Masukหลายสัปดาห์ต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างสุพิชฌาย์และอาจารย์ปณัยกรก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากแค่เพื่อนบ้านตอนนี้กลายเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ของทั้งสองคน สุพิชฌาย์แทบไม่เคยกลับบ้านไปทานอาหารเย็นเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโด ทุกเย็นหลังเลิกเรียนเธอมักจะรอคอยชายหนุ่มห้องตรงกันข้ามเพื่อชวนเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
จากที่อยู่คนเดียวและใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอดหลายปี ชีวิตของปณัยกรก็มีสีสันมากขึ้นกลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มชินกับเธอแล้วแต่เขาก็ยังคงเว้นระยะห่างและคิดเสมอว่าเธอก็แค่นักศึกษาคนหนึ่งและที่สำคัญคือลูกสาวเจ้าของมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้เขามีชั่วโมงสอนที่นั่นเพิ่มมากขึ้น
เสียงเคาะหน้าห้องของปณัยกรดังขึ้นในเวลาหกโมงเย็นซึ่งเร็วกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มรู้ดีว่าใครอยู่หน้าประตู ปณัยกรยิ้มบางๆ ขณะเดินไปเปิดประตู
“อาจารย์ไนท์หิวหรือยังคะ” สุพิชฌาย์ในชุดนักศึกษาที่ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ยังไม่หิวเท่าไหร่เปียโนหิวแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงได้มาก่อนเวลาแบบนี้”
“ค่ะ เมื่อตอนกลางวันหนูกินแค่ขนมปังไปเองค่ะ จะเป็นอะไรไหมถ้าวันนี้เราจะกินข้าวเร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วโมงอาจารย์มีธุระอย่างอื่นต้องทำหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีหรอก ไปกินตอนนี้เลยก็ได้”
“วันนี้เราจะกินอะไรกันดีค่ะ หนูหิวมากๆ เลยค่ะ” สุพิชฌาย์ยังคงพูดไปยิ้มไปเหมือนทุกครั้ง
ปณัยกรมองรอยยิ้มสดใสแล้วส่ายหัวเบาๆ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอเธอ เขาก็เห็นรอยยิ้มแบบนี้ตลอดจนบางครั้งชายหนุ่มเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้
“แล้วแต่เปียโนเลย”
“วันนี้หนูอยากกินส้มตำค่ะ อาจารย์กินได้ไหม”
“ได้สิ”
“งั้นเราไปกันเลยนะคะ หนูหิวจะแย่แล้ว”
ระหว่างทางไปร้านอาหารสุพิชฌาย์ก็ชวนเขาคุยเรื่องอยู่ตลอดทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนส่วนปณัยกรก็ได้แต่รับฟังและยิ้มตาม
“อาจารย์ไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้หนูฟังบ้างเลยนะคะ" หญิงสาวเงยหน้าถามเมื่อเดินมาถึงร้าน
“เรื่องของผมไม่ค่อยน่าสนใจหรอก ผมว่ารีบสั่งอาหารเถอะนะ” เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ถึงแม้จะสนิทกันมากขึ้นแล้วก็ตามและคิดว่าพูดออกไปแบบนี้แล้วสุพิชฌาย์คงจะเลิกถามแต่เขาคิดผิดเพราะหลังเธอสั่งอาหารเสร็จแล้วเธอก็ชวนเขาคุยต่อ
“หนูว่าไม่จริงหรอกค่ะ ชีวิตอาจารย์น่าสนใจออก หน้าตาหล่อ การงานก็ดีต้องมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตเยอะแน่เลยจริงไหมคะ” เธอถามแล้วจ้องตาแป๋วรอคอยคำตอบ
“ก็ไม่เยอะอย่างที่คุณคิดหรอก ผมเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่”
“แล้วปกติอาจารย์ไนท์ชอบทำอะไรในวันหยุดคะ” เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ไม่เคยเห็นเขาออกไปเที่ยวไหนช่วงวันหยุดเลย
“ก็อยู่ห้อง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ”
“ไม่เบื่อแย่เหรอคะ”
“ก็มีบ้าง” ปณัยกรตอบสั้นๆ
“ถ้าอาจารย์เบื่อหนูจะเพิ่มกิจกรรมวันหยุดให้เอาไหมคะ”
“อาหารมาแล้ว เรารีบกินกันเถอะ”
สุพิชฌาย์รู้ว่าเขาเลี่ยงที่จะตอบตกลงหรือปฏิเสธนั่นอาจเป็นเพราะเธอรุกเขาหนักจนเกินไป หญิงสาวจึงเลิกเซ้าซี้และตั้งใจทานอาหารตรงหน้า แต่เธอก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตในวันหยุดของเขามีเธอเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย
“อร่อยไหมคะ เผ็ดหรือเปล่า หนูสั่งแบบเผ็ดกลางมานะคะหนูกลัวอาจารย์กินเผ็ดไม่เก่ง”
“อร่อยครับแบบนี้กำลังดีไม่เผ็ดมาก”
“อาจารย์กินส้มตำบ่อยไหมคะ”
“นานๆ ครั้ง”
“แล้วไปกินกับใครคะ”
“ก็เพื่อนอาจารย์ที่มหาลัยนั่นแหละ บางวันก็ชวนกันออกไปกินส้มตำตอนพักเที่ยง”
“หนูเดาว่าคนที่ชวนต้องเป็นอาจารย์ผู้หญิงใช่ไหมคะ”
“เดาเก่งนี่”
“เป็นใครก็เดาถูกค่ะเพราะผู้หญิงชอบกินส้มตำมากๆ” สุพิชฌาย์อยากจะถามต่อว่าในกลุ่มที่ไปนั้นมีคนไหนสนใจเขาเป็นพิเศษหรือเปล่าแต่ก็หยุดคำถามไว้ก่อน
หลังทานส้มตำเสร็จทั้งสองก็กลับห้องของตนเองแต่ก่อนนอนหญิงสาวก็มาเคาะประตูห้องเขาอีกครั้ง
“อาจารย์ไนท์นอนหรือยังคะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเปียโนดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
“อาจารย์ไนท์คะที่ห้องอาจารย์มียาแก้ปวดท้องไหมคะ”
“เธอปวดท้องเหรอเปียโน”
“ค่ะ สงสัยจะกินอาหารรสจัดไปหน่อย”
“ไหวไหมผมพาไปหาหมอนะ” เขาถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์ หนูแค่อยากได้ยาแก้ปวดท้อง” สุพิชฌาย์ไม่อยากไปโรงพยาบาลเพราะถ้าเป็นแบบนั้นบิดามารดาจะต้องรู้และท่านก็คงไม่ยอมให้เธอออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้อีกอย่างแน่นอน
“แต่ในห้องผมไม่มียาอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ คุณกลับเข้าไปรอในห้องนะ เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อที่ร้านขายยาให้ตอนนี้ร้านน่าจะยังไม่ปิด นอกจากปวดท้องแล้วมีอาการอะไรอีกไหม”
“หนูแค่ปวดท้องอย่างเดียวค่ะ”
“มีท้องเสีย อาเจียนไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“ไปรอในห้องเดี๋ยวผมจะรีบไปรีบกลับนะ”
ปณัยกรกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์จากนั้นก็รีบตรงไปยังลิฟต์แล้วเดินไปยังร้านขายยาที่อยู่หัวมุม
เขาอธิบายอาการให้กับเภสัชกรประจำร้านฟังจากนั้นก็ได้ยาแก้ปวดและยาลดกรดมาจำนวนหนึ่ง เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องก็โทรศัพท์เข้าไปหาเพราะไม่อยากจะเคาะประตูเนื่องจากกลัวจะรบกวนห้องอื่น
“ได้ยามาแล้วเหรอคะ” เธอเปิดประตูออกมา
“ครับ ขอเข้าไปข้างในนะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องอธิบายถึงการทานยาให้กับหญิงสาวฟังจากนั้นก็ไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาให้
“กินยาแล้วนอนพักนะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็โทรไปหาผมนะ ผมจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล” เขากำชับเสียงเข้ม
“ขอบคุณนะคะอาจารย์”
“ผมจะกลับห้องก่อน อย่าลืมนะมีอะไรโทรมาหาผมได้ตลอด” ปณัยกรย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เขาเข้าใจดีว่าการอยู่คนเดียวเวลาเจ็บป่วยแบบนี้มันรู้สึกแย่แค่ไหน
“ค่ะอาจารย์”
ปณัยกรกลับมานั่งทำงานในห้องแต่ในใจก็ยังรู้สึกเป็นห่วงสุพิชฌาย์อยู่มาก เขามองนาฬิกาและเห็นว่าผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วยาน่าจะออกฤทธิ์จึงโทรศัพท์ไปหาเธอ
“ดีขึ้นไหมเปียโน นอนหรือยัง”
“หนูดีขึ้นแล้วค่ะอาจารย์แต่หนูยังไม่ง่วงเลย”
“แต่ผมว่ารีบนอนพักดีกว่านะนี่ดึกแล้ว”
“แล้วอาจารย์ล่ะคะทำไมยังไม่นอนอีก”
“เมื่อกี้ผมทำงานน่ะ แต่ตอนนี้ก็กำลังจะนอนเหมือนกัน ถ้าดึกๆ ปวดท้องต้องรีบบอกผมนะเปียโนจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล”
“ค่ะอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ”
เมื่อเขาวางสายไปแล้วหญิงสาวก็ยิ้มให้กับโทรศัพท์เธอไม่ได้แกล้งปวดท้องให้เขาต้องวุ่นวายแต่เธอปวดท้องจริงๆ อาจเป็นเพราะตอนกลางวันทานขนมปังไปแค่นิดเดียวแล้วเย็นนี้ยังทานอาหารรสจัดอีก แต่การที่เห็นสีหน้าของปณัยกรดูเป็นห่วงมันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีมากและคิดว่าการทำตัวสนิทสนมกับเขาช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามันได้ผล เธอก็เลยคิดว่าน่าจะเริ่มแผนขั้นตอนต่อไปเพื่อให้เธอกับเขาได้สนิทกันมากกว่าสถานะเพื่อนร่วมคอนโดหรืออาจารย์กับนักศึกษาอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ปณัยกรวางสายจากสุพิชฌาย์แล้วก็รีบตรงไปยังผับที่หญิงสาวบอก เขารู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเมาและกลับไปพร้อมกับรุ่นพี่ ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือลูกศิษย์อย่างที่พยายามจะคิดแบบนั้นมาตลอด และเขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นลูกสาวของใคร เขาจะยอมทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งจะทำทุกอย่างให้เต็มที่แล้วยอมรับผลที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในผับและกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นสุพิชฌาย์กำลังยืนเต้นอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนมก็รีบตรงเข้าไปหาทันที“อาจารย์....” สุพิชฌาย์ทั้งดีใจและตกใจที่เห็นเขามาที่นี่“กลับเถอะเปียโน”“แต่หนูยังสนุกอยู่เลยนะคะ หนูยังไม่อยากกลับ”“แต่ผมบอกให้กลับก็ต้องกลับ”“นี่คุณ ผู้หญิงเขาไม่อยากกลับจะมาบังคับกันได้ยังไงแล้วคุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับเปียโนแบบนี้” เพื่อนชายของสุพิชฌาย์พูดไปตามบทที่หญิงสาวเตี๊ยมเอาไว้“ผมเป็นแฟนเธอ คงจะพอบังคับได้นะ” ปณัยกรตอบกลับก่อนจะจูงมือสุพิชฌาย์ออกไปจากผับ“อาจารย์ปล่อยหนูได้แล้ว” หญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าผับ“ปล่อยเพื่อให้กลับเข้าไปเต้นยั่วผู้ชายข้างในอีกน่ะ
เช้าวันใหม่สุพิชฌาย์ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หญิงสาวอยากรู้ว่าถ้าปณัยกรเห็นว่าเธอยังนอนอยู่บนเตียงของเขาแล้วชายหนุ่มจะทำหน้ายังไงเธอยิ้มเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่เขาจูบเธอแบบนั้นมันก็แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องมีใจให้กับเธออย่างแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมตอบตกลง หญิงสาวคิดว่าวันนี้จะเธอต้องคุยกับปณัยกรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากจะอยู่กับความอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปขณะที่กำลังนอนคิดอยู่บนเตียงเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น“เปียโน คุณตื่นหรือยังผมขอเข้าไปนะ วันนี้ผมต้องไปทำงาน” ปณัยกรตื่นนอนตั้งแต่เช้าแต่รอให้สุพิชฌาย์ออกมาก่อนแต่แล้วก็ทนรอไม่ไหวเพราะถ้าช้ากว่านี้เขาคงต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน“ตื่นแล้วค่ะ อาจารย์เข้ามาได้เลย” หญิงสาวตะโกนตอบแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง“สายแล้วนะเปียโน” ชายหนุ่มมองคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น“หนูไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่คะหนูสอบเสร็จแล้ว”“งั้นก็กลับห้องได้แล้ว ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”“หนูก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์สักหน่อย อาจารย์อายเหรอคะ”“ผมเป็นผู้ชายจะอายทำไม คุณมากกว่ามั้งที่ต้องอาย”“หนูไม่อายหรอกค่ะ
เสียงดนตรีในผับดังเป็นจังหวะเร้าใจ สุพิชฌาย์กับเพื่อนๆ สนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง หญิงสาวดื่มไปหลายแก้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเมาเพราะที่ผ่านมาก็เป็นสายปาร์ตี้และดื่มจนชินแล้ว“แกจะไม่กลับไปนอนหอฉันจริงๆ เหรอรถแกก็อยู่ที่นั่นนะ”“ฝากไว้ที่นั่นก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปเอานะ”“แล้วแกจะไม่ให้ฉันสองคนนั่งรถส่งเหรอกลับคนเดียวมันอันตรายนะยิ่งเมาอยู่ด้วย” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วง“ฉันเมาที่ไหนล่ะแก”“เปียโนฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงอยากกลับคอนโดถ้าเดาไม่ผิดเพราะอยากจะไปหาอาจารย์ไนท์ใช่ไหม”“แกนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ นะใบตอง”“แต่แกบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์เขาเห็นตอนแกเมานี่”“นั่นสิ หรือแกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”“ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะเจน”“บอกฉันสองคนได้ไหม” ณัฐมลอยากรู้ว่าเพื่อนกำลังจะทำอะไรและถ้ามันเสี่ยงเกินไปเธอจะได้เตือน“ฉันจะไปขอนอนห้องอาจารย์ไนท์”“อย่านะเปียโนแกเมาแบบนี้ถ้าเกิดอาจารย์เขาฉวยโอกาสกับแกขึ้นมาล่ะ” เจนิตารีบร้องห้าม“แต่ฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น”“แต่เขาก็เป็นผู้ชายนะแก แล้วดูชุดที่แกใส่วันนี้สิ มันใช่ชุดธรรมดาที่ไหน” ณัฐมลเตือนอีกคนเพราะวันนี้สุพิชฌาย์ใส่นั้นมันเซ็กซี่มาก
สุพิชฌาย์ยังคงมาอ่านหนังสือที่ห้องของปณัยกรทุกวัน มันกลายเป็นความเคยชินอีกอย่างนอกจากการทานอาหารเย็นด้วยกัน การได้นั่งมองหน้าชายหนุ่มและอ่านหนังสือไปด้วยก็เป็นความสุขอีกอย่างของหญิงสาวส่วนปณัยกรเองนั้นการได้มองหน้าสุพิชฌาย์ขณะที่นั่งทำงานไปด้วยมันทำให้กำแพงในใจของชายหนุ่มละลายลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของตนเองออกไป เพราะมันมีอุปสรรคหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้ว่าจะสามารถจับมือหญิงสาวก้าวข้ามมันไปได้หรือเปล่า“พรุ่งนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมเปียโน”“ใช่ค่ะ”“แล้วที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดีหรือเปล่า” เขาชวนคุยเพื่อให้เธอได้พักสายตาบ้าง“หนูคิดว่าหนูทำเต็มที่ทุกวิชานะคะ ส่วนคะแนนจะได้มากจะได้น้อยมันเป็นเรื่องของอาจารย์ที่จะต้องจัดการเองค่ะ” หญิงสาวหัวเราเพราะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตนเองทำข้อสอบได้“ปกติแล้วผลการเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง”“ที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสามกว่าๆ ค่ะ หนูหัวขี้เลื่อยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่เคยหวังเรื่องเกียรตินิยมเลย” สุพิชฌาย์ตอบแบบไม่เครียด“ทำไมไปว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ เกรดเฉลี่ยมันไม่ได้วัดนะว่าเราเก่งหรือเปล่ามันอยู่ที่การนำเอาความรู้นั้นมาใช
หลังจากทานข้าวกับเพื่อนอาจารย์ในคณะเสร็จแล้วปณัยกรก็ขับรถกลับคอนโดมิเนียมในเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เมื่อมาถึงที่จอดรถก็เห็นไม่เห็นรถของสุพิชฌาย์ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะปกติเวลานี้หญิงสาวควรจะกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาเดินดูทั้งลานจอดรถเพราะคิดว่าเธอจะเอาไปจอดที่อื่นแต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นชายหนุ่มรีบเดินขึ้นมาบนห้องแล้วเคาะประตูห้องตรงข้ามและยืนรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูปณัยกรรู้สึกเป็นห่วงเขาจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเธอทันที แม้รู้ว่าสุพิชฌาย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนน่ารัก สดใส และเข้ากับคนอื่นง่ายและบางครั้งหญิงสาวก็เหมือนเด็กในร่างของผู้ใหญ่คนหนึ่งชายหนุ่มรอไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนกับทุกครั้ง“สวัสดีค่ะอาจารย์”“คุณอยู่ไหนเปียโน ทำไมผมถึงไม่เห็นรถคุณอยู่ที่คอนโดเลย” ปณัยกรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“หนูอยู่หอพักเพื่อนค่ะอาจารย์ พอดีว่าอ่านหนังสือสอบกับเพื่อนแต่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ”“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ มันดึกมากแล้วนะขับรถกลับคนเดียวได้หรือเปล่า” เขาเหลือบมองนาฬิกา
สุพิชฌาย์ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของปณัยกรในเช้าของวันใหม่หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขถึง แม้เขาจะไม่ได้นอนกับเธอในห้องนี้แต่ก็เห็นถึงความมีน้ำใจและเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถึงขั้นไล่กลับให้ไปนอนที่ห้องของตัวเองหญิงสาวค่อยๆ ย่องออกจากห้องของเขาอย่างเบาที่สุดเพื่อกลับมาที่ห้องของตนเอง เธออาบน้ำแต่งตัวและไปเรียนโดยลืมไปว่าแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือและหนังสือยังอยู่ในห้องของเขาเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยและเดินไปหาเพื่อนที่โรงอาหารสุพิชฌาย์เปิดสะพายข้างขึ้นมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบของออกมาจากห้องของอาจารย์ปณัยกรเลยสักอย่าง“เป็นอะไรเปียโนทำไมทำหน้าแบบนั้น”“ฉันลืมโทรศัพท์มือถือ”“อ้าวแล้วแกไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ลืมไว้ในรถหรือเปล่า ไม่เป็นไรจะกินอะไรเอาโทรศัพท์ฉันไปสแกนจ่ายก็ได้” ณัฐมลเสนออย่างใจดี“ฉันลืมไว้ในห้องอาจารย์ไนท์”“อะไรนะเปียโนแกไปลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องเขาได้ยังไง ปกติแกเป็นคนติดมือถือจะตาย เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาตกใจเพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนกับอาจารย์หนุ่มจะไปไกลเกินกว่าที่พวกเธอคิดไว้“แกไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกน่าเจน เมื่อคืนฉันไปอ่านหนัง







