วิญญาณสาวกรีดร้อง ขูดกรงเล็บยาวกว่าครึ่งเมตร พร้อมกับไล่มองตั้งแต่หย่งฟาง ไปยังพ่อบ้านหลินและฉู่หมิงถิง ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา "ที่นี่ใครแซ่ฉู่! สมควรตาย!!"
เคร้ง!
เสียงดาบที่ทำจากเหรียญจักรพรรดิทั้งห้า กั้นกรงเล็บคมของวิญญาณอาฆาตได้อย่างแม่นยำ เมื่อเล็บยาวแหลมสัมผัสกับดาบนั้นก็เกิดประกายไฟ พร้อมกับเสียงซู่ซ่าของควันสีดำ และกลิ่นไหม้ที่เหม็นคลุ้งไปทั่ว ผีสาวหันกลับมามองหย่งฟางด้วยความโกรธ ผมยาวของหล่อนสยายชี้ขึ้นไปในอากาศ กรงเล็บพุ่งเข้ามาและฉีกเสื้อคลุมเจ้าสาวที่บริเวณไหล่
หย่งฟางถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมของเธอถูกฉีกขาด แต่ร่างกายไม่เป็นอะไร หญิงสาวควักยันต์หลายแผ่นจากแขนเสื้อออกมาและโยกไปเบื้องหน้า แผ่นยันต์ที่ควรจะตกกระจัดกระจาย ตอนนี้กลับลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
"พยัคฆ์ทองสยบภูตผีวิญญาณนับพันไม่อาจหลบหลีกได้ ไป!"
หย่งฟางเปลี่ยนท่ามือและสุดท้ายชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นเสือทองคำในตำนานก็ปรากฏขึ้น เสียงคำรามของมันดังสนั่นหวั่นไหว พุ่งตรงไปหาวิญญาณอาฆาต ถูกกดดันจนกระเด็นไปไกลหลายเมตร เมื่อเสือทองคำหายไปถูกแทนที่ด้วยยันต์หกแผ่นที่เปล่งแสงสีทอง ล้อมรอบวิญญาณเอาไว้คล้ายเชือกพันธนาการแน่นหนา
ผีอาฆาตตนนั้นลุกขึ้นยืน แต่ยันต์ยังคงหมุนรอบหล่อนเหมือนเป็นศูนย์กลาง ทำให้ไม่สามารถจัดการอะไรได้อีกต่อไป จึงพยายามปลุกพลังวิญญาณในตัว
หย่งฟางเตือนอย่างใจเย็น "พลังของเธอจะถูกทำลายไปหมดสิ้น ถ้าไม่ได้ฆ่าคนในร้อยปีที่ผ่านมา ฉันเชื่อว่าเธอไม่ต้องการที่จะถูกทำลายแบบนี้หรอกใช่ไหม"
แสงสีเขียวบ่งบอกถึงระดับของภูตผี จนกว่าจะมีคราบเลือดของผู้ที่ถูกฆ่าติดมือ แสงนั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง กลายเป็นภูตผีที่แท้จริง
วิญญาณสาวจ้องมองหย่งฟางอย่างเกรี้ยวกราด "ทำไมเธอถึงต้องช่วยพวกเขาด้วย? เธอก็เป็นคนตระกูลฉู่เหมือนกันหรือ?!"
หย่งฟางไม่ได้ตอบ
นายท่านฉู่พูดอย่างหนักแน่น ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ "คุณหย่ง ผีตนนี้ต้องการทำร้ายคนในตระกูลฉู่ กำจัดหล่อนซะ ราคาคุณจะตั้งเท่าไหร่ก็แล้วแต่เลย"
หย่งฟางพูดเบา ๆ "ทำไมหล่อนถึงต้องการทำร้ายคนในตระกูลฉู่? ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะ" เธอหยิบเอากลิ่นควันดำที่ลอยอยู่ในอากาศขึ้นมาวิเคราะห์ "คำสาปที่มีอายุกว่าร้อยปี ครอบครัวของคุณถูกสาปมานานขนาดนั้นเลยเหรอ"
“นี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลฉู่ เราไม่สามารถเปิดเผยได้ หากคุณหย่งไม่ต้องการช่วยจัดการกับปัญหานี้ ฉันจะติดต่ออาจารย์ท่านอื่นแทน”
จากที่เธอเพิ่งลงมือไป ฉู่หมิงถิงรู้แล้วว่าไม่ธรรมดา แต่ถ้าเธอไม่ต้องการทำงานให้เขาก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียวิญญาณตนนี้ก็ถูกล่อออกมาแล้ว เมืองถานจิงนั้นเต็มไปด้วยอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และเขาก็รู้จักอยู่หลายคน จึงไม่กังวลที่จะหาใครสักคนมาจัดการกับปัญหานี้แทน
“ก็ได้ งั้นฉันจะถอดยันต์ออก” หย่งฟางพูดอย่างไม่แยแส
ดวงตาของฉู่หมิงถิงขยายออกเล็กน้อย ลมหายใจของเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ภรรยาของฉู่ก็พูดขึ้นมาก่อน
"อย่า! อย่า คุณแค่ทำตามที่เราสั่งก็พอ จะอยากรู้เรื่องราวไปทำไมกัน"
หย่งฟางพูดตรง ๆ เช่นกันว่า "นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิธีที่ฉันจะจัดการกับวิญญาณตนนี้"
คุณนายฉู่สูดหายใจลึกๆ "ฉู่หมิงถิง เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของคุณ คุณพูดออกมาเถอะ"
ฉู่หมิงถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำที่ไกลย่อมไม่สามารถดับไฟที่อยู่ใกล้ได้ ถ้าหย่งฟางถอดยันต์ออกจากวิญญาณ...สุดท้ายเขาก็ต้องพูดออกมา
เมื่อร้อยปีก่อน ปู่ของตระกูลฉู่ถูกบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งเป็นภรรยาน้อยคนที่เก้า ในคืนแต่งงาน หญิงสาวต่อต้านตลอดเวลา ทำให้ปู่ของตระกูลฉู่บังเอิญทำให้เธอเสียชีวิต
หย่งฟางทวนคำพูด "บังเอิญทำให้เธอเสียชีวิต? ต่อต้านตลอดเวลา? เล่นกันถึงตายเลย?”
ช่างน่าสนใจเรื่องที่ตระกูลของตัวเองทำผิดจนทำให้คนตาย แต่คำพูดที่ส่งต่อมาถึงรุ่นหลัง ฟังดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยมาก แม้ว่าภรรยาของฉู่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเธอก็แสดงออกถึงความอับอาย
ฉู่หมิงถิ ยังรักษาหน้าตาที่ไม่เปลี่ยนแปลงและพูดต่อ "ภายหลังครอบครัวได้เชิญอาจารย์มาทำพิธี อาจารย์บอกว่าความอาฆาตของหญิงสาวนั้นลึกเกินกว่าจะทำพิธีปลดปล่อยได้ แต่สามารถกักขังไว้ที่ทิศตะวันออก สร้างบ่อน้ำขึ้นและเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นประจำทุกปี เพื่อเปลี่ยนความอาฆาตให้กลายเป็นพลังงานบวก..."
หย่งฟางพูดต่อ "เปลี่ยนเป็นพลังงานที่จะเสริมโชคลาภให้ตระกูลฉู่ แต่อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ตรงที่ผู้ชายในครอบครัวจะมีชีวิตไม่เกินห้าสิบปี"
"... " ฉู่หมิงถิงยืนนิ่งแล้วพยักหน้า
หย่งฟางไม่แน่ใจว่าทำไม แต่เธออดที่จะหัวเราะไม่ได้ "ดีมาก เป็นผลกรรมที่สมเหตุสมผล คุณบังคับให้คนตาย แล้วให้เธอทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเสริมโชคลาภหลังจากตายไปแล้ว จากนั้นทุกคนในครอบครัว ผู้ชายจะมีชีวิตไม่เกินห้าสิบปี เป็นการลงโทษที่ยุติธรรมใช่ไหม"
" ?! " หน้าของฉู่หมิงถิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีด
หย่งฟางรู้สึกอยากกลับบ้านแล้ว จึงหันไปถามผีสาว “ฉันจะเลิกงานแล้วนะ เธออยากให้ฉันช่วยส่งเธอไปเกิดใหม่ หรือจะเลือกถูกขังไว้ที่ตระกูลฉู่ต่อไป ดูพวกผู้ชายในตระกูลฉู่ตายก่อนอายุห้าสิบปีล่ะ?”
การต่อรองกับวิญญาณ เป็นทักษะที่ต้องมีสำหรับผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ผีสาวพิจารณาใบหน้าของหย่งฟาง พบว่าแม้เธอจะยิ้มอยู่แต่ที่จริงแล้วเธอกำลังโกรธ โกรธเหมือนกับหล่อน คำพูดที่หย่งฟางพูดขึ้นมา ทำให้วิญญาณอาฆาตรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ได้อยู่ข้างตระกูลฉู่
วิญณาณสาวคิดอยู่นานก่อนจะตอบ “ถ้าเป็นพวกผู้เชี่ยวชาญแย่ๆ พวกนั้น ฉันคงเลือกถูกขังไว้ต่อไป แต่เพราะว่าเป็นเธอ ฉันเลือกเชื่อใจเธอดีกว่า”
หย่งฟางโบกมือ ยกเลิกยันต์ที่ใช้ขังวิญญาณ คุณนายฉู่กรีดร้องด้วยความตกใจ ดึงสามีให้ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ เธอไม่ได้สนใจเสียงร้องเหล่านั้น และพูดกับผีผู้หญิงต่อ “ไปที่ห้องที่ห้าทางซ้ายมือของชั้นสอง บนโซฟามีกระเป๋าผ้าใบสีเขียว อยู่เข้าไปในนั้นซะ”
ผีผู้หญิงถามอย่างสงสัย “อะไรนะ กระเป๋าผ้าอะไรนะ?”
“โซฟายาว กระเป๋าผ้าสีเขียว”
ผีผู้หญิงตอบอย่างสับสน “ก็ได้!”
แล้วหล่อนก็ลอยผ่านฉู่หมิงถิงไปทางประตู โดยไม่มองเขาแม้แต่น้อย แม้ว่านายนท่านฉู่จะพยายามทำหน้าตาให้ดูเรียบเฉย แต่ร่างกายของเขากลับตึงเครียดไปหมด เมื่อเขาเห็นผีผู้หญิงลอยห่างออกไปไม่กี่เมตรก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่แล้วผีผู้หญิงก็กลับมาโจมตีเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว!
เธอเคลื่อนตัวมาข้างหน้าเขาทันที เอาใบหน้าที่น่ากลัวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเธอกลิ้งออกมาจากเบ้า พร้อมกับหนอนแมลงจำนวนมาก ที่ทะลักออกมาจากตาและพ่นใส่หน้าของฉู่หมิงถิง
หัวหน้าตระกูลฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ รู้สึกว่าหัวใจเขาแทบหยุดเต้น จากนั้นเขาก็ล้มลงหมดสติไป
คุณนายฉู่ซึ่งเป็นคนขี้กลัวที่สุด ตกใจกรีดร้องตั้งแต่ผีผู้หญิงออกมาแล้ว และเมื่อเห็นสามีหมดสติ เธอก็ล้มลงไปบนพื้น แต่โชคร้ายที่ไม่หมดสติไปด้วย ยังหวังว่าตัวเองจะหมดสติไปเหมือนกัน
ผีผู้หญิงหัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วลอยทะลุกำแพงออกไป ปล่อยให้ในห้องมีเพียงหย่งฟาง พ่อบ้านหลินและคุณนายฉู่เท่านั้นที่ยังมีสติอยู่
หย่งฟางจึงนั่งลงรอให้คุณนายฉู่ฟื้นจากความตกใจ
คุณนายฉู่ร้องไห้อยู่ไม่กี่นาที ก่อนจะได้ยินเสียงไก่แดงที่เธออุ้มมาร้องอยู่ในอ้อมแขน จึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอคงเป็นคนเดียวที่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้
"คุณหย่ง" เธอเปลี่ยนสรรพนามเรียก "ฉันขอรบกวนคุณอีกสักอย่างได้ไหมคะ?"
หย่งฟางตัดสินใจก่อนตอบเพราะรู้ว่าคุณนายจะถามอะไร “คืนวิญญาณให้ฉู่เหยียน ฉันต้องการราคานี้” แล้วเธอก็ยกสามนิ้วขึ้น ปัญหาใหญ่ได้แก้ไขแล้ว งานใหญ่กำลังจะจบ เธอจึงคิดว่าคงจะตั้งราคาเพิ่มได้อย่างสนุก
คุณนายฉู่พยักหน้า มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "สามล้าน ฉันจะโอนให้คุณเดี๋ยวนี้เลย"
"..." จริงๆ แล้วเธอหมายถึงสามแสน
แต่สามล้าน...ก็หอมหวานดี
ช่างมันเถอะ เธอสมควรได้รับมันอยู่แล้ว อย่างมากก่อนกลับก็คงต้องแนะนำพวกเขา เรื่องปัญหาครอบครัวอีกนิดหน่อย หย่งฟางท่องหมายเลขบัญชีธนาคารที่เธอจำไว้ขึ้นใจอีกครั้ง เผื่อวันหนึ่งจะมีใครสักคนโอนเงินก้อนโตให้เธอ วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว!
หลังจากรับข้อมูลการโอนเงินจากธนาคารในมือถือ หย่งฟางก็เดินมาข้างเตียง สัมผัสร่างของฉู่เหยียนที่หลับอยู่ จากนั้นเธอก็หยิบเส้นด้ายบางๆ ที่เปล่งแสงสีเขียวขึ้นมา
"หลินเหมียน ตื่นเถอะ" เธอพูดขณะดึงเส้นด้ายออกมา
ไม่นานนักเส้นด้ายสีเขียวก็รวมตัวเป็นลูกบอลแสงเล็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเงาเลือนรางของร่างคนหนึ่ง ผู้หญิงผมยาวในชุดสีเขียว ใบหน้าของเธอดูสงบ เพราะไม่สามารถทำหน้าแสดงอารมณ์ได้อีกแล้ว
"เหมียนเหมียน..." พ่อบ้านหลินเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรอีก หย่งฟางกล่าวแทรกขึ้น "ไม่ได้ เธอตอนนี้อ่อนแอมาก ต้องรีบส่งเธอไปยังนรกภูมิทันที"
แหมมม อยากให้หย่งฟางของเราปราบผีให้ แต่ก็ยังกั๊กข้อมูลเนอะตาเฒ่า!
ความเสียสละและจิตใจอันยิ่งใหญ่ของหลงหยวนหยวน ทำให้หย่งฟางรู้สึกประทับใจ หลังจากเก็บกระดูกมังกร ลูกบอลวิญญาณ เทพธิดาน้อยและสัมภาระ หย่งฟางก็ใช้ค่ายกลย่อพื้นที่ออกไปจากเกาะอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงสมาคมเทียนซือ หย่งฟางส่งมอบกระดูกมังกรให้หัวหน้าหลิวที่รอคอยอยู่อาจารย์หลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขารีบสั่งให้เหล่านักพรตอาวุโสช่วยกันนำกระดูกมังกรไปรวมเข้ากับเส้นมังกรของแผ่นดิน"ทำได้ดีมาก" หัวหน้าหลิวกล่าวชื่นชม พร้อมส่งสิ่งของบางอย่างให้หย่งฟาง"สิ่งนี้ให้กับหลงหยวนหยวน ถือเป็นรางวัลและคำขอบคุณจากทางสมาคม"เมื่อเปิดดูพบว่ามันคือ เครื่องรางเขามังกร ขนาดเล็กที่หากงูมังกรตัวนั้นได้ใช้ จะช่วยเพิ่มพูนพลังตบะได้อย่างมาก หย่งฟางกล่าวขอบคุณอาจารย์หลิวแทนหลงหยวนหยวน ก่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน เมื่อไม่มีธุระใดๆ แล้ว เธอก็พาทุกคนกลับไปยังวัด ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นพอดีในศาลาเล็กๆ เหล่าสมาชิกสำนักกำลังนั่งชมรายการ สุดยอดปรมาจารย์ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ เสียงโวยวายของห่าวจาวไฉและจินเหยาไต้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด"ทำไมไม่ให้หยวนหยวนของเราคว้าแชมป์! พวกเขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของวิชาและพลังที่หยวนหยวนใช้เ
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตจากพื้นที่อื่น ที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหย่งฟางและวัดเสวียนเว่ยเท่านั้น แม้แต่คนถานจิงเองรวมถึงคนที่เคยไปไหว้พระขอพรที่วัดเสวียนเว่ย ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความสามารถ ในการจับผีหรือปราบปีศาจของหย่งฟาง พวกเขาคิดว่าเธอแค่เก่งเรื่องวาดยันต์หรือทำนายโชคชะตา แต่พอลงมือจริงๆ...ไม่ใช่สิ! หย่งฟางเธอทำได้จริงเหรอ?! โคตรเท่เลย!!!ทุกคนดูผ่านหน้าจอมือถือ เหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ หย่งฟางปรากฏตัวจากฟากฟ้า ใช้เส้นด้ายแดงสังหารปีศาจทะเลบ้าคลั่ง ราวกับทูตสาวจากสวรรค์ที่ลงมาปราบมาร ปลายนิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านเส้นด้ายแดง เสริมด้วยใบหน้าสวยตราตรึงทำให้ทุกคนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกถึงความสง่างามและเสน่ห์ที่แฝงความขี้เล่น"พี่สาว! ฉันเป็นผี! จับฉันที!!!"หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนเริ่มค้นหาผลงานภาพยนตร์ และซีรีส์ที่หย่งฟางเคยแสดง เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอีก และพวกเขาก็พบว่า...ในซีรีส์ย้อนยุค เธอดูดีมาก ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมและเครื่องแต่งกายดูเข้ากันทุกมุม โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทั้งสวยงามและดุดัน หย่งฟางคือคนที่เ
เช้าวันใหม่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสาย หย่งฟางขยับตัวในผ้านวมนุ่มอย่างสบายใจ ก่อนจะลุกจากเตียงเชื่องช้า หนิงหมี่และเสี่ยวชิวตื่นกันตั้งแต่เช้า กำลังนั่งเล่นการ์ดพยายามสร้างบ้านจากการ์ดกันอยู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำในขณะนั้นบ้านการ์ดที่สองสาวสร้างถูกผลักล้มไปแล้ว บนโต๊ะเล็กมีจานแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงไว้อย่างสวยงามแทน หนิงหมี่กับเสี่ยวชิวนั่งเคี้ยวพลางบ่นพึมพำ “อาจารย์หย่ง มีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งฝากมาให้ ลองกินดูสิ” พร้อมกับใช้ส้อมเงินเล็กๆ จิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หย่งฟางคนที่ฝากมาก็น่าจะเป็นฉู่เหยียนหรือไม่ก็ฉู่สวี่ หย่งฟางงับแตงโมพลางถาม “ผู้ชายหล่อที่ว่าเนี่ย คนโตหรือคนเล็กล่ะ?”หนิงหมี่เอียงคอครุ่นคิดก่อนตอบ “แยกไม่ออกหรอก หล่อทั้งคู่ แต่คนที่ให้แตงโมใส่แว่นนะ”พอได้ยินแบบนั้นหย่งฟางก็รู้ทันทีว่าเป็นฉู่สวี่ น้ำแตงโมหวานฉ่ำซึมซาบอยู่ในโพรงปาก หญิงสาวเดินออกจากห้องพักครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเคาะห้องฝั่งตรงข้าม ประตูถูกเปิดออกเป็นฉู่สวี่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิท ปลายชุดยาวถึงช่วงกล้ามขาเรียวกระชับ ปลายผมที่ยังเปียกเล็กน้อยปกคลุ
หย่งฟางสัมผัสพลังงานรอบตัว ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านหลีเจียจึงสงบสุขได้เช่นนี้ ธรรมชาติแห่งคุณธรรมและความเมตตา นักพรตชราตาบอดผู้นี้ มีความเข้าใจในคุณธรรม และเส้นทางแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกรุณา แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าการร้องของกบในทุ่งนาคือชีวิต เสียงจิ้งหรีดในยามค่ำคืนคือชีวิตและที่สำคัญที่สุด ซากศพในหอเด็กหญิงก็คือชีวิตเช่นกันทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน นักพรตชราจะคลำทางไปยังหอเด็กหญิงเพียงลำพัง เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเด็กที่เสียชีวิต เขาสวดมนต์เสียงเบา มือหมุนลูกประคำ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เปี่ยมด้วยพลังและความเมตตา ผู้หญิงในหมู่บ้านมักแอบตามมา ฟังเสียงสวดมนต์ในความมืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินเมื่อเขาทำพิธีเสร็จ พวกเธอก็จะใช้สีผ้าห่อศพ เพื่อระบุว่าศพไหนเป็นของลูกตัวเอง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อฝังลูกด้วยความระมัดระวัง หอเด็กหญิงค่อยๆ ถูกทำลายลง เหลือไว้เพียงหลุมฝังศพเล็กๆ สองร้อยกว่าหลุมกระจายอยู่รอบบริเวณนักพรตใช้เวลาครึ่งปี ในการมาที่หอเด็กหญิงในยามค่ำคืน เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณจนเสร็จสิ้น และระหว่างนั้น เด็กหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้กองศพ ก็ถูก
"จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?"หยู่ถังมองหย่งฟางด้วยความตกใจหลีชิงอวี่แสดงท่าทางระแวดระวังเต็มที่ "คุณหย่ง ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?""ฉันคือศิษย์วัดเสวียนเว่ย หย่งฟางค่ะ""คุณเป็นนักพรต?!" หลีชิงอวี่มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปหย่งฟางพยักหน้าตอบแต่หลีชิงอวี่ถามต่อ "คุณทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณได้ไหม?""ทำได้""ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกคุณ"สาวอีกสองคนร้องไห้พลางพูดขึ้น "พี่สาว ได้โปรดอย่าบอกออกไปเลย ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะถูกจับเข้าคุก..."หลีชิงอวี่กุมมือของน้องสาวทั้งสองไว้แน่น "ไม่ต้องกลัว" จากนั้นเธอหันไปมองหย่งฟางและขอร้อง "ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิดจะไปแจ้งตำรวจ ขอให้จับฉันคนเดียวก็พอ"หย่งฟางตอบ "ฉันรับรองแบบนั้นไม่ได้""ไม่เป็นไร" หลีชิงอวี่ยิ้มบางๆ "ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง"หลังพูดจบ หลีชิงอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้า จากอดีตของเธอออกมาอย่างช้าๆ ในปี 1988 ที่หมู่บ้านหลีเจีย มีร่างเด็กผู้หญิงกองรวมกันในสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘หอเด็กหญิง’ ทับทมกันจนสูงถึงสองร้อยร่าง แต่นั่นไม่ได้เป็นหอจริงๆ มันคือซากศพของเด็กผู้หญิงที่กองกันจนสูงราวกับเป็นหอคอยเหล่าผู้หญิงร
ผีสาวพุ่งเข้ามาหาหย่งฟาง หญิงสาวหรี่ตาลงคว้ามือจับเล็บยาวสีแดงเพลิงไว้แล้วบิดข้อมือผีตัวนั้น ก่อนจะพลิกแขนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงทิ่มเข้าไปที่ดวงตา ที่มีเลือดไหลซึมออกมา ผีสาวหลับตาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว หย่งฟางไม่รอช้าฟาดฝ่ามือเข้าไปที่หลังมือของผีตนนั้น ถึงกับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ก่อนที่ร่างของมันจะเสียหลักล้มลงนอนบนพื้นผีสาวอีกตัวในชุดแดงร้องคำรามเสียงดัง พร้อมพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างกางกรงเล็บที่เหยียดตรง ตั้งใจจะจับคอของหย่งฟาง แต่นักพรตสาวเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม หลบการโจมตีของผีตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยกขาถีบเข้าที่ท้องของมัน ผีสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่หยู่ถังคิดในใจ ผียังเจ็บได้ด้วยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นผีสาวก็ไม่ถอยหลัง มันพุ่งเข้าหาหย่งฟางอีกครั้งด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกัน ผีสาวที่ล้มลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวเหมือนปลาที่กระโดดจากพื้น ตอนนี้หย่งฟางต้องรับมือกับผีสาวถึงสองตัวหยู่ถังไม่คิดมาก รีบตะโกนถาม “อาจารย์หย่ง! ให้ฉันไปหยิบอุปกรณ์ให้ไหม?”“ไม่ต้อง” หย่งฟางตอบสั้นๆ ในขณะที่ยังต่อสู้อยู่ผีทั้งสองตัวบ้าคลั่งมากขึ้น การโจมตีของพวกมันเริ่มทวีควา