Masukแม้ว่าเมื่อคืนจะปวดท้องและกว่าจะได้นอนก็เกือบจะเที่ยงคืนแต่เช้านี้สุพิชฌาย์ก็ตื่นนอนตามปกติ อาการปวดท้องหายไปแล้วหญิงสาวแต่งตัวก็นั่งบนชั้นวางรองเท้าที่ด้านบนเป็นเบาะหนังสำหรับนั่ง เธอคอยฟังเสียงเปิดประตูของห้องปณัยกรเพราะเช้านี้เธอจะเริ่มแผนต่อไปให้ได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องฝั่งตรงข้ามเปิดออกสุพิชฌาย์ก็เปิดประตูห้องของตนเองออกทันที
“สวัสดีตอนเช้าค่ะอาจารย์ไนท์”
“สวัสดีเปียโน เป็นยังไงบ้างหายปวดท้องหรือยัง”
“รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ”
“อย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลาแล้วก็ทานยาด้วยนะ”
“ค่ะอาจารย์หนูต้องขอบคุณอาจารย์นะคะที่ไปซื้อยามาให้”
“ไม่เป็นไรครับ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน”
ทั้งสองเดือนคู่กันมายังลิฟต์ก่อนจะลงไปยังลานจอดรถ
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” สุพิชฌาย์มองรถของตนเองที่ล้อหน้าด้านซ้ายมันแบบจนติดพื้น
“รถคุณยางแบนนี่เปียโน”
“สงสัยเมื่อวานเย็นหนูขับผ่านบริเวณก่อสร้างด้านหลังมหาวิทยาลัยแน่เลย ทีนี่จะไปเรียนยังไงล่ะ” หญิงสาวแกล้งทำเป็นเครียดทั้งที่ตนเองเป็นคนโทรศัพท์ลงมาบอกรปภ.ให้ช่วยปล่อยยางรถข้างหน้าพร้อมกับติดสินบนให้เขาไปห้าร้อยบาท
“ให้ผมไปส่งที่มหาลัยไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาจารย์เดี๋ยวหนูเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้าก็ได้” หญิงสาวพูดแล้วกุมท้องไปที่หน้าท้อง
“นั่นปวดท้องอีกเหรอ” ปณัยกรสังเกตเห็นและคิดว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง
“นิดหน่อยค่ะ”
“ยังไม่หายดีเลยแล้วจะเดินไปขึ้นรถยังไงให้ผมไปส่งดีกว่านะ”
“หนูกลัวจะรบกวนเวลางานอาจารย์นี่คะ”
“คงไม่เสียเวลามากหรอก รีบขึ้นรถเถอะออกเช้ากว่านี้เดี๋ยวรถจะติดเอานะ”
“ก็ได้ค่ะหนูก็ไม่อยากไปเรียนสายเหมือนกัน” สุพิชฌาย์รีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่กับเขาอย่างคุ้นเคย
ตลอดเวลาก็แอบมองหน้าอาจารย์หนุ่มแล้วยิ้มพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อยอย่างที่ทำเป็นประจำทุกครั้ง
“อาจารย์ไม่ต้องเข้าไปจอดหน้าตึกก็ได้ค่ะ ตรงนั้นรถมันเยอะจะเสียเวลาเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกไหนๆ มาส่งแล้วผมก็อยากให้ส่งถึงที่ แล้วคุณก็อย่าลืมหาข้าวกินและกินยา ถ้าไม่ดีขึ้นก็เรียกแท็กซี่ให้พาไปส่งโรงพยาบาลเพราะวันนี้ผมมีสอนตลอดทั้งวัน”
“ได้ค่ะหนูจะกินข้าวกินยาให้ตรงเวลา ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะที่มาส่ง” หญิงสาวยิ้มก่อนจะเปิดประตูลงมาจากรถและโบกมือเธอมองตามจนกระทั่งรถของเขาลับสายตาไป
“มันยังไงกันแน่เปียโนนั่นใช้รถอาจารย์ไนท์ไหมที่มาส่งแก” ณัฐมลที่ยืนมองอยู่รีบเข้ามาถาม
“ใช่”
“แกจีบเขาสำเร็จแล้วเหรอเขาถึงมาส่งที่นี่” เจนิตาที่เดินตามมาก็ถามด้วยความตื่นเต้น
“ยังหรอกแต่ทุกอย่างมันอยู่ในแผน”
“แกนี่แผนเยอะจริงนะ ขึ้นห้องเรียนกันเถอะจะได้เม้าท์ต่อ”
“ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงนะเจนพาฉันไปกินข้าวก่อนดีไหม”
“วันนี้แกแปลกนะอยากจะกินข้าวตอนเช้า” เจนิตามองเพื่อนด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วสุพิชฌาย์ไม่ค่อยทานอะไรตอนเช้า
“ก็เมื่อคืนฉันปวดท้องน่ะสิ แล้วมันมียาจะต้องกินอาจารย์ไนท์สั่งไว้ว่าต้องกินยาและกินข้าวให้ตรงเวลา”
“ปวดท้องเหรอไปหาหมอมาแล้วใช่ไหม”
“ไม่หรอกแต่อาจารย์ไปซื้อยามาให้น่ะ”
“แกปวดท้องจริงๆ หรือแค่แกล้งปวดท้องกันแน่ล่ะ”
“ปวดจริงๆ สิเจน ก็เมื่อวานตอนกลางวันกินขนมปังไปนิดเดียวแล้วตอนเย็นฉันกับอาจารย์ไนท์ก็ไปกินส้มตำกัน ฉันกินมากไปหน่อยเมื่อคืนก็เลยปวดท้อง”
“แล้วตอนนี้ดีขึ้นหรือยังล่ะ” เจนิตาถามอย่างเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้ว”
“ฉันว่าแกต้องเล่าเรื่องนี้เพิ่มแล้วล่ะเปียโน”
“เดี๋ยวฉันจะเล่าให้แกสองคนฟังตอนกินข้าวก็แล้วกันนะ รีบไปกันเถอะจะได้รีบกลับมาเรียน”
หลังจากทานข้าวและทานยาเสร็จแล้วทั้งสามสาวก็กลับมายังห้องเรียนจนกระทั่งถึงเวลาพักกลางวันเสียงโทรศัพท์ของสุพิชฌาย์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“สวัสดีค่ะแม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามมารดาที่ปกติจะไม่โทรหาเธอเวลากลางวันแบบนี้
“เปียโนมากินข้าวกลางวันกับแม่และพ่อที่ห้องทำงานพ่อหน่อยนะ แม่สั่งอาหารมาเผื่อหนูแล้ว”
“ได้ค่ะแม่” หญิงสาวกดวางสายแล้วมองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกผิด
“มีอะไรหรือเปล่าเปียโน”
“ฉันคงไปกินข้าวกับแกสองก็ไม่ได้แล้ว พอดีแม่โทรตาม”
“ไม่เป็นไร ฉันไปกินสองคนก็ได้ แล้วตอนบ่ายค่อยเจอกัน แกก็อย่าลืมกินยาด้วยนะ”
“ฉันว่าจะกินก่อนไปดีกว่าไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ว่าปวดท้อง ขอน้ำแกหน่อยสิเจน ของฉันหมดแล้ว”
“เอาไปทั้งขวด พวกฉันสองคนไปก่อนนะเดี๋ยวโรงอาหารคนจะเยอะ”
เมื่อทานยาแล้วหญิงสาวก็เดินลงจากตึกคณะเพื่อไปยังตึกของฝ่ายบริหารที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นะ เมื่อขึ้นไปถึงบนห้องก็เห็นว่าในห้องทำงานของบิดานั้นมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ
“สวัสดีค่ะพ่อ สวัสดีค่ะแม่” สุพิชฌาย์ยกมือไหว้บุพการีทั้งสองก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับมารดา
“สวัสดีจ้ะลูก เป็นไงบ้างเราไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์เลยนะหนูไม่กลับไปหาพ่อกับแม่เลย นี่ถ้าแม่ไม่ชวนมากินข้าวกลางวันก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกัน”
“ขอโทษนะคะพ่อ ขอโทษนะคะแม่พอดีหนูกำลังปรับตัวและฝึกใช้ชีวิตคนเดียวอยู่นี่คะถ้ากลับไปบ้านบ่อยๆ ก็คงไม่ดีเท่าไหร่” หญิงสาวยังคงอ้างเหตุผลเดิม
“แต่แม่คิดถึงหนูมากนะ”
“หนูก็คิดถึงพ่อกับแม่ค่ะ”
“พ่อว่าอย่าเพิ่งคุยกันเลยรีบกินเถอะ ลูกมีเวลาพักแค่ชั่วโมงเองเดียวเองนะ”
ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารและพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งทานอาหารเสร็จคุณสุชาติก็เรียกให้แม่บ้านเขามาเก็บโต๊ะก่อนจะนั่งมองหน้าบุตรสาวแล้วเริ่มถามคำถามที่สงสัยจนต้องเรียกให้เธอขึ้นมาที่นี่
“เปียโน พ่อได้ยินมาว่าวันนี้ลูกไม่ได้ขับรถมาที่มหาวิทยาลัยแต่มีคนอื่นมาส่งใช่ไหม พ่ออยากรู้ว่าคนที่มาส่งลูกเป็นใคร” สีหน้าของคุณสุชาติดูจริงจังจนหญิงสาวรู้สึกเป็นกังวล
“หนูออกมาอยู่คนเดียวได้ไม่ถึงเดือนหนูมีแฟนแล้วเหรอลูกหรือที่อยากจะออกมาอยู่ตามลำพังเพราะอยากจะมาอยู่กับแฟนกันล่ะ” คุณวิมลวรรณถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของท่านก็ดูจริงจังไม่ต่างจากสามี
“พ่อคะแม่คะ คนที่มาส่งหนูไม่ใช่แฟนหรอกค่ะ”
“แล้วเขาเป็นใครทำไมถึงมาส่งหนูตอนเข้าได้ล่ะ บอกแม่มาเถอะนะเปียโน แม่ไม่ห้ามถ้าหนูจะมีแฟนแต่แม่อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร” คุณวิมลวรรณพูดอย่างใจเย็น
“ไม่ใช่แฟนอะไรที่ไหนหรอกค่ะแม่ คนที่มาส่งหนูก็คืออาจารย์ไนท์ค่ะ”
“หนูหมายถึงอาจารย์ปณัยกรเหรอเปียโน” คุณสุชาติเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“ค่ะพ่อ หนูคงลืมบอกพ่อกับแม่ไปว่าอาจารย์เขาพักอยู่คอนโดเดียวกับหนู แล้วเมื่อเช้ารถหนูมันยางแบนอาจารย์เห็นพอดีก็เลยมาส่งหนูค่ะ”
“พ่อก็นึกว่าลูกสาวแอบไปมีแฟนเสียแล้ว” คุณสุชาติถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แล้วถ้าเกิดหนูมีแฟนจริงๆ พ่อจะว่ายังไง”
“พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ก็อยากจะให้หนูดูให้ดีก่อนว่าเขาเข้ามาหาหนูเพราะรักหนูจริงๆ หรือเพราะหวังอะไรในตัวหนูกันแน่ หนูก็รู้ว่าหนูเป็นลูกของพ่อก็คงมีคนเข้ามาหามาก”
“ค่ะพ่อ แต่พ่อไม่ต้องห่วงนะคะหนูยังไม่คิดมีแฟนหรอกค่ะ อีกไม่กี่เดือนหนูก็ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วถ้ามีแฟนก็คงทำให้การไปเรียนมันไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่”
“ถ้าคิดได้แบบนี้แม่ค่อยสบายใจหน่อย”
“พูดถึงอาจารย์ปณัยกรแล้วเมื่อวันก่อนพ่อก็เพิ่งได้เจอเขาเองนะ”
“พ่อไปเจอเขาทำไมคะ”
“พ่อคุยกับเขาเรื่องที่จะให้เขามาสอนที่นี่มากขึ้นอาจจะเป็นช่วงซัมเมอร์ แล้วก็วางแผนไว้ว่าปีการศึกษาหน้าจะให้เขามาสอนเพิ่มมากขึ้น”
“แล้วอาจารย์เขาตอบตกลงหรือเปล่าคะ”
“เขาบอกว่าขอลองสอนช่วงซัมเมอร์นี้ก่อน เขาไม่แน่ใจว่าจะทำมันได้ดีหรือเปล่า แต่เท่าที่พอคุยพ่อว่าเขาเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่งเลย พ่อก็เลยอยากให้เขามาสอนประจำที่นี่แต่ดูท่าแล้วคงยากที่จะให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลแต่ได้มาช่วยสอนบ้างแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“หนูสนิทกับเขามากไหมเปียโน” คุณวิมลวรรณถามบ้าง
“ไม่ได้สนิทมากขนาดนั้นหรอกค่ะแม่ เจอหน้ากันบ้างเวลาที่กลับคอนโดพร้อมกันและตอนเช้าที่เขาออกมาสอนแล้วหนูออกมาเรียนค่ะ แต่โชคดีมากที่วันนี้เขาให้หนูติดรถมาด้วย”
“แล้วหนูเรียกช่างให้ไปจัดการรถหรือยัง”
“ยังเลยค่ะพ่อหนูลืมไปแล้ว”
“ถ้ายังงั้นเดี๋ยวพ่อให้คนของพ่อจัดการให้ก็แล้วกันนะพรุ่งนี้จะได้ขับรถมาเรียน เย็นนี้เลิกเรียนแล้วก็ขึ้นมารอพ่อที่ห้องนะจะได้กลับพร้อมกัน”
“ค่ะหนูขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
ปณัยกรวางสายจากสุพิชฌาย์แล้วก็รีบตรงไปยังผับที่หญิงสาวบอก เขารู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเมาและกลับไปพร้อมกับรุ่นพี่ ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือลูกศิษย์อย่างที่พยายามจะคิดแบบนั้นมาตลอด และเขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นลูกสาวของใคร เขาจะยอมทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งจะทำทุกอย่างให้เต็มที่แล้วยอมรับผลที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในผับและกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นสุพิชฌาย์กำลังยืนเต้นอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนมก็รีบตรงเข้าไปหาทันที“อาจารย์....” สุพิชฌาย์ทั้งดีใจและตกใจที่เห็นเขามาที่นี่“กลับเถอะเปียโน”“แต่หนูยังสนุกอยู่เลยนะคะ หนูยังไม่อยากกลับ”“แต่ผมบอกให้กลับก็ต้องกลับ”“นี่คุณ ผู้หญิงเขาไม่อยากกลับจะมาบังคับกันได้ยังไงแล้วคุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับเปียโนแบบนี้” เพื่อนชายของสุพิชฌาย์พูดไปตามบทที่หญิงสาวเตี๊ยมเอาไว้“ผมเป็นแฟนเธอ คงจะพอบังคับได้นะ” ปณัยกรตอบกลับก่อนจะจูงมือสุพิชฌาย์ออกไปจากผับ“อาจารย์ปล่อยหนูได้แล้ว” หญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าผับ“ปล่อยเพื่อให้กลับเข้าไปเต้นยั่วผู้ชายข้างในอีกน่ะ
เช้าวันใหม่สุพิชฌาย์ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หญิงสาวอยากรู้ว่าถ้าปณัยกรเห็นว่าเธอยังนอนอยู่บนเตียงของเขาแล้วชายหนุ่มจะทำหน้ายังไงเธอยิ้มเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่เขาจูบเธอแบบนั้นมันก็แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องมีใจให้กับเธออย่างแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมตอบตกลง หญิงสาวคิดว่าวันนี้จะเธอต้องคุยกับปณัยกรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากจะอยู่กับความอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปขณะที่กำลังนอนคิดอยู่บนเตียงเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น“เปียโน คุณตื่นหรือยังผมขอเข้าไปนะ วันนี้ผมต้องไปทำงาน” ปณัยกรตื่นนอนตั้งแต่เช้าแต่รอให้สุพิชฌาย์ออกมาก่อนแต่แล้วก็ทนรอไม่ไหวเพราะถ้าช้ากว่านี้เขาคงต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน“ตื่นแล้วค่ะ อาจารย์เข้ามาได้เลย” หญิงสาวตะโกนตอบแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง“สายแล้วนะเปียโน” ชายหนุ่มมองคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น“หนูไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่คะหนูสอบเสร็จแล้ว”“งั้นก็กลับห้องได้แล้ว ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”“หนูก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์สักหน่อย อาจารย์อายเหรอคะ”“ผมเป็นผู้ชายจะอายทำไม คุณมากกว่ามั้งที่ต้องอาย”“หนูไม่อายหรอกค่ะ
เสียงดนตรีในผับดังเป็นจังหวะเร้าใจ สุพิชฌาย์กับเพื่อนๆ สนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง หญิงสาวดื่มไปหลายแก้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเมาเพราะที่ผ่านมาก็เป็นสายปาร์ตี้และดื่มจนชินแล้ว“แกจะไม่กลับไปนอนหอฉันจริงๆ เหรอรถแกก็อยู่ที่นั่นนะ”“ฝากไว้ที่นั่นก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปเอานะ”“แล้วแกจะไม่ให้ฉันสองคนนั่งรถส่งเหรอกลับคนเดียวมันอันตรายนะยิ่งเมาอยู่ด้วย” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วง“ฉันเมาที่ไหนล่ะแก”“เปียโนฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงอยากกลับคอนโดถ้าเดาไม่ผิดเพราะอยากจะไปหาอาจารย์ไนท์ใช่ไหม”“แกนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ นะใบตอง”“แต่แกบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์เขาเห็นตอนแกเมานี่”“นั่นสิ หรือแกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”“ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะเจน”“บอกฉันสองคนได้ไหม” ณัฐมลอยากรู้ว่าเพื่อนกำลังจะทำอะไรและถ้ามันเสี่ยงเกินไปเธอจะได้เตือน“ฉันจะไปขอนอนห้องอาจารย์ไนท์”“อย่านะเปียโนแกเมาแบบนี้ถ้าเกิดอาจารย์เขาฉวยโอกาสกับแกขึ้นมาล่ะ” เจนิตารีบร้องห้าม“แต่ฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น”“แต่เขาก็เป็นผู้ชายนะแก แล้วดูชุดที่แกใส่วันนี้สิ มันใช่ชุดธรรมดาที่ไหน” ณัฐมลเตือนอีกคนเพราะวันนี้สุพิชฌาย์ใส่นั้นมันเซ็กซี่มาก
สุพิชฌาย์ยังคงมาอ่านหนังสือที่ห้องของปณัยกรทุกวัน มันกลายเป็นความเคยชินอีกอย่างนอกจากการทานอาหารเย็นด้วยกัน การได้นั่งมองหน้าชายหนุ่มและอ่านหนังสือไปด้วยก็เป็นความสุขอีกอย่างของหญิงสาวส่วนปณัยกรเองนั้นการได้มองหน้าสุพิชฌาย์ขณะที่นั่งทำงานไปด้วยมันทำให้กำแพงในใจของชายหนุ่มละลายลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของตนเองออกไป เพราะมันมีอุปสรรคหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้ว่าจะสามารถจับมือหญิงสาวก้าวข้ามมันไปได้หรือเปล่า“พรุ่งนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมเปียโน”“ใช่ค่ะ”“แล้วที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดีหรือเปล่า” เขาชวนคุยเพื่อให้เธอได้พักสายตาบ้าง“หนูคิดว่าหนูทำเต็มที่ทุกวิชานะคะ ส่วนคะแนนจะได้มากจะได้น้อยมันเป็นเรื่องของอาจารย์ที่จะต้องจัดการเองค่ะ” หญิงสาวหัวเราเพราะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตนเองทำข้อสอบได้“ปกติแล้วผลการเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง”“ที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสามกว่าๆ ค่ะ หนูหัวขี้เลื่อยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่เคยหวังเรื่องเกียรตินิยมเลย” สุพิชฌาย์ตอบแบบไม่เครียด“ทำไมไปว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ เกรดเฉลี่ยมันไม่ได้วัดนะว่าเราเก่งหรือเปล่ามันอยู่ที่การนำเอาความรู้นั้นมาใช
หลังจากทานข้าวกับเพื่อนอาจารย์ในคณะเสร็จแล้วปณัยกรก็ขับรถกลับคอนโดมิเนียมในเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เมื่อมาถึงที่จอดรถก็เห็นไม่เห็นรถของสุพิชฌาย์ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะปกติเวลานี้หญิงสาวควรจะกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาเดินดูทั้งลานจอดรถเพราะคิดว่าเธอจะเอาไปจอดที่อื่นแต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นชายหนุ่มรีบเดินขึ้นมาบนห้องแล้วเคาะประตูห้องตรงข้ามและยืนรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูปณัยกรรู้สึกเป็นห่วงเขาจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเธอทันที แม้รู้ว่าสุพิชฌาย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนน่ารัก สดใส และเข้ากับคนอื่นง่ายและบางครั้งหญิงสาวก็เหมือนเด็กในร่างของผู้ใหญ่คนหนึ่งชายหนุ่มรอไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนกับทุกครั้ง“สวัสดีค่ะอาจารย์”“คุณอยู่ไหนเปียโน ทำไมผมถึงไม่เห็นรถคุณอยู่ที่คอนโดเลย” ปณัยกรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“หนูอยู่หอพักเพื่อนค่ะอาจารย์ พอดีว่าอ่านหนังสือสอบกับเพื่อนแต่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ”“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ มันดึกมากแล้วนะขับรถกลับคนเดียวได้หรือเปล่า” เขาเหลือบมองนาฬิกา
สุพิชฌาย์ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของปณัยกรในเช้าของวันใหม่หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขถึง แม้เขาจะไม่ได้นอนกับเธอในห้องนี้แต่ก็เห็นถึงความมีน้ำใจและเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถึงขั้นไล่กลับให้ไปนอนที่ห้องของตัวเองหญิงสาวค่อยๆ ย่องออกจากห้องของเขาอย่างเบาที่สุดเพื่อกลับมาที่ห้องของตนเอง เธออาบน้ำแต่งตัวและไปเรียนโดยลืมไปว่าแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือและหนังสือยังอยู่ในห้องของเขาเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยและเดินไปหาเพื่อนที่โรงอาหารสุพิชฌาย์เปิดสะพายข้างขึ้นมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบของออกมาจากห้องของอาจารย์ปณัยกรเลยสักอย่าง“เป็นอะไรเปียโนทำไมทำหน้าแบบนั้น”“ฉันลืมโทรศัพท์มือถือ”“อ้าวแล้วแกไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ลืมไว้ในรถหรือเปล่า ไม่เป็นไรจะกินอะไรเอาโทรศัพท์ฉันไปสแกนจ่ายก็ได้” ณัฐมลเสนออย่างใจดี“ฉันลืมไว้ในห้องอาจารย์ไนท์”“อะไรนะเปียโนแกไปลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องเขาได้ยังไง ปกติแกเป็นคนติดมือถือจะตาย เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาตกใจเพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนกับอาจารย์หนุ่มจะไปไกลเกินกว่าที่พวกเธอคิดไว้“แกไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกน่าเจน เมื่อคืนฉันไปอ่านหนัง







