อีกด้าน..
“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนี้เนี่ยยัยดาว”
แพรไหมที่เห็นสภาพเพื่อน เลอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลเต็มเสื้อนักศึกษากล่าวทักขึ้นทันทีที่เจอหน้ากัน
“ฟัดกับหมามายังไม่เสียใจเท่ากับ โดนไอ้ขยะเปียกปล่อยสารพิษใส่เลย”
หญิงสาวบ่นอย่างหัวเสีย เมื่อต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่
“ไอ้ขยะเปียก” แพรไหมทวนคำอย่างงุนงง พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถาม
“ก็ซวยน่ะสิแก ตอนออกจากร้านกาแฟ เจอคนบ้าที่ไหนไม่รู้ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือผลักประตูพุ่งเข้ามาชนฉัน จนกาแฟหกใส่เนี่ย” หญิงสาวเล่าก่อนจะบ่นต่อ
“พูดแล้วก็ยังไม่หายโมโหเลยนะ ขอโทษสักคำยังไม่มีเลยแถมยังจะมาโทษว่าเป็นความผิดของฉันอีก ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิดเองแท้ ๆ ที่เปิดประตูเข้ามาทั้งที่ป้ายก็ติดว่าให้ดึง ไม่ขอโทษไม่ว่า ยังจะเอาเงินมาฟาดหัวกันอีก เกลียดจริง ๆเลยคนแบบนี้”
นิศราบ่นอย่างหาที่ระบาย อารมณ์ตอนนี้เธอหงุดหงิดมาก เพราะต้องไปส่งงานอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในสภาพนี้ เพราะไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว
“แล้วทำไมถึงได้โกรธขนาดนี้เนี่ย คงไม่ใช่แค่เพราะชุดเลอะใช่มั้ย”
แพรไหมถามเพื่อนรักที่ ปกติเป็นคนไม่ค่อยถือสาใคร ยิ่งหากเป็นแค่อุบัติเหตุเพื่อนของเธอ น่าจะให้อภัยกับเรื่องแค่นี้ได้ นี่คงมีอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ
“โกรธเพราะเขาไม่ขอโทษ แถมถามฉันด้วยนะ ‘เธอรู้มั้ยว่าเสื้อตัวนี้มันราคาเท่าไหร่’ ฉันฟังแล้วขึ้นเลยพูดแล้วก็หงุดหงิด”
คนเล่าที่อารมณ์โกรธยังไม่จาง เล่าไปด้วยก็บ่นไปด้วย แถมล้อเลียนเสียงและท่าทางของชายหนุ่มที่เจอวันนี้ให้เพื่อนดู
“ฮ่าๆๆ เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก มันคงเป็นแค่อุบัติเหตุ อย่าอารมณ์เสียไปเลย” คนฟังก็ขำกับท่าทางของเพื่อน ก่อนจะปลอบให้อารมณ์เย็นลง
“ไม่ตั้งใจก็ต้องขอโทษสิ นี่ไม่ปริปากพูดออกมา แถมยังมีหน้าจะให้คนอื่นรับผิดชอบอีก ฉันยอมคนประเภทนี้ซะที่ไหนล่ะถามหาความรับผิดชอบมา ฉันก็เลยจัดให้เลย”
รอยยิ้มน้อย ๆ เริ่มผุดออกมาข้างแก้มของคนเล่าอย่างพอใจ
“แล้วเขารับผิดชอบแกยังไง”
“หุหุ ตอนที่เขาถามฉันว่าจะเอาเท่าไหร่ ฉันก็เลยตอบเสียงดังฟังชัดไปว่า ฉันไม่ได้ต้องการเงินของเขา ก่อนจะสาดกาแฟที่เหลือในแก้วนั่นแหละใส่ไปเลย ไหน ๆก็เลอะแล้วก็ให้มันเลอะไปด้วยกันนั่นแหละแฟร์ดี”
นิศราเล่าไปก็ยิ้มสะใจไปด้วย แต่ทำเอาคนฟังถึงกับตกใจและส่ายหัวเลยทีเดียว
“ไอ้ดาว แกนี่มันร้าย ฉันล่ะสงสารคู่กรณีของแกจริง ๆ”
“ไม่ต้องไปสงสารเลยแก ต้องสมน้ำหน้าสิถึงจะถูก ขอโทษก็จบละ ดันมาอวดร่ำอวดรวยก็ต้องเจอแบบนั้นแหละ”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องโกรธแล้ว ทีนี้จะเอายังไงต่อชุดเลอะหมดแล้ว ต้องไปส่งวิทยานิพนธ์ไม่ใช่เหรอ”
“เออจริงด้วย ..ลืมไปสนิทเลย ตายแล้ววิทยานิพนธ์ของชั้น”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีภารกิจสำคัญ หญิงสาวก็ลุกลี้ลุกลนหยิบกระเป๋าผ้าที่ใส่เล่มวิทยานิพนธ์ขึ้นมาดู หากเลอะกาแฟไปด้วยเธอต้องซวยแน่ ๆ ล่ะทีนี้
“ขอบคุณ คุณพระ คุณเจ้า” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังหยิบเล่มวิทยานิพนธ์ขึ้นมาดูแล้วพบว่ายังปลอดภัยดีเช่นเดิม
“เป็นยังไงบ้างเลอะมั้ย” แพรไหมที่ลุ้นไปด้วยเอ่ยถาม
“ปลอดภัยดีจ๊ะ งั้นฉันไปก่อนนะเดี๋ยวจะไม่ทันไว้เจอกัน”
ทันทีที่คิดได้ว่าต้องรีบไปก่อนจะหมดเวลารับเอกสารไม่อย่างนั้นเธอต้องเรียนซ้ำชั้นกับรุ่นน้องอีกปีเป็นแน่
“เดี๋ยวสิดาว จะไปทั้งแบบนี้นี่นะ”
“อืม ไม่มีเวลาแล้วเดี๋ยวโทรหานะ”
ไม่รอฟังคำตอบ นิศราก็รีบวิ่งไปโบกแท็กซี่แล้วขึ้นรถออกไปเลย ปล่อยให้เพื่อนรักยืนมองตามหลังอย่างเอาใจช่วย
แพรไหมและนิศราเป็นเพื่อนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลทางบ้านทำให้นิศราต้องดรอปเรียนในปีสุดท้าย ทำให้จบช้ากว่าเพื่อนๆ คนอื่น
อากาศที่ถูกปกคลุมด้วยเหล่าก้อนเมฆสีดำเมื่อช่วงเช้า มาตอนนี้กลายเป็นกลุ่มเมฆฝนปกคลุม ไปทั่วบริเวณที่เธออยู่ ตลอดทางที่นั่งรถมา ทั้งลมทั้งฝนโหมกระหน่ำตกลงมายังกับมีพายุเข้าทำให้การจราจรติดยาวเป็นรถไฟ
หญิงสาวเริ่มนั่งไม่ติดเพราะเวลาเหลือน้อยลงทุกที ตอนนี้รถแทบจะไม่ขยับเลย เดิมทีเธอเผื่อเวลาไว้คุยกับเพื่อน ๆ รุ่นน้อง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงาน แต่ตอนนี้แค่ไปส่งงานให้ทันเวลาก็พอ -วันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายของเธอจริง ๆ- หญิงสาวคิด
รถแท็กซี่แล่นมาจอดยังจุดหมาย นั่นคือมหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่ สายฝนที่ตกหนักเมื่อสักครู่ก็เริ่มตกเบาบางลง แต่ในบริเวณมหาวิทยาลัยก็ยังคงมีเม็ดฝนปรอยลงมาอย่างต่อเนื่อง และมีคลื่นน้ำบนถนนของมหาวิทยาลัย ทำให้หลายช่วงเกิดเป็นคลื่นสึนามิขนาดย่อม จากน้ำที่ขังรอการระบายเมื่อมีรถวิ่งผ่านสวนกัน จะเกิดคลื่นซัดเข้าหาฟุตบาทเป็นช่วง ๆ
เธอคงเดินริมถนนไม่ได้เสียแล้ว ไม่อย่างนั้นสภาพคงแย่กว่านี้ เมื่อลงจากแท็กซี่ได้หญิงสาวรีบวิ่งเข้าตึกของคณะที่ใกล้ที่สุดก่อนทันที เพื่อไม่ให้เอกสารที่เตรียมมาส่งเปียก จากนั้นค่อยเดินทะลุผ่านตึกจนในที่สุดเธอก็มาถึงคณะที่เธอเรียน โดยที่ของสำคัญยังคงปลอดภัย
“นักศึกษา ทำไมมาสภาพนี้” อาจารย์ในคณะที่เห็นสภาพดูไม่ได้ของลูกศิษย์ตน เอ่ยถามขึ้นทันที
“เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อยค่ะอาจารย์ หนูมาส่งเล่มวิทยานิพนธ์ค่ะ”
“จ๊ะ เข้ามาก่อน เอานี่เช็ดผมซะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
อาจารย์สาวยื่นผ้าขนหนูสีขาวให้ลูกศิษย์ ก่อนจะก้มลงตรวจเอกสารให้ เธอรับมาอย่างขอบคุณ
“เรียบร้อยแล้วนะ อาจารย์ยินดีด้วยในที่สุดก็จบสักทีต่อไปก็ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะ”
“หนูต้องขอบคุณอาจารย์มาก ๆ เลยนะคะ ที่ช่วยเหลือหนูตลอดสองปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ได้อาจารย์ช่วยหนูก็คงยังไม่จบ”
“เป็นหน้าที่ของอาจารย์ ที่ต้องส่งลูกศิษย์ให้ถึงฝั่ง แต่ทั้งหมดนี่เป็นเพราะความขยันอดทนของตัวหนูเอง อาจารย์แค่ช่วยในเรื่องที่ช่วยได้ ต่อไปก็เริ่มต้นชีวิตใหม่นะ ที่ผ่านมาก็ถือซะว่าเป็นบทเรียนให้ชีวิตเราแข็งแกร่งขึ้น อาจารย์เชื่อว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้นักศึกษาโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่สู้จนทำให้ชีวิตแย่ลงมากกว่านี้อีก เอาข้อดีเหล่านี้มาปรับใช้กับชีวิตนะ อาจารย์เอาใจช่วย”
อาจารย์พูดพร้อมลูบศีรษะลูกศิษย์สาว ด้วยความเอ็นดู เธอรู้ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ของตนต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องใช้ความพยายามและอดทนมากแค่ไหน ถึงมีวันนี้ได้
“ขอบคุณค่ะ หนูกลับก่อนนะคะ”
นิศรากล่าวด้วยความซาบซึ้งใจก่อนปาดน้ำตา เดินจากไปเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆ เธอเป็นคนเดียวในรุ่นที่จบช้ากว่าเพื่อน ๆเพราะปัญหาของครอบครัว ทำให้เธอต้องดรอปเรียน
เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับเธอต่างเรียนจบ มีงานทำกันหมดแล้ว การต้องเรียนกับรุ่นน้องและจบหลังเพื่อนทำให้เธอรู้สึกกดดันว้าเหว่มาก แต่ก็อดทนจนผ่านมันมาได้ มองทุกอย่างให้เป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้ใครต่อใครจะพูดถึงเธอในทางที่ไม่ดีบ้างก็ตาม
สองปีแล้ว สองปีเต็ม ๆ กับชีวิตที่พลิกผันของเธอจากลูกคุณหนูที่มีพร้อมทุกอย่าง ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยต้องพบเจอความยากลำบากเลยสักครั้ง เธอถูกเลี้ยงมาดั่งไข่ในหินจนกระทั่งธุรกิจของบิดาถูกเพื่อนรักที่ไว้ใจ หักหลังโกงเงินบริษัทจนทำให้บริษัทโดนฟ้องร้อง และมีปัญหาด้านการเงิน ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย พี่ชายคนเดียวของเธอจึงต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน ยอมทิ้งความฝันของตัวเอง มาบริหารบริษัทที่กำลังจะไปไม่รอด เป็นบริษัทที่บิดาและมารดาของเธอสร้างมาด้วยกัน
ทรัพย์สินเกือบทั้งหมดที่บิดาสร้างไว้ ถูกขายมาใช้หนี้บางส่วนนำมาใช้จ่ายหมุนเวียนในบริษัท ที่มีพนักงานหลายร้อยคนฝากชีวิตเอาไว้
ทั้งเธอและพี่ชายจึงต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมด มาช่วยกันแก้ไขปัญหาและบริหารงานจนบริษัทดีขึ้น การเรียนจบจึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในชีวิตเธอที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้โดยไม่มีอะไรค้างคาใจ
หญิงสาวมีวุฒิการศึกษาที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับหน้าที่การงาน ที่ตนเองรับผิดชอบในบริษัทได้ เธอจบ Interior Design ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญของบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน
ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ ความคิดแปลกใหม่ ทำให้สองพี่น้องต้องช่วยกันพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน เพื่อให้พนักงานในบริษัทรวมถึงคู่ค้ามั่นใจและเชื่อมั่น เมื่อธุรกิจเริ่มดีขึ้นก็ต้องหาต้นตอของคนที่ทำผิด เพื่อเรียกชื่อเสียงของบริษัทที่เสียไปกลับมาให้ได้
‘บ้าเอ๊ย วันซวยแท้ ๆ โดนกาแฟเหนียว ๆ แล้วยังมาโดนฝนต่ออีก’ นิศราสบถกับตัวเองในใจ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาพี่ชาย
“พี่ดินเลิกงานหรือยังคะ แวะมารับดาวได้มั้ยดาวอยู่ร้านเครื่องเขียนใกล้ ๆ มหาลัย ฝนตกหนักมากเลยค่ะ”
“โอเคพี่อยู่ใกล้ ๆ พอดี เข้าไปรอในร้านก่อนนะพี่จะรีบไป”
ฝนทยอยตกลงมาไม่ขาดสาย หลังจากตั้งเค้ามาแต่เช้าหญิงสาวที่ตัวเลอะตั้งแต่เช้า เจอฝนที่มาสมทบอีกทำให้รู้สึกตัวเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว ยิ่งเห็นสภาพตัวเองยิ่งนึกโมโหคนที่ทำให้เธอต้องเดินตัวเหนียวทั้งวันแบบนี้
นิศราหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อให้ตนเองใจเย็นลง ก่อนวิ่งเข้าไปในร้านหนังสือ เดินเลือกซื้อของรอพี่ชายมารับ ขณะเดียวกันชายหนุ่มอีกคน ยืนมองหญิงสาวที่ตนเจอเมื่อเช้าในชุดเดิม
เขาเห็นตั้งแต่เธอยังยืนอยู่หน้าร้าน สภาพไม่ต่างไปจากเมื่อเช้าเลย นึกแปลกใจทำไมเธอถึงยังไม่เปลี่ยนชุดใหม่ แต่ยังคิดไม่ทันจบก็เห็นชายอีกคนวิ่งเข้ามา ถอดเสื้อสูทที่ใส่มาสวมคลุมให้เธอพร้อมโอบไหล่ประคองพาเธอเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
ก่อนจะพากันเดินออกจากร้านไป ‘ที่แท้ก็เด็กเสี่ย แต่ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงหน้าคุ้นจังว่ะ’ ธีรวัฒน์คิดในใจ
เช้าวันต่อมาประภาสเดินทางมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันมานานเป็นสิบปี พร้อมนคินทร์ทั้งสองสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพูดคุยอัปเดตชีวิตในช่วงที่ไม่ได้ติดต่อกัน รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของลูก ๆ ช่วงที่ผ่านมาอย่างสนุกสนานทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก“พวกเรามันแก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำให้อยู่ต่อได้ก็คือเห็นลูก ๆ มีความสุขไม่มีเรื่องทุกข์ใจนั่นแหละ” ประภาสว่า“อืม เห็นพวกเขาเติบโตมีงานการที่ดีทำ พ่ออย่างเราก็สบายใจนอนตายตาหลับแล้ว”“ถ้าเจ้าโจกลับไปทำงาน แล้วแกเหงาไม่มีเพื่อนก็มาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ ต่อไปยัยดาวก็ต้องออกเรือน ฉันก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน”“ฮ่า ๆ แบบนั้นก็ดีนะไม่เหงาดีด้วย แต่ฉันยังมีหลาน ๆทางโน้นไม่มีเวลาเหงาหรอก ถ้าจะให้มาอยู่กับแก ก็คงต้องคิดถึงหลานทางนั้นจนไม่เป็นอันทำอะไรเป็นแน่”“ก็ถ้าเหงาไง ให้มาอยู่ด้วยกัน”“ฮ่า ๆ ไอ้เรื่องอยู่ด้วยกันไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือ ตอนนี้แกน่าจะเหงานะเพื่อน ให้หนูดาวหรือตาดินรีบแต่งานสิ จะได้มีหลานมาวิ่
สามชั่วโมงที่นิศราหายออกจากห้องไป และไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ ทำให้ธีรวัฒน์หงุดหงิดใส่ทุกคนเป็นการระบายอารมณ์ ไม่เคยมีใครปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้มาก่อนเธอเป็นคนแรกที่กล้าทำแบบนี้กับเขา แถมไปไม่บอกไม่อธิบายอะไรเลย เขาไม่พอใจเธอมากภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายไป หญิงสาวเดินจับมือชายอื่นต่อหน้าต่อตาเขาออกจากห้องไป ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาอยู่เลยตอนนี้เขานอนไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป็นสุข ต้องลุกเดินไปมา นคินทร์ก็ไม่ได้บอกเพื่อนว่าหญิงสาวอยู่เพียงห้องข้าง ๆ เท่านั้นเอง แต่หากเขารู้ว่าเธออยู่ห้องข้าง ๆมีหวังได้เดินไปอาละวาดพาตัวน้องสาวเขากลับมาเป็นแน่นคินทร์เอาแต่นั่งยิ้มอย่างสะใจ มองคนป่วยวุ่นวายหัวใจเดินวนไปวนมาภายในห้องอย่างอารมณ์ดี“มึงหยุดเดินก่อนได้มั้ยว่ะไอ้ธีร์ กูเวียนหัว” เมื่อเห็นเพื่อนเดินไม่หยุดก็อดรำคาญไม่ได้“มึงไม่เห็น ดาวจับมือไอ้ผู้ชายคนนั้น เดินออกไปเลยนะเว้ยต่อหน้ากู จะให้กูนอนเฉย ๆได้ยังไง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“มึงอะ คิดมากเกินไปเขาบอกเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนสิวะ มึงพูดแบบนี้แสดงว่า
ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มที่นั่งหน้าตึงรอเธอกลับเข้าไป แต่บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าห้องก็ยืนมองทั้งสองคุยกันอย่างออกรส ใจก็ลุ้นให้นิศรารีบกลับเข้าไปในห้องโดยเร็ว เพราะพวกเขาก็ถูกคนในห้องกดดันมาให้รีบพาเธอเข้าไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าแทรกกลางบทสนทนาของทั้งคู่ ที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ต่างเกี่ยงกันจนมีชายหนึ่งคนถูกเพื่อนผลักออกมาด้านหน้า ทำให้หญิงสาวหันไปมองและต้องสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของพวกเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” นิศราหยุดการสนทนาลงแล้วหันไปถามด้วยความสงสัย“เอ่อ คือเจ้านายรอคุณดาวอยู่ด้านในครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งบอกเมื่อได้โอกาสที่เพื่อนทั้งสองสร้างให้ ด้วยสีหน้าสำนึกผิดที่เสียมารยาทต่อเธอ“ค่ะ ดาวกำลังจะเข้าไปพอดี”เธอบอกอย่างอ่อนโยน บอดี้การ์ดหนุ่มจึงโค้งศีรษะรับอย่างสุภาพและโล่งใจที่หญิงสาวไม่ต่อว่า“โจงั้นเราเข้าไปข้างในก่อนนะ จะเข้าไปด้วยกันมั้ย” เธอหันมาถามเพื่อน“ยังดีกว่า เดี๋ยวเราจะไปคุยกับคุณหมอ เรื่องอาการของพ่อก่อน”“ถ้าอย่าง
เช้าวันที่สองของการอยู่โรงพยาบาลวันนี้นิศราตื่นเช้ากว่าคนป่วย จึงออกมาเดินสูดอากาศด้านนอก ปล่อยให้คนป่วยได้นอนหลับพักผ่อนยาว ๆขณะที่เดินเล่นมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ทำให้ไม่ทันระวังเดินชนเข้ากับใครบางคน“อุ๊ย..”“ ขอโทษครับเป็นอะไรหรือเปล่า”“ไม่เป็นอะไรค่ะ แล้วคุณละคะ...เอ๊ะ” นิศราชะงักเมื่อใบหน้าของชายตรงหน้าช่างดูคุ้นชินอย่างกับเธอเคยเห็นเขามาก่อน“ดาวว” ชายที่เดินชนเธอเมื่อสักครู่เป็นฝ่ายจำได้ก่อนโดยตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยสีหน้าที่ดีใจ“โจ เหรอ” ทันทีที่ได้ยินเสียงเธอก็จำได้ สีหน้าดีใจไม่แพ้กัน“ใช่นะสิ โชคดีจังที่เจอที่นี่” ชายหนุ่มตอบด้วยความดีใจ คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอที่นี่ หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี“ฮ่าา โจจริง ๆด้วย กลับมาไทยตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอถามในขณะที่ทั้งสองสวมกอดกันด้วยความคิดถึง หลังไม่ได้เจอกันนาน ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน สนิทสนมเป็นเหมือนคนในครอบครัวกันเลย“พึ่งลงเครื่อ
“ครับ ๆผมก็แค่ตอบคำถามเจ้านายเองนะครับ” พูดแล้วก็มองหน้าเจ้านายอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาที่แข็งกระด้างนั้นแล้ว เขาคิดว่าควรที่จะไปจากตรงนี้ก่อนเสียดีกว่า“ไม่แซวแล้วครับบบ ผมไม่กวนทั้งสองคนแล้ว” พูดจบก็เดินถอยออกมา ก่อนไปก็แวะกระซิบเตือนหญิงสาวเสียหน่อย แต่พูดเสียงดังตั้งใจให้คนถูกนินทาได้ยินด้วย“เจ้านายผมรุกเก่งนะครับ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”“ไอ้วิทย์” ธีรวัฒน์เรียกเสียงเข้มเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย“ไปแล้วคร๊าบบบ”“ขอบคุณนะคะ ดาวจะระวังตัวให้มาก ๆ” นิศรารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เลขาหนุ่มเป็นการลา“ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณดาวดูแลท่านด้วยนะครับ ผมจะให้บอดี้การ์ดอยู่เฝ้าหน้าห้องสองคน ขาดเหลืออะไรบอกพวกเขาได้เลย”“ค่ะ พี่วิทย์ไปพักเถอะ ดาวจะดูแลพี่ธีร์ให้เองสัญญาว่ายุงสักตัวก็จะไม่ให้มากัดเลย” เธอบอกเสียงใสจากนั้นวรวิทย์ก็กลับบ้านไปพักผ่อน เพราะตั้งแต่เมื่อคืนเขาเองก็ยังไม่ได้นอนเลย“แฟนพี่นี่ทั้งน่ารักและจิตใจดีจัง” ได
เย็นวันเดียวกันนิศราเดินทางกลับมายังโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าไข้ชายหนุ่มอีกครั้ง เธอมาในเสื้อผ้าชุดใหม่พร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว เตรียมมาสำหรับเฝ้าไข้คนป่วยอีกหลายวัน“นี่จะย้ายบ้านไปไหน ลากกระเป๋าใบใหญ่มาเชียว”นคินทร์แซวน้องสาวที่พึ่งเดินเข้ามาเขารู้ว่าเธอเตรียมมาเฝ้าไข้คนป่วย ที่ต้องรักษาตัวที่นี่อีกหลายวัน แต่ไม่จำเป็นต้องขนกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาก็ได้ นี่เธอกะว่าจะไม่ห่างจากเขาเลยหรือเนี่ย“ไม่ได้จะไปไหนคะ เตรียมมาเฝ้าคนป่วยนี่แหละ”“กะจะไม่กลับบ้านเลยหรือไง คนป่วยก็มีหมอมีพยาบาลดูแลอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาลำบากอยู่เฝ้าเลย” นคินทร์ให้เหตุผล“ดาวไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่างคุณหมอและพยาบาลก็ไม่ได้อยู่ดูแลตลอด24ชั่วโมงนี่คะ เกิดพี่ธีร์เป็นอะไรระหว่างที่พยาบาลไม่อยู่ขึ้นมาจะทำยังไง”“หรา”“ใช่ค่ะ อีกอย่างจะต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลาทำไม”นิศราอธิบายเพิ่ม“แล้วไม่ต้องไปทำงานหรือไงเรานะ” นคินทร์ยังพยา