสบตากับสหายสนิทที่ตอนนี้กำลังเบื้อใบ้เชิงถาม คืออันใด องค์หญิงผิงอันยิ้มแหย ยักไหล่กลับมาทีหนึ่ง ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ซูเหยากลอกตาคร้านจะใส่ใจ เอาเถิด ขอเพียงไม่ยุ่งกับนางเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่หากหาเรื่องนางล่ะก็ หึหึ การมาถึงของคังอ๋องและองค์หญิงโซ่วคังทำให้บรรยากาศรอบตัวพวกนางกระอักกระอ่วนทันทีทันใด แต่กลับบรรดาสตรีทั้งหลายกลายเป็นเรื่องรื่นเริงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยคังอ๋องเป็นที่ชมชอบของบรรดาหญิงสาวในเมืองหลวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ละคนต่างมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย กระนั้นก็ยังไม่วายต้องการชมละครระหว่างพวกนางสองคนที่กำลังเป็นกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ สตรีกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากพวกนางมากนักมองไปทางซูเหยาอย่างอยากรู้อยากเห็น ตาจ้องมองการเคลื่อนไหวฝั่งนั้นไม่กระพริบ ปากก็พูดไป “ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าในหัวของนางบรรจุสิ่งใดเอาไว้ คงไม่ใช่ขี้เลื่อยหรอกนะ คังอ๋องดีขนาดนี้ นางกลับเป็นฝ่ายตัดเยื่อใยกันเสียดื้อๆ คิดว่าตนเองสวยเลือกได้ขนาดนั้นเลยหรือไร ระวังจะแต่งไม่ออก” “เหอะ แค่ท่านอ๋องชายตามองนางก็บุญหล่นทับแค่ไหนแล้ว มีอะไรที่นางคู่ควรกับคังอ๋องบ้าง” ท่านหญิงหนิงเหอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ว่าคังอ๋องกับนางเป็นคนรักกันหรอกหรือ เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับคู่ควรไม่คู่ควรเล่า” เผยซื่อจิ่นเอ่ยค้าน คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น นางอยากไปจากตรงนี้ใจจะขาด สตรีพวกนี้นับวันยิ่งไร้สาระ นอกจากนินทาผู้อื่นวันๆ ก็ไม่ทำอันใด หากไม่ติดว่ามีที่ว่างเหลือแค่ตรงนี้ที่เดียว ให้ตายนางก็ไม่อยากจะนั่งหายใจร่วมกับคนพวกนี้นักหรอก “คังอ๋องเป็นคนใจกว้าง เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสมอ ไม่ตำหนิน้องรองเพราะเรื่องนี้หรอก คนรักกันเป็นธรรมดาที่จะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง น้องรองค่อนข้างใจร้อน บางทีนางอาจพูดไม่ทันคิด ให้เวลานางอีกสักหน่อยไม่แน่ว่านางอาจคิดได้เองว่าอันใดดีหรือไม่ดีต่อตัวเอง” ซูม่านม่านที่เงียบอยู่นานพลันเอ่ยตัดบท เผยซื่อจิ่นเหลือบหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของซูเหยาปราดหนึ่ง แค่นเสียงในลำคอเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปทางอย่างอื่น ไม่อยากจะเสนาอะไรด้วย “ข้าว่าชาตินี้ทั้งชาตินางคงคิดไม่ได้ สงสารก็แต่ท่านอ๋องที่เผลอมีใจให้คนที่มีเพียงรูปร่างเป็นทรัพย์อย่างนาง” สตรีที่เปิดเรื่องนินทาคนแรกนามหลิวหว่านเอ๋อ พูดไปพลางหัวเราะไปพลาง เผยซื่อจิ่นคิด มีแค่รูปโฉมงดงามแล้วอย่างไร พวกเจ้าในที่นี้มีใครสู้นางได้บ้าง ก็แค่พวกไม่อาจเห็นคนอื่นดีกว่า ได้แต่ริษยา ทว่าไร้หนทางสู้ซูเหยาโงนเงนก้าวเข้าสู่ห้องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์สีเงินสาดส่องเข้ามาเพียงน้อยนิด ความร้อนรุ่มที่แล่นพล่านอยู่ในกระแสเลือดเผาผลาญสติของนางหมดลงทีละน้อย ดวงตาพร่าเลือนของนางพยายามปรับโฟกัสกับเงาร่างสูงใหญ่ที่นอนบนเตียงในวินาทีที่ร่างนั้นหันมา ความมืดไม่อาจซ่อนรูปโฉมของเขาได้หมด ซูเหยาเบิกตากว้างทันทีที่เห็นสวรรค์ ข้าเบลอคนเห็นภาพหลอนหรือ!ไม่ว่าความทรงจำจะเลือนรางแค่ไหน นางก็ไม่มีวันลืมโครงหน้าอันสมบูรณ์แบบนี้ได้ ความหล่อเหลาที่ราวกับถูกสลักเสลาจากหยกเย็นชั้นดี สูงส่ง เย็นชา และเป็นคนที่นางเคยลอบมองอยู่หลายครั้งเป็นผู้ที่นางหลงใหลอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแค่ก ๆซูเหยาแทบอยากกรีดร้องออกมา โอกาสเดียวที่ฟ้าประทานให้มาถึงแล้ว!แรงปรารถนาที่แล่นพล่านในกายของซูเหยา ทำให้สติสัมปชัญญะของนางพร่าเลือน นางเซถลาเข้าหาร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มที่แม้จะถูกพิษอันร้อนแรงครอบงำ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็ยังคงฉับไว มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมารองรับแผ่นหลังของนางไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ศีรษะข
ลวี่เจานำทางซูเหยาเดินเข้ามาด้านในของจวนหนิงอ๋องที่ห่างไกลจากความครึกครื้นของลานจัดเลี้ยง สายลมยามค่ำพัดผ่านหมู่ไม้ เสียงเสียดสีกันนั้นคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบกายซูเหยาตระหนักในทันทีว่าเส้นทางที่กำลังมุ่งไปนี้ไม่ใช่เส้นทางไปยังห้องเปลี่ยนชุดตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เป็นทางวกวนลัดเลาะสู่เรือนเล็กด้านหลังแทนซูเหยากระตุกมุมปาก พวกนางกระทำการโจ่งแจ้งยิ่งนักนางยังคงแสดงสีหน้าอ่อนเพลีย แต่ละก้าวเดินสะเปะสะปะ แต่แอบกวาดมองสำรวจทิศทางอย่างรวดเร็ว หนิงหวางเฟยผู้นั้นช่างรอบคอบนัก เดิมทีก็ไม่คิดจะให้นางเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว หากแต่ต้องการล่อให้นางเข้ามาในสถานที่ที่สามารถลงมือได้อย่างลับตาคนแห่งนี้ต่างหาก!จนเมื่อมาถึงเรือนเล็กแห่งหนึ่ง ลวี่เจาเปิดประตูออก “คุณหนูซู เชิญด้านในเจ้าค่ะ ชุดสำรองเตรียมไว้ให้ท่านอยู่บนเตียงแล้ว”ลวี่เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม แต่ในแววตานั้นซ่อนความเยาะเย้ยจาง ๆ ไว้กลิ่นกำยานชนิดหนึ่งคลุ้งอยู่ในอากาศ ทำให้ซูเหยาต้องสูดหายใจลึกด้วยความฉุน นางส่งเสียงตอบรับในลำคอ เดินตามลวี่เจาเข้าไป ภายในมีเพียงเตียงแกะสลักและฉากกั้นไม้ที่ทาสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่“หากคุณหนู
ซูเหยามองการจัดเตรียมอาหารทะเลที่หนิงหวางเฟยอุตส่าห์จัดมาให้ เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการใช้นางเป็นสนามอารมณ์ เพื่อให้เหล่าสตรีทั้งหลายริษยา แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าปูนึ่งสามรสที่ถูกนำมาตั้งไว้ตรงหน้านั้นช่างยั่วยวนนักท่าทางดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้ขัดตาหลายคนที่มอง นางเช็ดริมฝีปากด้วยผ้าไหมเนื้อดีอย่างสำรวม หลังจากลิ้มรสปูนึ่งสามรสไปจนหมดตัวหนึ่ง พลางเหลือบมองไปทางหนิงหวางเฟย“ปูนึ่งสามรสจานนี้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ถูกปากยิ่งนัก เป็นอาหารเลิศรสที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยทานมาในหัวเฉินเลยเพคะ” ซูเหยากล่าวชมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ“หากชอบก็กินมากหน่อย อย่าได้เกรงใจกันเกินไปเล่า” หนิงหวางเฟยจิบสุราขึ้นดื่ม รอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า“หามิได้เพคะ พระองค์ทรงเมตตาจัดเตรียมให้หม่อมฉันโดยเฉพาะ เหยาเอ๋อร์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง” ซูเหยาลุกขึ้นยอบกายกล่าวอย่างสุภาพ“แต่ร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอมาตั้งแต่จับไข้ที่เมืองหลวง ไม่กล้าทานอาหาร ‘ร้อนแรง’ เช่นนี้มากนัก เพียงตัวเดียวหม่อมฉัน
ฝั่งบุรุษเสียงสนทนาในศาลาฝั่งชายครึกครื้นไม่แพ้กัน มู่หรงไป๋อี้นั่งเงียบอยู่ในมุมข้าง หน้าต่างด้านข้างของศาลาเปิดออกพอดี ม่านแพสีทองปลิวบางเบาเขาสวมชุดคลุมสีเข้มปักลายคลื่นเงินเรียบง่าย ใบหน้าคมสงบนิ่ง ผิวขาวจนตัดกับผมดำขลับนิ้วเรียวหมุนจอกสุรา ดวงตาเรียวยาวทอดผ่านม่านออกไปยังลานฝั่งหญิงโดยไม่รู้ตัวถังเว่ยซึ่งนั่งตรงข้ามกันหัวเราะเบา ๆ “ไป๋อี้ เจ้าจ้องลานนั่นตั้งแต่คุณหนูสองคนนั้นเข้ามา ข้าไม่เคยเห็นเจ้าสนใจสตรีที่ไหนมาก่อนนะ”หวังอวี่มองตามบ้าง “เจ้ามองอะไรอยู่ไป๋อี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่เคยสนใจงานเลี้ยงแบบนี้”“พูดมาก” เขาตอบเรียบ “ข้าเพียงมองดูบรรยากาศ”หรงอี้ที่ติดตามมาแอบกลอกตามองบน จะเป็นใครได้ หากไม่ใช่ท่านผู้นั้นหวังอวี่ที่นั่งข้างกันหัวเราะบ้าง “นั่นน่ะหรือคุณหนูซูเหยา เหลนสายนอกของไทเฮาสตรีผู้เป็นที่กล่าวถึงของทั้งเมืองหลวง เลื่องลือมาถึงฝั่งใต้เรา ถึงเจ้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ แต่ต้องเคยได้ยินมาบ้างกระมัง นางถือตนเองว่าได้รับความโปรดปรานของไทเฮา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หยิ่งยโสโอหัง ทำเรื่องวุ่นวายไม่รู้กี่ครั้ง แม้แต่ในวังหลวงยังกล้าทำมาแล้วครั้งหนึ่ง”เจิ้นหยางเสริมเสียง
เช้าวันงานเลี้ยงแสงแดดลอดผ่านม่านลูกไม้บาง ๆ เข้าสู่เรือนด้านใน กลิ่นฝนเมื่อคืนยังไม่จาง ซูเหยานั่งเอนอยู่หน้ากระจกสำริดในชุดคลุมบางสีงาช้าง ผมยาวปล่อยสยายทั่วบ่า“คุณหนูจะใส่ชุดไหนดีเจ้าคะ” หลี่หลัวถือหีบผ้าเปิดให้ดูทีละชุด ตั้งแต่ผ้าแพรลายมังกรสีฟ้าหยกจนถึงชุดปักทองซูเหยามองเรียงทีละชิ้น “ตัดชุดครามทิ้งไปเลย สีเหมือนน้ำค้างแข็ง ใส่แล้วดูเหมือนคนตายลุกจากโลง”“เจ้าค่ะ” หลี่หลัวอมยิ้มกุ้ยซินยื่นชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนทาบบนตัวนาง “งั้นชุดนี้เจ้าคะ ท่านใส่แล้วดูเหมือนสตรีขี้โรคผู้งดงาม”ซูเหยาปรือตาเหลือบมอง นางชมข้าว่างามหรือไม่งามกันแน่หลี่หลัวหยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมา “ปิ่นหยกที่ไทเฮาพระราชทานอันนี้เข้ากับชุดพอดีเจ้าค่ะ”ซูเหยาเลิกคิ้ว ปล่อยให้สองสาวใช้แต่งตัวให้ตามอำเภอใจ “งั้นใช้เถิด เวลาโดนใครด่า ข้าจะได้มีโล่กำบังอีกชั้น”ขณะพูด ซูเหยาก็หันไปมองเงาสะท้อนในกระจก ผิวซีดจนแทบกลืนกับผ้า แววตาเจอความเหนื่อยล้า เมื่อปัดแป้งบาง ๆ ลงใบหน้า ความอ่อนแอนั้นกลับกลายเป็นเสน่ห์ละมุนอย่างประหลาด เหมือนกลีบดอกที่พร้อมจะร่วง ทว่าคงความสดใหม่“คุณหนู เย็นวันนี้คุณหนูฟางเซียงจะมารับนะเจ้าคะ” สาว
ในห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมลอดกรอบหน้าต่างและกลิ่นธูปจาง ๆ ลอยคลุ้ง ซูเหยาเอนตัวพิงหมอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนระโหยตามแบบหญิงป่วยที่ยังไม่ฟื้นดี นางยื่นมือให้หลี่หลัวนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ เตรียมผ้าชุบน้ำเย็นไว้เช็ดหน้าให้ แต่ก็อดไม่ได้จะเอ่ยเรื่องข่าวเมืองหลวงที่เพิ่งได้ยินมา ซูเหยาเอนตัวพิงหมอน ดวงตาปรือปรอยจากความเมื่อยล้า ทว่ามุมปากกลับคลี่ยิ้มบาง“เจ้าเล่าข่าวคราวในเมืองหลวงให้ข้าฟังบ้างสิ ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแล้ว”หลี่หลัวถามอย่างยินดี “คุณหนูหมายถึงข่าวบ้านเมืองหรือเจ้าคะ”ซูเหยาเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “ข่าวบ้านเมือง? หรือว่าฝ่าบาทเปลี่ยนใจสละราชบัลลังก์เสียแล้ว”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” หลี่หลัวรีบมองซ้ายขวากลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน คุณหนูนับวันยิ่งใจกล้า แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าวิจารณ์“ข้าชอบข่าวคนมากกว่า” ซูเหยาว่าพร้อมหัวเราะกับท่าทีตื่นตระหนกของนาง “ข่าวบ้านเมืองฟังแล้วปวดหัว สตรีในห้องหอจะอยากรู้เรื่องของราชสำนักไปทำไมกัน”หลี่หลัวสบตาซูเหยา ก่อนยิ้มอย่างรู้ทัน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากพ่อค้าข่าวในตลาดนะเจ้าคะ”“อืม ว่ามาสิ” ซูเหยาคงรอยยิ้มสวยงาม หากแต่นางไม่เชื่อว่าข่าวที




![พันธะสวาทจอมเวทย์ [18+, พีเรียดอีโรติก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


