หลินตงน้ำตาคลอเบ้า มองไปที่หย่งฟางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความวิงวอน แต่เขากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาเคยทำสิ่งไม่ดี จึงไม่มีสิทธิ์ขอร้องใคร อีกทั้งเขาก็ไม่มีเงินมากพอที่จะให้หย่งฟาง
แต่ถึงแม้ว่าจะทำผิดพลาด จนทำให้ไม่สามารถพูดคุยกับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายได้ เขาก็ยังคงต้องการขอโอกาส ที่จะให้เธอได้เกิดใหม่ในฐานะที่ดีกว่าเดิมในภพหน้า
“ฉันไม่ได้ใจแข็งเหมือนคุณ ที่แม้แต่ลูกที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กก็ยังกล้าทำร้ายได้” หย่งฟางพูดขึ้น
เธอทำพิธีส่งดวงวิญญาณ ซึ่งปกติจะเรียกให้ยมทูตมารับไป แต่ครั้งนี้กลัวว่าอาจจะไม่ทันเวลา เธอจึงเปิดประตูนรกขึ้นมาเอง แล้วผลักดันวิญญาณของหลินเหมียนเข้าไป
ประตูนรกสีฟ้าเข้มหายไปในทันที
หย่งฟางหันไปบอกกับคุณนายฉู่ “ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้ว ว่าลูกชายของคุณมีผีสองตนสิงอยู่ แต่เป็นเพราะหลินเหมียนพยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ เขาถึงยังรอดมาได้จนถึงตอนนี้ แต่อีกไม่นาน ถ้าคืนนี้ผ่านไป ฉู่เหยียนก็จะไม่รอดแล้ว” ดังนั้นที่พวกคุณเรียกฉันมาทำพิธีแก้เคล็ดนี้ ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ ฉู่เหยียนก็ไม่มีทางรอด ทางเลือกของพวกคุณคือ จะให้เขาตายไปพร้อมกับภรรยาที่เป็นผีหรือให้เขาโสดไปชีวิต ฉันพูดอย่างนี้คุณเข้าใจใช่ไหม? ต่อไปอย่าไปยุ่งกับเรื่องไสยศาสตร์ที่ไร้สาระพวกนี้อีก”
คุณนายฉู่กลัวจนสั่นสะท้าน มือที่จับหัวไก่อยู่เริ่มสั่น แล้วก็พยักหน้ารับเบาๆ
“ส่วนคุณ” หย่งฟางหันมาทางหลินตง “เพราะคุณ ลูกสาวของคุณเกือบจะต้องสูญสิ้นวิญญาณ คุณยังกล้าพูดว่าเป็นเพราะคุณรักเธออยู่เหรอ?”
หน้าของหลินตงซีดเผือด จริงๆ แล้วลูกสาวไม่ต้องการให้เขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเธอเลย เธอแค่อยากให้ฉู่เหยียนรอดชีวิต และมีชีวิตที่ดี แต่นิสัยดื้อรั้นของเขา ทำให้ลูกสาวต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส หย่งฟางไม่ได้สนใจคำตอบของหลินตง เพราะตอนนี้เธอสามารถปิดงานได้แล้ว
รีบๆ ทำเถอะ จะได้เลิกงานสักที
หย่งฟางเดินไปดึงหัวไก่ตัวใหญ่สีแดงจากอ้อมแขนของคุณนายฉู่ ดวงตาเล็กๆ ของไก่จ้องมองกลับมาอย่างสงบ เรียกได้ว่าถึงแม้จะถูกย้ายวิญญาณมายังร่างของไก่ ที่ไม่เคยเจอเรื่องไร้สาระแบบนี้มาก่อน ก็ไม่มีอะไรทำให้มันตกใจได้อีกแล้ว หย่งฟางคิดในใจพร้อมกับดึงเหรียญทองแดงออกจากปากไก่ แล้วโยนมันกลับไปให้คุณนายฉู่
เธอเดินมาที่ข้างเตียง เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญประกบกัน แล้วกดไปที่หน้าผากของฉู่เหยียน พร้อมท่องคาถาเรียกวิญญาณเบาๆ ก่อนจะตะโกนขึ้น “วิญญาณจงกลับสู่ร่าง!”
สามวินาทีหลังจากนั้น ไก่ที่อยู่ในอ้อมแขนของคุณนายฉู่ร้อง “กุ๊ก กุ๊ก” ออกมาเป็นครั้งแรกในคืนนี้ ก่อนจะบินหนีไปจากมือของคุณนายฉู่ และฉู่เหยียนก็ลืมตาขึ้น หลังจากที่คุณนายฉู่สูดหายใจลึกหลายครั้ง
“แม่...” หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อมาตลอดทั้งคืน ฉู่เหยียนพูดด้วยเสียงอ่อนล้า แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา
คุณนายฉู่ดีใจจนร้องไห้ออกมา พร้อมกับตรวจร่างกายลูกชายของเธออย่างละเอียด แต่ไม่ถึงครึ่งนาที ฉู่เหยียนก็ไม่สามารถฝืนลืมตาได้อีกและหลับไปอีกครั้ง คุณนายฉู่รีบถามหย่งฟางด้วยความกังวล
“ท่านอาจารย์หย่ง ทำไมลูกชายของฉันถึงกลับไปหลับอีกแล้ว? หรือว่ายังมีวิญญาณส่วนใดที่ยังไม่กลับมา?”
หย่งฟางคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ยังตรวจสอบวิญญาณของเขาอีกครั้ง สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีขาดหายแม้แต่นิดเดียว “ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยเกินไปจนเผลอหลับไปเอง”
คุณนายฉู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หย่งฟางมองไปที่หลินตง ผู้ที่ดูแก่ไปหลายสิบปีและมีผมขาวเต็มหัว ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคน “หัวหน้าทีมฝาน งานเข้าแล้วค่ะ”
สิบวินาทีต่อมา ทีมตำรวจได้มาถึงบ้านตระกูลฉู่ ด้วยคำให้การของคุณนายฉู่ และความสมัครใจของหลินตง ตำรวจได้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของเขา และพบข้อความสนทนา กับผู้ที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์ที่เกี่ยวกับการใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น รวมทั้งหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งยืนยันว่าเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับความเชื่อ ดังนั้นจึงได้จับกุมเขา และแจ้งให้ทีมตำรวจอีกทีมหนึ่ง ทำการจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป
ตำรวจมาถึงตอนเวลา 34 นาที และจับกุมได้ตอนเวลา 43 นาที
หัวหน้าทีมฝานเอ่ยแซว “ขอบคุณคุณหนูหย่งที่ช่วยเพิ่มผลงานให้พวกเราอีกแล้ว ตอนนี้ที่คุณออกจากวงการบันเทิง ไม่สนใจมาสมัครเข้าหน่วยของพวกเราบ้างเหรอ?”
หย่งฟางที่รับคำชมจากการเป็น ‘พลเมืองดี’ จากทีมของพวกเขามามากมายจนคุ้นชินแล้ว ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ยิ้มอย่างหมดคำพูดกับคำแซวนี้
หลังจากเห็นรถตำรวจออกไป หย่งฟางก็เตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน เธอเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อคลุมของตัวเอง เปิดกระเป๋าผ้าใบขึ้นดู เห็นก้อนหมอกสีดำก้อนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น เธอปิดกระเป๋าสะพายขึ้นหลัง และเดินออกจากบ้านตระกูลฉู่
แต่คุณนายฉู่เรียกเธอไว้ “ท่านอาจารย์หย่ง ฉันยังมีคำถามอีกหนึ่งข้อ ฉันต้องจ่ายคุณเท่าไหร่”
“ไม่ต้องจ่ายค่ะ ฉันแถมให้คุณถามได้หนึ่งคำถามฟรีๆ ว่ามาเลย” เธอตอบอย่างมีน้ำใจ
“คำสาปของตระกูลฉู่...ถูกทำลายไปแล้วใช่ไหม? หลังจากที่คุณจัดการกับผีสาวคนนั้น มันก็...หมดไปแล้วใช่ไหมคะ?” คุณนายฉู่ถามอย่างมีความหวัง เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มีแค่หย่งฟางเท่านั้นที่สามารถสื่อสารและจัดการกับผีสาวได้
หย่งฟางตอบ “คำสาปที่เกิดขึ้นกับตระกูล คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับผีสาวคนนั้นก็จริง แต่ไม่ใช่เพียงแค่พลังของเธอเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมา อาจารย์ที่ตระกูลคุณเคยเชิญมาในตอนแรกมีปัญหา ฉันแนะนำให้คุณตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งจะดีกว่า”
“งั้น...ชายในตระกูลฉู่ก็ยังคง...” สีหน้าของคุณนายฉู่ซีดเผือด
“รีบหาคนมาทำลายค่ายกลนั้นเถอะ มันไม่ดีต่อพวกคุณเลย” หลังจากพูดจบเธอก็เห็นว่าคุณนายฉู่ทำท่าจะพูดอะไรอีก จึงรีบพูดขัดขึ้น “ตระกูลคุณอาจจะดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองเพราะค่ายกลนั้นก็จริง แต่สิ่งที่ถูกขโมยไปมีค่ามากกว่า นี่เป็นราคาที่พวกคุณต้องจ่าย มันผ่านมานานมากแล้ว ฉันจึงไม่สามารถทำลายมันได้ ฉันช่วยได้เพียงเท่านี้จริงๆ” เธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ถ้าอาจารย์เฒ่าคนนั้นยังอยู่ บางทีเขาอาจจะลองทำอะไรบางอย่างได้ คุณนายฉู่รู้ถึงความสามารถของหย่งฟางดี เธอที่สามารถปล่อยพลังของเสือทองออกมาได้ ยังบอกว่าตัวเองทำไม่ได้...
ร่างกายของคุณนายฉู่สั่นคลอนเล็กน้อย
“อีกอย่างหนึ่งที่ตระกูลคุณควรทำ คือไม่ว่าหลินตงจะทำอะไร หลินเหมียนก็เกือบจะสูญสิ้นวิญญาณเพื่อช่วยลูกชายของคุณ แม้ว่าเธอจะไปนรกแล้ว แต่คุณก็ยังสามารถเผาธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อช่วยเติมพลังให้เธอได้ เรื่องอื่นไม่มีอะไรแล้ว” หย่งฟางมองหล่อนอย่างลึกซึ้ง “รักษาตัวด้วยนะ”
เธอเดินไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะได้ยินเสียงคุณนายฉู่เรียกไว้อีกครั้ง “เดี๋ยวก่อนค่ะ เรื่องของหลินเหมียน ฉันจะจำไว้นะคะ แต่ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกกับคุณ และอยากจะอธิบายให้คุณฟังด้วย” คุณนายฉู่กล่าว “ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษคุณ ฉันมีท่าทีที่ไม่ดีเมื่อวานนี้ เพราะฉันร้อนใจมาก หลังจากที่ลูกชายหมดสติ ฉันก็ไม่ได้นอนหลับเต็มตาเลยมาครึ่งเดือนแล้ว ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ เราไม่ควรเลือกคนมาเพื่อทำพิธีแก้เคล็ดด้วยการแต่งงาน แต่ที่จริงแล้วฉันก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก” เธอพูดพร้อมกับยิ้มขมขื่น ใบหน้าดูอ่อนล้ามาก
หย่งฟางนึกถึงฉากที่เธอเห็นในห้องทำงานเมื่อเธอออกจากร่าง
“อืม ฉันรับคำขอโทษ ยังมีอะไรอีกไหม?”
คุณนายฉู่ยื่นกระดาษในมือให้เธอ เป็นสัญญาหมั้นกับลูกชายคนรองของตระกูลฉู่ “นี่เป็นของคุณ อย่าแต่งเข้าตระกูลฉู่เลย”
หย่งฟางรับกระดาษนั้นไว้
คุณนายฉู่พูดต่อ “ที่พวกเราหาตัวคุณ ก็เพราะอาจารย์ที่หลินตงแนะนำ บอกให้เราหาผู้หญิงที่มีดวงชะตาเข้ากับลูกชายของเรา และดวงของคุณก็เหมาะกับการแก้เคล็ดด้วยการแต่งงาน แม้ว่าจะเป็นการแก้เคล็ด แต่ก็เป็นการแต่งงานจริงๆ เราเลยคิดว่าจะหาครอบครัวที่มีฐานะดีหน่อยก่อน จึงถามคนในวงสังคมว่ามีใครที่ดวงชะตาเหมาะสมบ้าง พ่อของคุณติดต่อมา บอกว่าคุณเหมาะสม หลังจากที่ตกลงกันแล้ว เขาก็ส่งสัญญาหมั้นแบบเด็กเล่นมาให้ พร้อมกับให้ที่อยู่ของอาราม คุณ...ควรระวังพ่อของคุณด้วย”
“อืม ขอบคุณนะ” หย่งฟางไม่ได้คิดจะเอาเรื่องกับเธอ
เธอขึ้นรถที่คุณนายฉู่จัดไว้ให้ และตอนที่ออกจากบ้านตระกูลฉู่ก็เป็นเวลาตีสามแล้ว หลังจากออกจากหมู่บ้าน หย่งฟางถามคนขับรถ “ช่วยไปส่งฉันที่อีกที่หนึ่งได้ไหม?”
“จะไปที่ไหนครับ?”
“จินฉวนวาน”
ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยวิญญาณของเหมียนเหมียน แอบสงสารนางอยู่นะ รักคุณชายรองมากกก
ขนาดเป็นผีไปแล้วยังปกป้องสุดใจ
ความเสียสละและจิตใจอันยิ่งใหญ่ของหลงหยวนหยวน ทำให้หย่งฟางรู้สึกประทับใจ หลังจากเก็บกระดูกมังกร ลูกบอลวิญญาณ เทพธิดาน้อยและสัมภาระ หย่งฟางก็ใช้ค่ายกลย่อพื้นที่ออกไปจากเกาะอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงสมาคมเทียนซือ หย่งฟางส่งมอบกระดูกมังกรให้หัวหน้าหลิวที่รอคอยอยู่อาจารย์หลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขารีบสั่งให้เหล่านักพรตอาวุโสช่วยกันนำกระดูกมังกรไปรวมเข้ากับเส้นมังกรของแผ่นดิน"ทำได้ดีมาก" หัวหน้าหลิวกล่าวชื่นชม พร้อมส่งสิ่งของบางอย่างให้หย่งฟาง"สิ่งนี้ให้กับหลงหยวนหยวน ถือเป็นรางวัลและคำขอบคุณจากทางสมาคม"เมื่อเปิดดูพบว่ามันคือ เครื่องรางเขามังกร ขนาดเล็กที่หากงูมังกรตัวนั้นได้ใช้ จะช่วยเพิ่มพูนพลังตบะได้อย่างมาก หย่งฟางกล่าวขอบคุณอาจารย์หลิวแทนหลงหยวนหยวน ก่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน เมื่อไม่มีธุระใดๆ แล้ว เธอก็พาทุกคนกลับไปยังวัด ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นพอดีในศาลาเล็กๆ เหล่าสมาชิกสำนักกำลังนั่งชมรายการ สุดยอดปรมาจารย์ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ เสียงโวยวายของห่าวจาวไฉและจินเหยาไต้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด"ทำไมไม่ให้หยวนหยวนของเราคว้าแชมป์! พวกเขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของวิชาและพลังที่หยวนหยวนใช้เ
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตจากพื้นที่อื่น ที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหย่งฟางและวัดเสวียนเว่ยเท่านั้น แม้แต่คนถานจิงเองรวมถึงคนที่เคยไปไหว้พระขอพรที่วัดเสวียนเว่ย ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความสามารถ ในการจับผีหรือปราบปีศาจของหย่งฟาง พวกเขาคิดว่าเธอแค่เก่งเรื่องวาดยันต์หรือทำนายโชคชะตา แต่พอลงมือจริงๆ...ไม่ใช่สิ! หย่งฟางเธอทำได้จริงเหรอ?! โคตรเท่เลย!!!ทุกคนดูผ่านหน้าจอมือถือ เหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ หย่งฟางปรากฏตัวจากฟากฟ้า ใช้เส้นด้ายแดงสังหารปีศาจทะเลบ้าคลั่ง ราวกับทูตสาวจากสวรรค์ที่ลงมาปราบมาร ปลายนิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านเส้นด้ายแดง เสริมด้วยใบหน้าสวยตราตรึงทำให้ทุกคนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกถึงความสง่างามและเสน่ห์ที่แฝงความขี้เล่น"พี่สาว! ฉันเป็นผี! จับฉันที!!!"หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนเริ่มค้นหาผลงานภาพยนตร์ และซีรีส์ที่หย่งฟางเคยแสดง เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอีก และพวกเขาก็พบว่า...ในซีรีส์ย้อนยุค เธอดูดีมาก ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมและเครื่องแต่งกายดูเข้ากันทุกมุม โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทั้งสวยงามและดุดัน หย่งฟางคือคนที่เ
เช้าวันใหม่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสาย หย่งฟางขยับตัวในผ้านวมนุ่มอย่างสบายใจ ก่อนจะลุกจากเตียงเชื่องช้า หนิงหมี่และเสี่ยวชิวตื่นกันตั้งแต่เช้า กำลังนั่งเล่นการ์ดพยายามสร้างบ้านจากการ์ดกันอยู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำในขณะนั้นบ้านการ์ดที่สองสาวสร้างถูกผลักล้มไปแล้ว บนโต๊ะเล็กมีจานแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงไว้อย่างสวยงามแทน หนิงหมี่กับเสี่ยวชิวนั่งเคี้ยวพลางบ่นพึมพำ “อาจารย์หย่ง มีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งฝากมาให้ ลองกินดูสิ” พร้อมกับใช้ส้อมเงินเล็กๆ จิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หย่งฟางคนที่ฝากมาก็น่าจะเป็นฉู่เหยียนหรือไม่ก็ฉู่สวี่ หย่งฟางงับแตงโมพลางถาม “ผู้ชายหล่อที่ว่าเนี่ย คนโตหรือคนเล็กล่ะ?”หนิงหมี่เอียงคอครุ่นคิดก่อนตอบ “แยกไม่ออกหรอก หล่อทั้งคู่ แต่คนที่ให้แตงโมใส่แว่นนะ”พอได้ยินแบบนั้นหย่งฟางก็รู้ทันทีว่าเป็นฉู่สวี่ น้ำแตงโมหวานฉ่ำซึมซาบอยู่ในโพรงปาก หญิงสาวเดินออกจากห้องพักครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเคาะห้องฝั่งตรงข้าม ประตูถูกเปิดออกเป็นฉู่สวี่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิท ปลายชุดยาวถึงช่วงกล้ามขาเรียวกระชับ ปลายผมที่ยังเปียกเล็กน้อยปกคลุ
หย่งฟางสัมผัสพลังงานรอบตัว ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านหลีเจียจึงสงบสุขได้เช่นนี้ ธรรมชาติแห่งคุณธรรมและความเมตตา นักพรตชราตาบอดผู้นี้ มีความเข้าใจในคุณธรรม และเส้นทางแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกรุณา แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าการร้องของกบในทุ่งนาคือชีวิต เสียงจิ้งหรีดในยามค่ำคืนคือชีวิตและที่สำคัญที่สุด ซากศพในหอเด็กหญิงก็คือชีวิตเช่นกันทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน นักพรตชราจะคลำทางไปยังหอเด็กหญิงเพียงลำพัง เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเด็กที่เสียชีวิต เขาสวดมนต์เสียงเบา มือหมุนลูกประคำ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เปี่ยมด้วยพลังและความเมตตา ผู้หญิงในหมู่บ้านมักแอบตามมา ฟังเสียงสวดมนต์ในความมืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินเมื่อเขาทำพิธีเสร็จ พวกเธอก็จะใช้สีผ้าห่อศพ เพื่อระบุว่าศพไหนเป็นของลูกตัวเอง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อฝังลูกด้วยความระมัดระวัง หอเด็กหญิงค่อยๆ ถูกทำลายลง เหลือไว้เพียงหลุมฝังศพเล็กๆ สองร้อยกว่าหลุมกระจายอยู่รอบบริเวณนักพรตใช้เวลาครึ่งปี ในการมาที่หอเด็กหญิงในยามค่ำคืน เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณจนเสร็จสิ้น และระหว่างนั้น เด็กหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้กองศพ ก็ถูก
"จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?"หยู่ถังมองหย่งฟางด้วยความตกใจหลีชิงอวี่แสดงท่าทางระแวดระวังเต็มที่ "คุณหย่ง ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?""ฉันคือศิษย์วัดเสวียนเว่ย หย่งฟางค่ะ""คุณเป็นนักพรต?!" หลีชิงอวี่มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปหย่งฟางพยักหน้าตอบแต่หลีชิงอวี่ถามต่อ "คุณทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณได้ไหม?""ทำได้""ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกคุณ"สาวอีกสองคนร้องไห้พลางพูดขึ้น "พี่สาว ได้โปรดอย่าบอกออกไปเลย ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะถูกจับเข้าคุก..."หลีชิงอวี่กุมมือของน้องสาวทั้งสองไว้แน่น "ไม่ต้องกลัว" จากนั้นเธอหันไปมองหย่งฟางและขอร้อง "ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิดจะไปแจ้งตำรวจ ขอให้จับฉันคนเดียวก็พอ"หย่งฟางตอบ "ฉันรับรองแบบนั้นไม่ได้""ไม่เป็นไร" หลีชิงอวี่ยิ้มบางๆ "ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง"หลังพูดจบ หลีชิงอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้า จากอดีตของเธอออกมาอย่างช้าๆ ในปี 1988 ที่หมู่บ้านหลีเจีย มีร่างเด็กผู้หญิงกองรวมกันในสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘หอเด็กหญิง’ ทับทมกันจนสูงถึงสองร้อยร่าง แต่นั่นไม่ได้เป็นหอจริงๆ มันคือซากศพของเด็กผู้หญิงที่กองกันจนสูงราวกับเป็นหอคอยเหล่าผู้หญิงร
ผีสาวพุ่งเข้ามาหาหย่งฟาง หญิงสาวหรี่ตาลงคว้ามือจับเล็บยาวสีแดงเพลิงไว้แล้วบิดข้อมือผีตัวนั้น ก่อนจะพลิกแขนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงทิ่มเข้าไปที่ดวงตา ที่มีเลือดไหลซึมออกมา ผีสาวหลับตาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว หย่งฟางไม่รอช้าฟาดฝ่ามือเข้าไปที่หลังมือของผีตนนั้น ถึงกับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ก่อนที่ร่างของมันจะเสียหลักล้มลงนอนบนพื้นผีสาวอีกตัวในชุดแดงร้องคำรามเสียงดัง พร้อมพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างกางกรงเล็บที่เหยียดตรง ตั้งใจจะจับคอของหย่งฟาง แต่นักพรตสาวเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม หลบการโจมตีของผีตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยกขาถีบเข้าที่ท้องของมัน ผีสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่หยู่ถังคิดในใจ ผียังเจ็บได้ด้วยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นผีสาวก็ไม่ถอยหลัง มันพุ่งเข้าหาหย่งฟางอีกครั้งด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกัน ผีสาวที่ล้มลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวเหมือนปลาที่กระโดดจากพื้น ตอนนี้หย่งฟางต้องรับมือกับผีสาวถึงสองตัวหยู่ถังไม่คิดมาก รีบตะโกนถาม “อาจารย์หย่ง! ให้ฉันไปหยิบอุปกรณ์ให้ไหม?”“ไม่ต้อง” หย่งฟางตอบสั้นๆ ในขณะที่ยังต่อสู้อยู่ผีทั้งสองตัวบ้าคลั่งมากขึ้น การโจมตีของพวกมันเริ่มทวีควา