Beranda / รักโบราณ / อัปลักษณ์จวนเดียวดาย / ตอนที่ 7 อินอวิ๋นฉวี่ 1.1

Share

ตอนที่ 7 อินอวิ๋นฉวี่ 1.1

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-06 09:06:41

ยุคอดีต

แคว้นหยวนเป่ย

ณ.พระราชวังหลวง

ภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้น

สืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษ

ซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้น

ในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า และเสด็จอาซึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของอดีตฮ่องเต้พระนามอินอวิ๋นหยางที่หลงเหลืออยู่

หลังจากอินอวิ๋นโฉสวรรคตลง ฮ่องเต้พระองค์น้อยก็ทรงอยู่ในความดูแลของฮองไทเฮา อีกทั้งยังต้องออกว่าราชการควบคู่ไปกับฝ่าบาทน้อย

ท่ามกลางความอัดอั้นตันใจของบรรดาขุนนางในราชสำนักหยวนเป่ยทุกระดับชั้น ต่างไม่เห็นด้วยที่ฮองไทเฮาซึ่งมีพระชนมายุสูงถึง 68 พรรษามาออกว่าราชการกับฮ่องเต้พระองค์น้อย ต่างพากันเรียกร้องให้พระนางทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นอุปราชเพื่อทำหน้าที่แทนพระนางซึ่งชราภาพมากแล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ตามฮองไทเฮาก็ทรงไม่ยินยอมด้วยเกรงว่าอินอวิ๋นหยางจะถือโอกาสช่วงชิงราชบัลลังก์นี้ไปจากพระนัดดาของพระนาง แต่แล้วสังขารก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปเป็นคนที่สอง

เมื่อฮองไทเฮาต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความวิบัติโรยราของโรคชราที่ก้าวเข้ามาเยือนหลังจากที่อินอวิ๋นฉวี่ขึ้นครองแคว้นได้เพียงสองปี ฮองไทเฮาจึงเสด็จสวรรคตลงเมื่อทรงมีพระชนมายุ 70 พระชันษา

ในขณะที่อินอวิ๋นฉวี่เพิ่งจะมีพระชนมายุ 12 พรรษเท่านั้น แต่ก่อนที่ฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตได้ทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นองค์อุปราช เพื่อเข้ามาทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้น้อยที่ยังทรงพระเยาว์และสำเร็จราชการแทน อีกทั้งจะต้องสั่งสอนศาสตร์รอบด้านทุกแขนงซึ่งอินอวิ๋นหยางแตกฉานทั้งบู้และบุ๋นมอบให้แก่อินอวิ๋นฉวี่ทั้งหมดอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น

และที่สำคัญก่อนฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตนั้น ทรงให้อินอวิ๋นหยางถวายสัตย์สัญญาและกรีดเลือดถวายคำสัตย์สาบานว่าจะไม่ชิงราชบัลลังก์ของฮ่องเต้น้อยอินอวิ๋นฉวี่ไปครอบครองอย่างเด็ดขาด

หากกฎมณเทียรบาลของแคว้นไม่ได้บันทึกเอาไว้ว่าจะต้องเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์มีหรือที่อดีตฮ่องเต้จะได้ขึ้นครองแคว้นหยวนเป่ยนี้ได้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางประสูติจากพระสนมชั้นฟูเหริน ซึ่งเป็นพระโอรสลำดับที่สิบสองและยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้นานกว่าพระเชษฐาองค์อื่นๆ ที่แต่ละพระองค์ทยอยถูกฮองไทเฮากำจัดเพื่อไม่ให้หลงเหลือผู้ใดมาแข่งรัศมีกับพระโอรสของพระนางได้

ในขณะที่อินอวิ๋นหยางก็ล่วงรู้ที่มาที่ไปของจุดจบพระเชษฐาองค์อื่นๆ พระองค์จึงทรงนำทัพออกล่าดินแดนน้อยใหญ่ให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นหยวนเป่ยจนสามารถขยายอำนาจและเขตแดนออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าทุกรัชสมัยที่เคยมีมา ทำให้พระราชบิดาโปรดปรานเป็นยิ่งนัก พระองค์เก่งกล้ารอบด้านและสุดยอดเกินคนหาผู้ใดทัดเทียม

ด้วยเหตุนี้เองยิ่งพระราชบิดาทรงโปรดปรานมากเพียงใด อินอวิ๋นหยางยิ่งจะต้องไปให้ไกล ไม่สามารถพำนักอยู่ในแคว้นเช่นพระเชษฐาองค์อื่นๆ ได้เพราะแน่นอนว่าความตายจะต้องคืบคลานมาถึงตัวสารพัดวิธีที่จะเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะที่พระเชษฐาพระองค์ใหญ่ซึ่งรั้งตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในขณะนั้น เฝ้าหวาดระแวงว่าพระบิดาจะทรงเปลี่ยนพระทัยยกราชบัลลังก์ให้แก่พระอนุชาแทนพระองค์ ด้วยเพราะเก่งกล้าเกินคนและครองใจเหล่าทหารหาญของแคว้นเอาไว้ได้ทั้งหมด และดูเหมือนว่าอินอวิ๋นหยางจะทรงตระหนักถึงความหวาดระแวงของพระเชษฐาเป็นอย่างดี

พระองค์จึงทำหน้าที่คอยดูแลปกป้องแคว้นอยู่ตามขอบชายแดน ไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ยให้พระพระเชษฐาต้องเป็นกังวล โดยหารู้ไม่ว่าอินอวิ๋นหยางไม่ใช่คนโง่และไม่ใช่ผู้เสียสละ และไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจดีเสมอไป ในความดีแฝงเร้นความร้ายกาจที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดทัดเทียมได้เลย

หากถามถึงความอำมหิตของอินอวิ๋นหยางช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก วิธีการทำสงครามเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทั้งนี้เพื่อข่มขวัญแคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของหยวนเป่ย

ทหารในกองทัพทุกคนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและได้รับการยอมรับจากทั่วหล้าว่าทหารกล้าของหยวนเป่ยนั้นเป็นยอดคน แต่ในขณะเดียวกันวิธีการฝึกนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่กว่าจะผ่านมาได้นั้น ชีวิตของทหารล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

ในขณะที่ผู้ผ่านการฝึกฝนนั้นจะได้เข้าร่วมในกองทัพและได้รับความเจริญก้าวหน้า รับบำเหน็จรางวัลเป็นการตอบแทนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จนมีการกล่าวขานว่ากองทัพของหยวนเป่ยเพียงแค่หนึ่งพันนายเทียบเท่ากองทหารห้าหมื่นนาย

ทหารหนึ่งคนสามารถผลาญคร่าชีวิตศัตรูอีกฝ่ายเพียงระยะเวลาอันสั้นจนนับไม่ถ้วน เป็นกองทัพแข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้นทำให้แคว้นหยวนเป่ย กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่ในเวลาต่อมาในยุคจ้านกว๋อซึ่งก็คือแคว้นจ้าวนั่นเองเพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุทธวิธีของอินอวิ๋นหยาง

ดังนั้นหากจะเปรียบฮ่องเต้อินอวิ๋นโฉและอินอวิ๋นหยางแล้วอินอวิ๋นโฉเปรียบเช่นนักรบกำลังฝึกหัด ในขณะที่อินอวิ๋นหยางนั้นคือเทพสงครามนั่นเอง อยู่เงียบๆ อย่างชาญฉลาดแต่ได้บัลลังก์อยู่ในมือด้วยเสียงของเหล่าทหารและชาวประชานี่สิจึงจะของจริง และเป็นเพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้อินอวิ๋นโฉก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยได้อย่างสมความตั้งใจ

ทว่าอำนาจทางการทหารกลับอยู่ในมือของอินอวิ๋นหยางทั้งหมด ทั่วราชสำนักต่างให้ความเคารพและกลัวเกรงยิ่งนัก ทำให้อินอวิ๋นโฉคิดหาวิธีกำจัดพระอนุชาอยู่ตลอดเวลาแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ เพราะหามีผู้ใดมีพลังวรยุทธฺสูงทัดเทียมกับอินอวิ๋นหยางได้ จำต้องรามือและคอยหาโอกาสพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดหนามหยอกอกซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันออกไปอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายอินอวิ๋นโฉก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารตัวเอง

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ราชบัลลังก์ก็ยังไม่ยอมที่ยกให้พระอนุชาทั้งๆ ที่คู่ควรจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นมากกว่าพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ แต่ก็ยังพยายามที่จะกดอินอวิ๋นหยางเอาไว้ไม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น แต่แล้วในที่สุดไม่ว่าจะเป็นฮองไทเฮาและอินอวิ๋นโฉจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไรดูท่าก็ไร้ประโยชน์เพราะความตาย

และด้วยเพราะเหตุนี้เองอินอวิ๋นหยาง จึงก้าวขึ้นเป็นอุปราชทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้พระองค์น้อยและสำเร็จราชการแทนจนกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา จึงทำการส่งมอบพระราชอำนาจทั้งหมดกลับคืนให้แก่พระองค์ปกครองแคว้นตามเดิม ซึ่งเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างไม่เห็นด้วยที่อุปราชจะคืนอำนาจให้แก่ฝ่าบาทน้อยอินอวิ๋นฉวี่

ด้วยเพราะอินอวิ๋นฉวี่ไม่แตกต่างไปจากพระราชบิดาของพระองค์แม้แต่น้อย สาเหตุมาจากฮองไทเฮาคอยสั่งสอนและยุยงให้เกิดความเกลียดชังและหวาดระแวงเสด็จอาซึ่งเป็นอุปราชของแผ่นดินหยวนเป่ยอยู่ในขณะนี้

แต่ในขณะเดียวกันกลับให้พยายามฉกฉวยเอาเคล็ดวิชาและความรู้รอบด้านทั้งบู้และบุ๋นมาจากอุปราชอวิ๋นหยางมาทั้งหมด

ทว่ามีหรือที่อุปราชผู้ปราดเปรื่องจะไม่ทรงล่วงรู้แผนการอันร้ายกาจของฮองไทเฮา ที่แม้จะสวรรคตลงไปแล้วก็ยังไม่วายสั่งสอนพระนัดดาให้มีนิสัยที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง สิ่งที่หวังไว้จึงไม่บรรลุผลตามที่คาดเอาไว้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ย แต่ยังคงทำหน้าที่ของพระองค์อยู่ที่ขอบชายแดนเช่นเดิม

แต่ถึงกระนั้นอุปราชผู้ปราดเปรื่องก็สามารถสำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นได้เป็นอย่างดี โดยใช้อินทรีสื่อสารสั่งการลงไปในข้อราชการสำคัญๆ ซึ่งนับรวมระยะเวลาจากที่อินอวิ๋นหยางทรงออกล่าดินแดนและประทับอยู่ที่ขอบชายแดน ตั้งแต่วันแรกที่อินอวิ๋นโฉขึ้นครองแคว้นจนถึงในรัชสมัยของอินอวิ๋นฉวี่ รวมแล้วนานถึง 12 ปี

แม้ว่าจะมีพระบัญชาของฮองไทเฮาให้พระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน เพื่อให้พระองค์ทำหน้าที่ดูแลอินอวิ๋นฉวี่ซึ่งจะก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่เสด็จกลับมาทรงอ้างว่าติดพันสงครามบุกยึดแคว้นต้าลี่อยู่ในขณะนั้น จึงทำให้ฮองไทเฮาต้องส่งสาสน์มาถึงพระองค์อีกครั้ง

และจากข้อความในสาสน์ดังกล่าวอินอวิ๋นหยางจึงกรีดเลือดสาบานถวายสัตย์สัญญาส่งกลับไปให้ฮองไทเฮาตามความต้องการของพระนาง

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครพบเห็นอุปราชอินอวิ๋นหยางว่าทรงเป็นอย่างไรนับตั้งแต่นำทัพออกทำศึกสงครามและจากวันนั้นจนถึงวันนี้พระองค์ก็ไม่เคยกลับมาเหยียบเมืองหลวงซางเป่ยเลยสักครั้ง

จวบจนกระทั่งในวันนี้เป็นวันที่อินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีพระชนมายุครบ 17 พระชันษาและได้รับพระราชอำนาจในการปกครองแคว้นอย่างสมบูรณ์ทุกประการ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่อาจมีพระบัญชาควบคุมได้ นั่นก็คือทหารนับหลายแสนชีวิตของหยวนเป่ยนั่นเองที่ยังคงอยู่ภายใต้อาณัติของอุปราชลือชื่อซึ่งเป็นเสด็จอาของพระองค์

ฟิ้วววว!!!! พระราชสาสน์ที่อยู่ภายในพระหัตถ์ ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ชั้นดีถูกปาลงไปที่พื้นพระตำหนักภายในห้องทรงงานด้วยแรงพิโรธเป็นอย่างยิ่งทันทีที่ได้อ่านข้อความที่อยู่ภายในนั้นจนจบ

“บัดซบที่สุด! ตกลงข้าหรือเสด็จอากันแน่ที่เป็นฮ่องเต้ปกครองหยวนเป่ย! เหตุใดอำนาจในการบังคับบัญชากำลังทหารเกือบห้าแสนชีวิตจึงไม่ส่งคืนให้แก่ข้า! รั้งเอาไว้อยู่ในมือของตัวเองทำเช่นนี้เท่ากับว่าคิดจะกบฏต่อราชบัลลังก์ของข้าอย่างนั้นเหรอ!!!” รับสั่งอย่างเดือดดาลด้วยทรงเจ็บแค้นในพระทัยเป็นยิ่งนัก

ท่ามกลางสายตาของขันทีข้างพระวรกายที่ยืนก้มหน้ามองพื้นพระตำหนักนิ่ง จับจ้องพระราชสาสน์ของอุปราชลือชื่อที่ส่งมาให้ฮ่องเต้หนุ่มแจ้งรายละเอียดการส่งมอบพระราชอำนาจกลับคืน

โดยไม่แสดงความเห็นส่วนตัวหรือทัดทานอะไรออกมาทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะทรงอนุญาตก็ตาม ด้วยเพราะขันทีผู้นี้ถูกส่งมาแทรกซึมภายในราชสำนักหยวนเป่ย จนสามารถเข้ามาถวายการรับใช้ฮ่องเต้หนุ่มได้เป็นผลสำเร็จนานกว่าห้าปีแล้ว

จวบจนกระทั่งทรงมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา และได้อำนาจการปกครองของพระองค์กลับคืนมา แผนการขั้นต่อไปจะเริ่มลงมือทันทีเพื่อให้สำเร็จลุล่วง

“เสี่ยวฉิงจื่อ!” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งหาขันทีคนสนิท

“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับเบาๆ ดังอยู่ไม่ห่างจากพระองค์เสียเท่าใดนัก

“ข้าจะทำอย่างไรกับคนผู้นี้ดี จึงจะเรียกคืนอำนาจของข้ากลับคืนมาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอำนาจควบคุมกองทัพ ข้ากับเสด็จอาแตกต่างกันตรงไหน ในเมื่อข้าเป็นฮ่องเต้เหตุใดจึงบัญชาการกองทัพของตัวเองไม่ได้” รับสั่งถามขันทีคนสนิทของพระองค์

เอือก!!! เสียงแสร้งกลืนน้ำลายลงคอทำท่าหวาดกลัวขึ้นมาทันใดเมื่อรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น พร้อมทำทียกแขนที่มีชายเสื้อปกคลุมขึ้นซับเหงื่อของตัวเองที่นำน้ำมาปะพรมใบหน้าคล้ายมีตุ่มเหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นเต็มไปหน้าของตัวเอง ท่ามกลางสายพระเนตรของฮ่องเต้น้อย

“นี่กลัวข้าถึงขนาดเหงื่อออกเต็มหน้าถึงขนาดนี้เลยเหรอเสี่ยวฉิงจื่อ! ข้าถามความเห็นของเจ้าใช่ว่าจะลากคอเอาไปตัดหัวเสียที่ไหนกันเล่าหรือว่าอยากจะโดนแบบนั้นจริงๆ” รับสั่งถามกลับไป

ตุบ! ร่างสันทัดรีบทรุดกายลงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพระตำหนักอย่ารวดเร็วครั้นได้ยินเช่นนั้น

“ฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่ไม่สามารถออกความคิดเห็นแก่พระองค์ได้ ด้วยปัญญาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเกรงว่าแนะนำไปก็ไม่เป็นประโยชน์และไม่เป็นผลดีต่อพระองค์แต่อย่างใด ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยงดงามเป็นที่กล่าวขานในราชสำนักจะทรงไปเปรียบเทียบกับองค์อุปราชที่มีแต่ผู้คนกล่าวขวัญถึงแต่เรื่องความอำมหิตและโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงจนล่วงรู้กันไปทั่วทั้งหยวนเป่ยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

พระพักตร์พยักขึ้นลงเมื่อทรงได้ยินคำกล่าวของขันทีคนสนิทเช่นนั้น

“จริงเหรอ! ที่ทั่วราชสำนักต่างพากันยกย่องข้าเช่นนั้น” รับสั่งถามกลับไปเพื่อความแน่พระทัย

เสี่ยวฉิงจื่อพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันเป็นการยืนยันกลับไป

“แต่ข้าไม่เชื่อ! มีแต่เจ้าที่บอกข้าแล้วทำไมเหล่าขุนนางจึงไม่มีผู้ใดกล่าวเหมือนเจ้า!” รับสั่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“แล้วจะมีผู้ใดกล้าบอกกับเจ้าหรือว่า หยวนเป่ยมีฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาเช่นนี้ ถ้าไม่ติดว่ามีอุปราชผู้นั้นคอยค้ำจุนอยู่แล้วละก็ต้าเหลียงของข้าจะต้องบุกเข้ายึดครองแคว้นของเจ้าไปนานแล้ว ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 9 อินอวิ๋นฉวี่ 1.3

    ฉาด!!!! พระหัตถ์ตบลงบนหน้าขาของพระองค์จนได้ยินเสียงดังอย่างชัดเจน ติดตามด้วยเสียงหัวเราะดักกึกก้องออกมาทันทีไม่รู้ว่าเห็นด้วยกับวิธีการของขันทีคนสนิทหรือเห็นต่างกันแน่“ดี! เจ้าทำได้ดีมากเสี่ยวฉิงจื่อ! ความคิดของเจ้ายอดเยี่ยมช่างตรงกับความต้องการที่อยู่ในภายในใจของข้า! ข้าต้องการให้เสด็จอาตายไปเสียที! ยิ่งเร็วได้เท่าไรยิ่งดีจะได้ไม่ต้องอยู่ขวางทางอำนาจของข้าอีกต่อไป”รับสั่งของฮ่องเต้น้อยทำให้ไส้ศึกจากสองแคว้นผ่อนลมหายใจของตนออกมาทันที รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในที่สุดฮ่องเต้โง่ผู้นี้ก็มีความเห็นคล้อยตามที่คิดจะกำจัดอุปราชอินอวิ๋นหยางเกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่เสียแรงที่เฝ้ายุแยงมานานหลายปีไม่ทำให้ลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์“แต่ว่าแล้วจะเอามือสังหารจากที่ไหนทำงานนี้ได้ ในเมื่อเสด็จอามีวรยุทธสูงมากขนาดนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้เลยส่งไปก็ถูกฆ่าดั่งใบไม้ร่วงหล่นโดยเปล่าประโยชน์ และเสด็จอาต้องล่วงรู้ว่าข้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แบบนี้ข้าก็แย่สิดีไม่ดีจะกลายเป็นคนถูกฆ่าเสียเอง เกิดเสด็จอาฉวยโอกาสนี้หาข้ออ้างปลิดชีวิตข้าแล้วชิงบัลลังก์ขอ

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 10 อินอวิ๋นฉวี่ 1.4

    “เจ้าให้ข้าพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไงกันแน่! ข้าไม่เคยต้องการให้คนผู้นั้นแผ่ลูกหลานสายสกุลอินออกมาแม้แต่น้อยตรงกันข้ามจะฆ่าไม่ให้เหลือเสียด้วยซ้ำ! ลูกหลานสายสกุลอินจะต้องมาจากข้าเท่านั้นจึงจะถูกต้อง!” รับสั่งอย่างไม่พอพระทัย“โธ่! ฝ่าบาทไปกันใหญ่แล้ว! อย่าเพิ่งเข้าพระทัยผิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงทำความเข้าใจเสียใหม่ว่านี้คือแผนหลอกล่อจึงต้องยกข้ออ้างเช่นนั้นออกมา หาไม่แล้วแผนต่อไปจะสำเร็จได้อย่างไร จะทำให้อุปราชไว้วางพระทัยว่าไม่มีอะไรแอบแฝงก็ต้องยกยอไปก่อนแล้วค่อยจัดการภายหลัง” เสี่ยวฉิงจื่ออธิบายกลับไปพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย“คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง! ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงทนได้มานานหลายปีเช่นนี้นะไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจในขณะที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยินคำอธิบายกลับมาเช่นนั้น พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงด้วยไม่เห็นต่างจากเสี่ยวฉิงจื่อ“จริงด้วย! จะสังหารเสด็จอาก็ต้องทำให้ไว้วางใจเสียก่อน หาไม่แล้วจะเสียแผนการทั้งหมด ดี! ใช้แผนนี้ดีที่สุดว่าแต่จะทำให้สตรีจากต้าซางและต้าเหลียงเป็นคนของเ

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 8 อินอวิ๋นฉวี่ 1.2

    ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าตัวตนดั้งเดิมที่แท้จริงของขันทีผู้นี้หาใช่ชาวหยวนเป่ยโดยกำเนิด ในความเป็นจริงแล้วคือสายลับที่ถูกฮ่องเต้ต้าเหลียงและฮ่องเต้ต้าซางซึ่งจับมือผนึกกำลังหวังโค่นล้มหยวนเป่ย ถูกส่งตัวเข้ามาแทรกซึมคอยหาข่าวภายในราชสำนักหยวนเป่ย เป้าหมายเพื่อหาโอกาสลอบสังหารอุปราชอวิ๋นหยาง และถ้าหากลงมือกับอุปราชผู้นั้นสำเร็จมีหรือชีวิตของอินอวิ๋นฉวี่จะอยู่รอดต่อไปได้นาน ฮ่องเต้หนุ่มจะต้องถูกสังหารตายตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทันทีที่ชีวิตของอินอวิ๋นหยางหลุดลอยออกจากร่างแต่ที่ไม่ลงมือปลงพระชนม์อินอวิ๋นฉวี่ด้วยเพราะ หากอวิ๋นฉวี่สวรรคตลงวันใดแน่นอนว่า แผ่นดินหยวนเป่ยจะต้องตกเป็นของอุปราชผู้กล้าอินอวิ๋นหยางโดยทันที และนั่นจะยิ่งยากกว่าอะไรทั้งหมดหากจะคิดเป็นอิสระและก้าวขึ้นมาครอบครองหยวนเป่ย แทนที่นั้นต้องสืบล่วงรู้จุดอ่อนของอุปราชลือชื่อผู้นี้ให้จงได้รวมไปถึงที่พำนักอันแท้จริงของพระองค์ด้วยไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอุปราชผู้นี้ประทับอยู่แห่งหนใดและบริหารแผ่นดินโดยใช้อินทรีทองสื่อสารอันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งต้าเหลียงและต้าซางรวมไปถึงหยวนเป่ยนั้นต่างรบพุ่งกันมานานเพื

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 7 อินอวิ๋นฉวี่ 1.1

    ยุคอดีตแคว้นหยวนเป่ยณ.พระราชวังหลวงภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้นสืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้นในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า แล

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 6 ของขวัญปริศนา 1.6

    ทันใดนั้นเอง“ข้ารอเจ้ามานานแสนนานแล้ว! มาหาข้า! ข้ารอเจ้าอยู่ที่จวนเดียวดาย! รอเจ้าที่จวนเดียวดาย” เสียงดังกล่าวกึกก้องออกมาจากภาพวาดที่อยู่ในมือของนักร้องสาวคนดังและเธอก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน“ไม่จริง! มันจะต้องไม่เป็นความจริง! ฉันต้องหูฝาดแน่ๆ ต้องไม่ใช่! ไม่ใช่!!!”ในขณะที่เสียงจากภาพวาดยังคงดังกึกก้องออกมาอย่างไม่ขาดสาย“มาหาข้า! ข้ารอเจ้าที่จวนเดียวดาย!” เสียงเรียกนั้นเริ่มดังขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับหยางเฟยอี้ตุบ! ภาพวาดที่กำลังถืออยู่มือร่วงหล่นลงพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนักร้องสาวมีอาการหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน หยางเฟยอี้พยายามที่จะหายใจทางปากแต่กลับทำให้เจ็บแปลบเข้าที่หัวใจจนไม่สามารถทำให้เธอหายใจได้เป็นปกติอะ...โอ๊ยยยยย!!! มือเรียวสวยยกขึ้นจับศีรษะของเธอทันทีเมื่อเสียงร้องเรียกดังกล่าวทำให้นักร้องดังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงพร้อมเริ่มมีอาการหายใจไม่ออกอย่างเฉียบพลัน“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย...หะ...หายใจ...ไม่ออก!!!” สิ้นเสียงตะกุกตะกักที่เธอพยายามสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่ต

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 5 ของขวัญปริศนา 1.5

    วันรุ่งขึ้นรถยนต์คันหรูของโรงแรมชื่อดังที่สองพี่น้องเลือกเข้าพักในเมืองลั่วหยาง วิ่งตรงเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าประตูซึ่งในอดีตผู้คนในสมัยโบราณจะเรียกที่พักอาศัยของเหล่าเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ ขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่งว่าจวนครั้นเมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปจากการเรียกขานเช่นนั้น แปรเปลี่ยนเป็นคฤหาสน์เข้ามาแทนที่ในยุคสมัยปัจจุบันและมีการสร้างบ้านเลียนแบบในยุคโบราณพบเห็นมากมายในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฐานะทางสังคมที่ดีไม่ต่างอะไรไปจากยุคอดีตแม้แต่น้อย“โอโห่! นี่นะเหรอจวนโบราณทำไมมันถึงได้ใหญ่โตอลังการขนาดนี้ บรรยากาศก็ดูขลังเป็นบ้าเลย” นักร้องสาวพูดพึมพำอยู่คนเดียวสายตามองประตูทางเข้าจวนขนาดมหึมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด“มองผ่านแว่นกันแดดแบบนั้นจะเห็นอะไรชัดไหมนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาวของเธอทั้งๆ ที่ยังวุ่นวายหาของในกระเป๋าของน้องสาวอยู่ในขณะนี้หยางเฟยอี้กระดกแว่นกันแดดให้ขยับลงต่ำพลางมองพี่สาวของเธอกำลังรื้อค้นกระเป๋าของเธอช่างดูวุ่นวายเสียจริง“พี่ใหญ่หาอะไรนะ! อะไรหายเหรอ” หญิงสาวถามกลับ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status