“แต่....” ยังไม่ทันรอให้ฉันพูดจบก่อน หลิวหลงถิงก็หรี่ตาลงมองมาที่ฉันในทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ที่หากว่าถ้ามีข้อโต้แย้งก็เหมือนรนหาที่ตาย แค่ฉันเห็นอารมณ์บนใบหน้าของเขา ฉันก็กลัวจนรู้สึกหายใจไม่ออก แต่พอนึกได้ว่าชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองยังอยู่ในมือเขา ต่อให้รู้สึกไม่มีความสุขแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจในเช้าวันต่อมา หลังจากที่ย่าทานอาหารเช้าเสร็จ ท่านก็แวะไปคุยกับเพื่อนบ้าน ส่วนฉันก็นอนอยู่บ้าน ร่างบางสวมชุดนอนเอนตัวอย่างเกียจคร้านอยู่บนโซฟา ในใจก็
หวังหงพูดเหมือนกับว่าฉันไปติดหนี้อะไรเขาไว้เลยฉันรู้สึกไม่สบายใจทันที พลันรีบไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด “ถ้าฉันไม่ใจดีแล้วนายมาหาฉันทำไม ไป ไป ไป นี่ฉันเห็นแกความเป็นเทพบุตรประจำโรงเรียนหรอกนะ ถึงให้นายเข้ามานั่งกินน้ำกินท่าแบบนี้ ไม่อย่างนั้น แม้แต้หน้าประตูหน้าบ้าน ฉันก็ไม่ให้นายเข้ามาหรอกนะ!”“ป๋ายจิ๋ง ทำไมเธอกลายเป็นคนหยาบคายได้ขนาดนี้ล่ะ เธอฟังฉันนะป๋ายจิ้ง...”หวังหงยังคงยืนอยู่ด้านนอกประตูเพื่อจะขอร้องฉัน เห็นแบบนั้นฉันจึงรีบปิดประตูอย่างเร็ว ฉันขี้เกียจที่จะฟังเขาพูดจาบังคับขู่เข็ญแล้ว
“จริงเหรอ ต่อไปเจ้าจะไม่สร้างปัญหาอีกแล้วใช่มั้ย?” หลิวหลงถิงถามฉันกลับฉันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วตอบว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ฉันจะฟังเขาทุกอย่างได้ยินแบบนั้น หลิวหลงถิงถึงได้ยอมพักยก พลันความเจ็บปวดที่ท้องก็ค่อย ๆ หายไป หลิวหลงถิงยื่นมือมาประคองฉันลุกขึ้นจากพื้น เขายื่นมือมาลูบผมฉันให้เรียบ เหมือนกำลังปลอบโยน แต่คำพูดของเขานั้นทำเอาฉันขนลุกขนพองทันที “เจ้าเจ็บจนหน้าซีดไปหมดแล้ว ถ้ารู้แต่แรกแล้ว เมื่อกี้เจ้าน่าจะเชื่อฟังข้าดี ๆ จะได้ไม่ต้องทนเจ็บขนาดนี้ เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ พวกเรา
ในตอนนี้ฉันรู้สึกกลัวมากจนหัวใจแทบจะออกมาเต้นอยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวหลงถิงอยู่ในร่างฉัน ป่านนี้ฉันเดาว่าตัวเองคงไม่สามารถยืนนิ่งได้แบบนี้แน่นอนเราทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เกือบสิบวินาที ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบางอย่าง พลันใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าตื่นตระหนกในทันที หล่อนสลัดมือออกจากหลี่จวนและกำลังจะลอยหนีไปที่กำแพง แต่แน่นอนว่าหลิวหลงถิงย่อมไม่ให้โอกาสหล่อน เขาร่ายคาถาบางอย่างด้วยความรวดเร็ว และทันใดนั้นก็ตบฝ่ามือกับผนังอย่างแรง ราวกับสร้างเคร
“พอเลย ๆ ใครจะให้คุณมาหากัน รีบปล่อยฉันเลย ทะลึ่ง!” ฉันดึงมือออกจากมือของหลิวหลงถิงอย่างแรง หลิวหลงถิงมองลงมาที่ฉันพลางผุดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย นัยย์ตาสีดำของเขาเหมือนหุบเขาลึกสุดลูกหูลูกตา ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งหลิวหลงถิงปล่อยมือออกจากฉัน โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่ แถมยังบอกฉันให้จำสิ่งที่เราพูดกันเมื่อครู่ไว้ ฉันเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปเปิดประตูให้หวังหงเข้ามาทันทีที่หวางหงเข้ามา เขาก็ไม่ได้สนใจเราอีกต่อไป เขารีบเดินไปหาภรรยาและถามฉ
“เทพภูเขาวิวาห์?”นี่ไม่ใช่หนังในละครทีวีบางเรื่อง หรือเป็นเค้าโครงเรื่องเล่าบางเรื่อง ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้ในปัจจุบันอยู่อีก?"ไม่เคยนะคะ มีแต่เคยอ่านในหนังสือ" ฉันตอบย่าไป“เมื่อวานนี้ย่าลงไปคุยเล่นที่บ้านของย่าหลี่ที่อยู่ชั้นล่าง ย่าหลี่ของหนูบอกย่าเกี่ยวกับประเพณีแปลก ๆ ในบ้านเกิดของเธอ เธอพูดว่ามันเป็นประเพณีของพวกเขาที่ทุก ๆ สิบปีจะเลือกเด็กสาวที่อายุต่ำกว่าสิบสามปีให้แต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา เธอบอกว่าการแต่งงานนั่นจะสามารถปกปักรักษาพวกเขา และช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งปราศจา
“แต่ต่อให้เป็นเทพ โดยเฉพาะเทพแห่งขุนเขาหรือเทพแห่งสายน้ำ การที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกมนุยษ์ได้นั้นเพราะความศรัทธาของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ศรัทธาในตัวพวกเขามากเท่าไหร่ พลังของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ถ้ามีมนุษย์บอกว่าพวกเขาเป็นปีศาจ พวกเขาจะเป็นปีศาจ เมื่อชาวบ้านในที่นั้นหมดศรัทธาในเทพแห่งขุนเขาแล้ว เหล่าเทพแห่งขุนเขาจะถอดความเป็นเทพเจ้าออกไป และพอไม่มีกำลังความศรัทธา เขาเองก็เป็นจะผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาลองดูกันก็ได้”แต่ถึงอย่างไรก็ฉันที่ไปสู้กับเทพเจ้าแห
ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยจริง ๆ! คาดไม่ถึงหลิวหลงถิงจะให้ฉันถวายตัวเป็นเครื่องเซ้นไหว้แด่เทพเจ้าแห่งขุนเขา!“ไม่ใช่ว่าการเซ้นไหว้เทพเจ้าแห่งขุนเขานี้จะต้องใช้เด็กผู้หญิงอายุสิบสามปีเต็มหรือ? ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ และก็คงไม่เข้าตาเทพแห่งขุนเขาหรอก” ฉันพูดกับหลิวหลงถิง“ทำได้แน่นอน ต่อให้เจ้าจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยหลายพันปีแล้วก็ตาม มันก็เป็นแค่การประมาณอายุคร่าว ๆ เท่านั้น อายุสิบสามและยี่สิบปี หน้าตาไม่ต่างกันเลย แต่สิ่งที่ทำให้แบ่งแยกได้ก็คือลักษณะทางกายภาพของพวกเขา เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบสามจะ