นานนับชั่วโมง อามาร์ถึงยอมถอดถอนเนื้อร้อนออกจากร่างงามคับแน่นที่ตอดรัดคลึงตนเองหนักหน่วงออกมาด้านนอกเพื่อให้สาวเจ้าได้พักผ่อนร่างกายหลังจากที่ตนได้ตักตวงความหวานหอมของพุฒิตามาตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า
อามาร์มองใบหน้างามของแม่ยอดรักยอดเสน่หาของตัวเองแล้วหัวใจพันปีของตนเองก็เต้นแรงผิดจังหวะและยิ่งได้ครอบครองยิ่งทำให้หวงแหนคนที่หลับสนิทบนเตียง อยากจะเก็บร่างเล็กไว้ดูคนเดียวและคลอเคลียเย้าหยอกยามค่ำคืน
“ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกินพุฒิตาของข้า”
อามาร์พึมพำกับคนหลับสนิทแล้วผละลุกขึ้นลงจากเตียง จากกายเปลือยเปล่าก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมใส่ให้เรียบร้อย คราบเหงื่อไคล เนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะก็สะอาดหมดจดราวกับอาบน้ำใหม่ ส่วนคนที่หลับก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ให้เพียงแค่มือหนาสะบัดเล็กน้อยเท่านั้น
“มีแค่ความตายเท่านั้นที่จะพรากเราสองอีกครั้ง ทูนหัวของข้า” อามาร์บอกนางในดวงใจแล้วก็หายไปจากห้องเพื่อไปพบกับบาซาที่ห้องทำงานของตนเอง
บาซาเห็นสีหน้าอิ่มล้นเต็มไปด้วยความสุขของนายแล้วก็ยิ้มตามและดีใจที่ในที่สุดการรอคอยของอามาร์ก็สิ้นสุดลง และหวังเหลือเกินว่าหลังจากนี้นายของตนจะมีความสุขและไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านมา
“เรื่องครอบครัวของนางเรียบร้อยดีรึไม่บาซา”
“เรียบร้อยอามาร์” บาซาตอบ
“เจ้าว่าถึงเวลาที่ข้าจักมีตัวตนรึยัง” คนที่ซ่อนอยู่หลังม่านมาตลอดเอ่ย
“ควรค่าแล้วอามาร์”
“จัดการทุกอย่างให้ข้าด้วยบาซา พรุ่งนี้ข้าจักเปิดตัวต่อสื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าคืออามาร์ เจ้าของโรงแรมแห่งนี้” เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาทุกสื่อต่างอยากได้รูปของตนและตอนนี้ก็ควรค่าแก่เวลาที่จะเปิดเผยแสดงตนให้เห็นกันแล้ว
“ขอรับอามาร์” แล้วบาซาผู้ที่ออกหน้าแทนผู้เป็นนายมาตลอดก็หายตัวไปทันทีเพื่อไปจัดการเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยตามใจปรารถนาของอามาร์
พุฒิตาขยับไล่ความปวดเมื่อยของร่างกาย ก่อนจะปรือตาตื่นขึ้นมาตอบรับกับแสงในยามกลางวัน เธอกะพริบตาให้คุ้นชินกับแสง ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องพร้อมขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แล้วก็สังเกตว่าตอนนี้ตัวเองใส่เสื้อผ้าอยู่และเป็นชุดใหม่ไม่ใช่ชุดที่ถูกชายประหลาดเปลี่ยนให้เมื่อคืน วันนี้เธอสวมชุดเดรสลายดอกไม้สีม่วงอ่อนซึ่งเป็นแบบที่เธอชอบใส่ปกติในชีวิตประจำวัน
พุฒิตาขยับกายลุกลงจากเตียงด้วยความยากลำบากเมื่อความเจ็บร้าวกลางหว่างขาทำให้ต้องสูดปากแรงๆ และนั่นก็ตอกย้ำว่าเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมามันคือความจริงไม่ใช่ฝันละเมอเพ้อไปเอง เธอขยับลงจากเตียงก็เห็นคราบเลือดที่แห้งกรังติดบนผ้าปูเตียงนอนสีขาวก็เม้มปากแน่นแล้วน้ำตาก็อาบคลอล้นออกมานอกดวงตาไหลอาบสองแก้มนวลโดยที่เธอห้ามความรู้สึกจุกแน่นในอกครั้งนี้ไม่ได้
อึก!
เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมาจากปากน้อยที่เม้มแน่นแล้วมือน้อยก็ยกขึ้นปาดป้ายเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้มตนเองก่อนมันจะหยดลงพื้น เธอพยายามกลืนก้อนสะอื้นไว้ในอกแล้วก้าวลงจากเตียงพร้อมมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเดินไปยังระเบียงห้องเพื่อมองดูด้านนอก เพราะบรรยากาศข้างในห้องค่อนข้างโบราณ เธอพาร่างกายอ่อนแอของตัวเองเดินออกมานอกระเบียงห้องแล้วมองไปยังเบื้องหน้าตัวเองก็เห็นตึกสูงระฟ้าเต็มไปหมดและมองดูข้างล่าง รถก็แล่นตามถนนและติดขัดเหมือนปกติ ทุกอย่างข้างนอกยังคงเป็นกรุงเทพฯ ปกติไม่ได้แตกต่างไปจากที่ตนรู้จักแม้แต่น้อย แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง
“เจ้ามิต้องสงสัยพุฒิตา ทุกอย่างยังคงปกติ เพียงแต่ว่าเจ้าอยู่ในโลกมายาของข้าเท่านั้นเอง เจ้าจักมองเห็นทุกอย่างตรงหน้าเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่คนข้างนอกจักมองมามิเห็นเจ้า”
เสียงทุ้มพร่าของอามาร์ดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาสีเข้มข้างแก้มนวลเนียนจนเธอต้องหดคอถอยหนี แต่ก็ไม่อาจเดินหนีจากตรงนี้ได้เมื่อแขนแข็งแรงของชายประหลาดกอดรัดตนแน่นจากด้านหลัง พุฒิตาพยายามแกะมือหนาที่สอดประสานกันอยู่หน้าท้องแบนราบตัวเองออก แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งพยายามเขาก็ยิ่งกอดรัดแน่นราวกับว่าติดกาวตราช้างกับมือทั้งสองก็มิปาน
“อย่าพยายามในสิ่งที่เจ้ามิอาจหนีหรือปฏิเสธได้พุฒิตา” อามาร์รู้ว่านางอยากจักหนีไปจากตรงนี้และหนีไปจากตน แต่มีหรือเขาจักปล่อยให้นางจากไป ตลอดเวลาหลายพันปี เขาทรมานมามากพอแล้ว ต่อแต่นี้ไปชีวิตของเขาที่มีนางจักมีแต่ความสุข
“คุณปล่อยฉัน!” เธอไม่สนใจคำพูดจาโบราณลิเกพวกนี้ สิ่งเดียวที่สนใจคือต้องการอิสระจากผู้ชายแปลกประหลาดคนนี้
“เจ้าขอในสิ่งที่ข้าทำมิได้” แล้วเวตาลอมตะก็กอดนางแน่นจากด้านหลังแล้วยกอุ้มจนร่างเล็กลอยขึ้นเหนือพื้นพาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนโดยไม่สนว่านางจักดิ้นรนต่อต้านมิยินยอมให้ตนกอดอุ้ม
หึหึ
อามาร์แค่นขำในคอให้กับความดื้อพยศของนางในดวงใจ แม้นางจะจำอดีตของตนและนางไม่ได้ แต่เขาก็เชื่อว่าเขาจักทำให้นางกลับมา ‘รัก’ ตนอีกครั้งเหมือนในอดีตที่เคยผ่านมา
พุฒิตาพยายามดิ้นสุดแรงเกิด แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวงแขนแข็งแรงของชายผู้นี้ได้ แล้วพอมาถึงในห้องเขาก็ยอมปล่อยเธอให้นั่งลงกับเตียงโดยเขานั้นยืนมองจ้องเธออยู่ข้างเตียงจนเธอรู้สึกหนาวกับสายตาที่จดจ้องมองมาราวกับว่าเปลื้องผ้าเธอทางสายตาอยู่ก็มิปาน
“อย่ามองฉันด้วยสายตาเปลื้องผ้าแบบนี้” เธอบอกสั่งเขาให้หยุดเลิกมองตัวเองด้วยสายตาแบบนี้ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกหนาวกับสายตาคู่นี้พร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัวเร็วจนตัวเธอเองก็ควบคุมความเต้นถี่ของมันไม่ได้
“ถึงข้ามิมองจ้องแบบนี้ ข้าก็มองทะลุชุดที่เจ้าใส่ไปเห็นเนื้อหนังมังสาของเจ้าพุฒิตา เอาล่ะ ข้าว่าเรามาคุยกันดีกว่า ข้าจักแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการและจำไว้ว่าข้าคือใคร” อามาร์พูดพร้อมยกมือขึ้นกอดอกแล้วเก้าอี้ก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังแล้วเขาก็ย่อตัวลงนั่งและนั่นทำให้พุฒิตาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่แล้ว ทุกอย่างมันเหมือนไม่ใช่ความจริง มันเหมือนฝันและมันไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้ในยุคสองพันยี่สิบสองเช่นนี้
“มิต้องแปลกใจและหวาดกลัวในตัวข้าพุฒิตา เจ้าจะได้เจอทุกอย่างที่เหนือความคาดหมายกว่าที่เห็นในตอนนี้อีกยอดดวงใจข้า” อามาร์เดาสีหน้าและอ่านความคิดในหัวของนางออกทุกอย่าง
“สวยมากเลยครับพ่อ” เด็กชายอาชา เวตาลน้อยทายาทคนแรกของนายอามาร์ผู้เป็นอมตะอยู่มานานนับพันกว่าเกือบหมื่นปีพาลูกชายวัยหกขวบบินขึ้นมาดูพระจันทร์และแขนอีกหนึ่งข้างของเขาก็กอดภรรยาสุดที่รักด้วย แขนทั้งสองข้างของเขาตอนนี้มีไว้เพื่อกอดแม่ของลูกและลูกเท่านั้น ตอนนี้ในท้องของพุฒิตาก็กำลังมีลูกคนที่สองและเป็นลูกสาวด้วย “ครั้งหนึ่งพ่อเคยพาแม่เจ้ามายังที่แห่งนี้” อามาร์เอ่ยบอกลูกชาย แต่ตามองภรรยาด้วยสายตากรุ้มกริ่มและพุฒิตาก็นึกย้อนไปถึงอดีตคืนพระจันทร์เต็มดวงที่เขาพาตนขึ้นมาทำลามกหื่นกามต่อหน้าพระจันทร์ “เวตาลลามก” พุฒิตาตบอกสามีเก้อเขิน หึหึ “ก็เจ้าทำให้ข้าอดใจมิไหวนี่เมียข้า อาชาลูกรักของพ่อ ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องแสดงฝีมือให้พ่อกับแม่ดูแล้ว” อามาร์บอกลูกชายพร้อมกับปล่อยแขนข้างที่กอดอุ้มหนูน้อยแล้วเวตาลน้อยลูกครึ่งมนุษย์ก็มีป
“มันจริงเหรอยัยตา” ปพนถามลูกสาวและพุฒิตาก็พยักหน้าตอบยืนยันคำพูดของเวตาลเจ้าเล่ห์ “ฉันจะเป็นลมคุณปพน” นางทิพย์ยกมือทาบอกเอนหัวซบไหล่สามี คนเป็นสามีก็โอบไหล่ลูบปลอบ “หนูขอโทษนะคะคุณพ่อคุณแม่ แต่หนู ‘รัก’ คุณอามาร์ค่ะ และตอนนี้หนูก็กำลังท้องกับเขา”พุฒิตายอมรับความรู้สึกตัวเองต่อหน้าท่านทั้งสองแล้วเคลื่อนตัวลงจากโซฟาไปนั่งยังพื้นพรมแล้วยกมือพนมขึ้นแนบอกก่อนจะก้มลงกราบ ส่วนอามาร์ผู้ไม่เคยก้มหัวและกราบไหว้เท้าใครก็ทำตามแม่ยอดดวงใจเพื่อขอขมาทั้งสองที่ล่วงเกินลูกสาวของทิพย์กับปพน “ผมขอรับผิดชอบพุฒิตากับลูก ยกเธอและลูกให้ผมนะครับ” น้ำเสียงหนักแน่น แววตาที่จริงจังเมื่อได้สบตาทำให้ปพนต้องหันมาสบตาภรรยาแล้วก็ถอนหายใจ “เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับความจริงนะคุณ ถึงแม้จะไม่ชอบนายอามาร์ แต่ลูกเราท้องกับเขาแล
ปกติแล้วลูกสาวเป็นคนตื่นเช้าและไม่เคยเข้าบริษัทสาย แต่วันนี้รถยังจอดอยู่ นางกับสามีกลับมาจากทำบุญที่วัดก็ถามเด็กรับใช้ พอรู้ว่ายังอยู่บนห้อง นางและสามีก็ขึ้นมาเคาะประตูปลุกเอง ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ปพนเคาะประตูห้องเมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องของลูกสาว “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” สามีเป็นคนเคาะประตู ทิพย์เป็นคนเอ่ยถาม เงียบ! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ลูกสาวยังไม่ตอบ ปพนก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องอีกครั้งและก็เงียบเหมือนเดิม “เป็นอะไรรึเปล่ายัยตา ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงานลูก ไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้นะ” ทิพย์เอ่ยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ก๊
“ว้าย! คุณอามาร์ คุณทำไมยังอยู่ แล้วมันกี่โมงแล้ว” เธอมองเห็นเขานั่งคุกเข่าซบหน้ากับท้องตนเองก็รีบผลักไสแล้วก็ถาม “แปดโมงกว่า” เขาตอบเธอสั้นๆ “แล้วทำไมไม่ปลุกฉัน แล้วทำไมคุณไม่กลับไป อยู่ทำไมอีก” “ข้าจักมิไปไหนทั้งนั้นเมียข้า เจ้ารู้รึไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีเวตาลน้อยให้ข้าพุฒิตา ข้าดีใจเหลือเกินเมียรักของข้า” อามาร์ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงแล้วประคองคนตัวเล็กลุกขึ้นมานั่งพิงซบอกตนเองพร้อมกอดเอวเล็กคอดหลวมๆ คำพูดของอามาร์ทำให้เธองงไม่เข้าใจว่าเวตาลตนนี้พูดอะไรกันแน่ “คุณหมายถึงอะไรคุณอามาร์” “เจ้ามิรู้รึว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีลูกกับข้ายอดรัก” พุฒิตานิ่งอึ้งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้รู้ เขารู้ได้ยังไงว่าเธอ ‘ท้อง’ ขนาดตัวเธอเองยังไม
บาซากลับมาหาแม่คนงามของตนเองที่คอนโดห้องพักของนางในกลางดึก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับนักข่าวสาวได้มีความคืบหน้าขึ้นกว่าเดิมจากที่สร้างภาพฝันให้นางหลงเข้าใจผิดก่อนหน้า บาซาก็เปลี่ยนเป็นมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวแบบคนปกติทั่วไปตามคำแนะนำของนายท่านตน “มีอะไรรึเปล่าคะคุณบาซา” พิมพ์พรเอ่ยถามคนที่มาเคาะประตูห้องตนในเวลาดึก “ผมขอเข้าไปคุยในห้องได้ไหมพิมพ์พร” บาซาไม่ตอบ แต่ขอเข้าห้องสาวตรงหน้า “ฉันว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ ในห้องฉันไม่สะดวก”ก็ห้องของเธอรกยังไม่ได้เก็บกวาด ไม่พร้อมให้ชายหนุ่มเห็นสภาพห้องตอนนี้ “แต่ผมสะดวก”แล้วบาซาก็ผลักเจ้าของห้องเข้าไปในห้องแล้วตัวเองเดินเข้าห้องตามพร้อมปิดล็อกประตูสนิท “คุณบาซา”เธอเรียกเขาพร้อมวิ่งไปขวางทางไม่ให้เขาเดินต่อ แต่ไม่ทันแล้วเขาเห็นสภาพห้องรกๆ ของเธอแล
พุฒิตาสะดุ้งตื่นกลางดึกรีบใช้มือเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงลมพัดตีหน้าต่างของตนเองจนเสียงดัง เธอว่าเธอปิดและล็อกหน้าต่างดีแล้ว แต่ทำไมหน้าต่างถึงเปิดออก พอลงจากเตียงไปจะปิดหน้าต่างก็เห็นอามาร์บินอยู่ด้านนอกหน้าต่างตรงหน้า “คุณ!” “ข้าเองพุฒิตา” บรั่นดีขวดเดียวมิสามารถทำอะไรเขาได้ อามาร์บินมาหยุดตรงหน้าคนที่อยู่ในห้องแล้วก็ยื่นแขนออกไปกอดอุ้มนางออกมานอกห้อง ว้าย! เธอตกใจเมื่อถูกกอดอุ้มลอยออกนอกหน้าต่าง สองมือน้อยรีบกอดเอวสอบ “ข้าจักพาเจ้าไปดูโลกที่ข้าอยู่” แล้วอามาร์ก็พาแม่ยอดดวงใจบินร่อนขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบน แม้ว่าเธอจะหวาดกลัวในตอนแรก แต่พุฒิตาก็มั่นใจว่าอามาร์จักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ลืมตาและมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเมียข้า” อาม