เข้าสู่ระบบ
แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว แต่โรงพยาบาลใจกลางเมืองแห่งนี้กลับยังคับคั่งไปด้วยผู้ป่วยมากมายหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการราวกับที่นี่เป็นสถานบันเทิง ไม่ใช่แหล่งรักษาคนเจ็บป่วย
โดยเฉพาะด่านหน้าอย่างแผนกฉุกเฉิน เหล่าพยาบาลในชุดขาวต่างพากันวิ่งวุ่นจากเตียงโน้นไปเตียงนี้ นอกจากจะต้องรับมือกับเหล่าผู้ป่วยอาการสาหัสแล้ว ญาติผู้ป่วยเองก็อยู่ในขั้นวิกฤตไม่แพ้กัน
นานมากแล้วที่มัลลิกาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์หัวหมุนเช่นนี้ โชคดีที่ก่อนออกจากบ้านเธอเชื่อคำพูดของพี่สาว เปลี่ยนจากกระโปรงเป็นกางเกงทันเวลา ตอนนี้ถึงได้รู้สึกเคลื่อนไหวคล่องตัวยิ่งนัก
บ่อยครั้งที่พี่มณฑิรา พี่สาวเพียงคนเดียวซึ่งอายุมากกว่าเธอสี่ปีจะคอยเข้ามาช่วยกำกับดูแลชีวิตประจำวันราวกับเป็นแม่บังเกิดเกล้า แต่มัลลิกาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด จะว่าไปแล้วที่ชีวิตเธอเป็นอยู่สุขสบาย มีกินมีใช้ ทั้งหมดก็เพราะพี่สาวคนนี้ของเธอทั้งนั้น พอนึกไปถึงรอยยิ้มอบอุ่นของมณฑิรา มัลลิกาก็อดอมยิ้มด้วยความรักใคร่ไม่ได้
“มิ้ง พี่ขอ DTX[1] เตียง 2 แล้วก็ชุดเลือดผู้ป่วยรับใหม่เตียง 5 กับเตียง 7”
เสียงพูดที่ไม่เบานักตะโกนข้ามเคาน์เตอร์มายังจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ หญิงค่อนข้างสูงวัยในชุดสีขาวกวาดตามองกระดาษในมือด้วยความรวดเร็ว ก่อนเงยหน้าสบตาลูกน้องและว่าคำสั่งต่อจนจบ
“แล้วก็เตียง 8 ด้วยนะ อย่าลืมตามผล MRI[2] เตียง 1 ให้หมอนิกด้วยล่ะ”
ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆหลุดจากภวังค์ รีบทวนคำสั่งที่ได้รับจากหัวหน้าเวรในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในมือยังตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับเจาะเลือดไปพร้อมกันด้วย
“ได้ค่ะพี่กุ้ง”
ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่กำลังยุ่งมือเป็นระวิง แต่พยาบาลอีกสามคนในเคาน์เตอร์ต่างไม่มีใครยืนเฉย บ้างรับโทรศัพท์ บ้างวุ่นอยู่กับการเขียนบันทึกทางการพยาบาลลงแฟ้มผู้ป่วย ต่างคนต่างไม่ได้ว่างเว้น บรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างจากในสนามรบ
นับตั้งแต่มัลลิกาผลัดเปลี่ยนเวรเข้ามาในเวลาสิบหกนาฬิกาจนตอนนี้เข็มสั้นจวนเจียนชี้เลขเก้า หญิงสาวยังไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมื้ออาหารที่ปกติมักจะได้ทานร่วมกันในช่วงประมาณหกโมงเย็น กระเพาะอาหารของเธอส่งเสียงประท้วงเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้
ขณะที่เข็นรถฉีดยาตรงไปยังเตียง 2 นัยน์ตากลมใสอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองนาฬิกาบนผนัง อีกแค่ไม่กี่เตียงเท่านั้น เธอก็จะได้พักเสียที
การเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลของเตียงสองเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหญิงสาวก็เข็นรถฉีดยามาเทียบข้างเตียงห้า จัดแจงอุปกรณ์สำหรับเจาะเลือดวางไว้ในตำแหน่งใกล้มือ ขณะถอดปลอกเข็มตั้งท่าจะแทงเข้าตรงข้อพับผู้ป่วย ชายบนเตียงกลับกระตุกแขนอย่างแรง ทำให้ปลายเข็มที่ควรจะแทงเข้าเส้นเลือดทิ่มเข้ากลางฝ่ามือตนเอง
“อู๊ย!!!” มัลลิกาตกใจจนเผลอปล่อยกระบอกฉีดยาร่วงลงพื้น เลือดสีแดงกระจายตัวเป็นวงกว้าง อีกส่วนไหลอาบลงมาตามท่อนแขน
ภายในจิตใจพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกนับแต่ทำงานที่หญิงสาวทำเข็มตำตนเอง แต่ในเมื่อปลายเข็มที่ว่าก็เป็นอันใหม่ ยังไม่ได้ใช้กับคนไข้คนไหน แล้วเหตุใดจู่ๆเธอจึงเกิดความกังวลในใจมากมายถึงเพียงนี้ หัวใจเต้นเร็วและอึดอัดราวกับถูกรัดด้วยยางพันเส้น ลมหายใจเดินทางไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่ายืนเหม่ออยู่นานเท่าไหร่ กระทั่งพยาบาลรุ่นพี่ที่ชื่อขวัญข้าวเดินเข้ามาสะกิดหัวไหล่
“มิ้ง เกิดอะไรขึ้น ไปล้างแผลก่อนไป เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง” ตอนนั้นเองที่หญิงสาวได้สติ มองเห็นหยดเลือดของตนนองเต็มพื้น
“ขอบคุณค่ะพี่ขวัญ งั้นมิ้งฝากจัดการต่อด้วยนะคะ”
ใบหน้าของมัลลิกาขาวซีดลงทุกขณะ ความอึดอัดในอกยังไม่คลายตัวลงแม้แต่น้อย ร่างบางรีบสาวเท้าผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล ตั้งใจจะเดินไปห้องน้ำด้านหลังเพื่อล้างแผลและสงบจิตสงบใจ
แต่ยังไม่ทันเดินพ้นออกจากบริเวณ ด้านหน้าตรงจุดคัดกรองผู้ป่วยก็เกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้น ประตูที่แบ่งแยกโซนนอกและในเปิดออก บุรุษพยาบาลราวห้าหกคนวิ่งกรูกันเข้ามาพร้อมเปลเข็นผู้ป่วยสองราย สีหน้าของทุกคนบ่งบอกความเร่งรีบ
“มีผู้ป่วย Blunt Abd. [3] มาสองรายครับ ทั้งคู่เสียเลือดมาก แต่ยังมีชีพจร ความดันลดต่ำลงเรื่อยๆ”
ทินกร หัวหน้าเวรโซนด่านหน้าตะโกนรายงานด้วยความร้อนรน ผู้ป่วยถูกเข็นเข้าสู่ห้องฉุกเฉินหนึ่งอย่างรวดเร็ว สิ้นเสียงรายงาน เจ้าหน้าที่ทุกคนภายในบริเวณนั้นต่างละทิ้งทุกหน้าที่ พากันวิ่งกรูเข้าไปเพื่อเร่งช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งสอง
“เปิดเส้นด่วน Load น้ำเกลือ Free flow ใครก็ได้ตามเลือดกรุ๊ปโอจากห้อง Lab 4 Unit เดี๋ยวนี้ เตรียมเครื่องปั้มหัวใจ เตรียมใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ Consult หมอเวรศัลยกรรม แจ้งว่ามีคนไข้ blunt Abd. เตรียมเปิด case Explore stop bleed [4]”
มัลลิกาลืมอาการบาดเจ็บตรงกลางฝ่ามือไปหมดสิ้น เธอรีบตรงไปยังเครื่องช่วยช็อคไฟฟ้าหัวใจเมื่อเห็นว่ายังไม่มีพยาบาลคนไหนรับคำสั่งของคุณหมอ เธอลากรถเข้าไปด้านในสวนทางกับพยาบาลอีกคนที่เร่งรุดไปตามเลือด
“แย่แล้วค่ะหมอฝ้าย ผู้ป่วยรายนี้ไม่มีชีพจรแล้วค่ะ”
ไม่ต้องรอคำสั่ง บุรุษพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงรีบปีนขึ้นเตียงและเริ่มปั้มหัวใจทันที เสียงนับจังหวะดังประสานไปกับคำสั่งการรักษาของหมอประจำเวร ความโกลาหลวุ่นวายยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อ Supervisor[5] ของโรงพยาบาลเดินตรงปรี่เข้ามาด้วยใบหน้าขาวซีด
“ผู้ป่วยรายนี้คือคุณพิมพ์ลดา อัศวเหม ค่ะหมอฝ้าย”
นามสกุลโด่งดังของท่านนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันทำให้ภายในห้องตกอยู่ในสภาวะกดดัน ทุกสายตาจดจ้องไปยังร่างแน่นิ่งไร้สติของพิมพ์ลดา โชคดีที่หล่อนยังมีชีพจรอยู่ แม้จะเหลือน้อยนิดเต็มที
แน่นอนว่าจรรยาบรรณของผู้เป็นหมอไม่อาจแบ่งแยกชนชั้นวรรณะและเชื้อชาติของผู้ป่วย หมอจำต้องรักษาผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม เพียงแต่ในบางสถานการณ์อย่างเช่นตอนนี้ ความกดดันก็บีบคั้นให้ผู้เป็นหมอต้องเลือก
[1] ตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
[2] Magnetic resonance image คือ การตรวจร่างกายโดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงและคลื่นวิทยุความถี่จำเพาะร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์
[3] Blunt abdominal injury คือการบาดเจ็บในช่องท้องแบบถูกแรงกระแทก
[4] Exploratory for stop bleed คือการผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อหยุดการเสียเลือด
[5] ผู้ตรวจการ ทำหน้าที่รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาล
ตอนพิเศษ 6ครอบครัวอบอุ่นของผู้กองจอมทัพอาณาเขตของบ้านพงศ์พานิชถูกขยับขยายเต็มพื้นที่ ตัวบ้านหลังเดิมถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นอีกหลายห้องเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ทางด้านหลังมีการขุดลอกทำคลองเพื่อนำน้ำจากธรรมชาติมาใช้สอยรดพืชผักสวนครัวและเลี้ยงไก่ทางด้านหน้าติดประตูรั้วเป็นสถานพยาบาลเบื้องต้น ขนาดไม่ใหญ่มาก ทว่าก็มีชาวบ้านเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย วันนี้ยังไม่ทันถึงเวลาเปิดให้บริการก็มีเสียงตะโกนเรียก น้ำเสียงฟังดูตื่นตระหนก “พ่อเฒ่าไถลลงบันได ถูกตะปูตำ แผลลึกเลยอีหล้า” มัลลิการีบกุลีกุจอออกมา ไม่ทันแม้แต่ถอดผ้ากันเปื้อน “ไปเอาชุดล้างแผลมาให้แม่หน่อยได้ไหมคะหนูลิน” เด็กหญิงวัยสิบขวบขานรับฉะฉาน สองเท้าก้าวอย่างฉับไวเข้าไปในสถานพยาบาลของมารดา มัลลิการีบมองประเมินบาดแผล เลือดหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลก็ลึกพอสมควร เห็นทีต้องรีบล้างแผลและให้ญาติพาตัวคนเจ็บเข้าไปฉีดยากันบาดทะยักที่อนามัยโดยเร็วที่สุด “พี่รบครับ พี่รบไปบอกคุณพ่อให้ช่วยหยิบน้ำเกลือให้คุณแม่หน่อยได้ไหมครับ” มัลลิกาหันไปหาเด็กชายตัวป้อมที่ยืนเกาะแขนเธอไม
ตอนพิเศษ 5ยัยโจรห้าร้อยกับผู้กองเอวดุประวิทย์ไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขาจะมีช่วงเวลาแห่งความเหงา นับตั้งแต่คู่หูมีคนเข้ามาดามใจ ธีรเมศฐ์ก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกับเขาอีกเลย เฝ้าแต่คุยโทรศัพท์ทางไกลกับเมียเด็ก “ไอ้ธีร์ เย็นนี้เอ็งไปดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิวะ ข้าเหงา” ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้กองธีร์แทนคำตอบ “ใครจะไปรู้ ว่าคนเจ้าชู้อย่างเอ็งจะมานั่งบ่นว่าเหงา ฮ่าๆๆ”เขาตบบ่าเพื่อนรักพลางลุกออกไปจากโต๊ะ“เลิกเจ้าชู้เห๊อะไอ้วิทย์ ระวังเถอะ สักวันเวรกรรมจะตามสนอง”นอกจากเพื่อนรักจะไม่เหลียวแล มันยังทิ้งคำสาปแช่งไว้ให้อีก มันน่านัก เดี๋ยวพ่อก็แช่งให้เมียเด็กเอ็งมีชู้ซะนี่!สุดท้ายผู้กองวิทย์ก็พาตนเองมาคลายความเหงาที่ผับดังแห่งหนึ่งย่านรัชดา เขามาที่นี่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็ได้สาวกลับไปกินที่คอนโดไม่ซ้ำหน้าทว่าวันนี้ไม่รู้ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ความเบื่อหน่าย“เฮ้อ… กลับก็ได้วะ”ขณะลุกขึ้น ด้านหลังก็ถูกชนเข้าอย่างจังจนเสียหลักพุ่งชนเหลี่ยมขอบโต๊ะ จุกไปทั้งหน้าท้อง อารมณ์ขุ่นเคืองที่สั่งสมมานานหลายวันพลันปะทุขึ้น“ระวังหน่อยสิวะ!”พอหันกลับไปก็ต้องตะลึงงัน ดาราที่ไหนวะเนี่ย…เขาผ่านผู้ห
ตอนพิเศษ 4หนูชื่อก้านแก้วไม่ใช่แก่นแก้วธีรเมศฐ์แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าหญิงสาวในชุดนักศึกษาทรวดทรงนาฬิกาทรายที่เพิ่งเดินผ่านหน้าบ้านไปจะเป็นยายเด็กจอมแก่นคนนั้นจริงๆ เขาถือโอกาสที่มาร่วมงานแต่งของท่านจอมขอลาพักร้อนกลับมาพักใจที่บ้าน เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าตนเป็นคนบ้านเดียวกันกับมัลลิกา หมู่บ้านของหล่อนอยู่ถัดจากบ้านของเขาไปไม่ได้ไกลมาก ห่างกันราวสิบกิโลเห็นจะได้ พอนึกว่าแต่ก่อนหล่อนอยู่ห่างไปเพียงแค่ไม่กี่หลังคากั้น เขากลับไม่เคยมีบุญวาสนาจะได้พานพบ ก็คงเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตไม่ให้พวกเขาได้เป็นคู่กันแน่แท้แล้ว สีหน้าของผู้กองพลันเซื่องซึม เขาถอนหายใจจนมารดาแก่ชราอดบ่นไม่ได้ ไม่ใช่แค่ผู้กองที่ลอบสังเกตเห็น แต่ ‘ก้านแก้ว’ เองก็เห็นชายหนุ่มแล้วเช่นกัน ‘พี่ธีร์’ พี่ชายข้างบ้านที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเป็นฮีโร่ในวัยเยาว์ก็ว่าได้ นับตั้งแต่พี่ธีร์ย้ายไปเรียนกรุงเทพ กระทั่งเข้ารับราชการในกรมตำรวจ เขาก็กลับมาเยี่ยมบ้านแทบจะนับครั้งได้ และทุกครั้งที่เขากลับมา แก้วก็มักจะคอยลุ้นอยู่เสมอว่าจะได้เห็นเขาหอบลูกหอบเมียกลับมาด้วยหรือไม่ ครั้งนี้ก็เ
ตอนพิเศษ 3ไม่ว่าน้องอยากได้อะไรพี่ก็จะหามาให้บ้านหลังใหม่ของมัลลิกามีทั้งหมดสี่ห้องนอน เดิมเธอกับบิดามารดารวมกันยังเหลือห้องว่างอีกสองห้อง แต่พอคณะของจอมทัพย้ายเข้ามา บ้านหลังใหญ่ก็ดูคับแคบลงไปถนัดตายายชื่นได้พักหนึ่งห้อง อีกห้องจึงให้ป้านวลกับแป้งอาศัยอยู่ร่วมกัน เศษส่วนเกินที่เหลือจึงกลายเป็นจอมทัพ ชายหนุ่มยืนอยู่ในห้องของมัลลิกาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผิดกับเจ้าของห้องที่มีสีหน้าเก้อกระดาก เธออยากไล่เขาไปนอนที่อื่น ติดที่ไม่รู้จะอธิบายกับบิดามารดาว่าอย่างไร “เดี๋ยวพี่ออกไปพักในเมืองก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยขับรถกลับมา” ระยะทางไปกลับระหว่างตัวเมืองกับเขตอำเภอไม่ใช่ใกล้ๆ ใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมง คะเนจากสีหน้าท่าทางก็รู้ว่าเขามั่นใจอยู่แล้วว่าเธอคงไม่กล้าปล่อยให้เขาทำอย่างนั้น “ทำไมจะมาถึงไม่บอกก่อนคะ” เธอแสร้งเปลี่ยนเรื่อง หมุนตัวไปหยิบผ้านวมผืนใหญ่ออกมาจากตู้ จอมทัพฉวยโอกาสที่หญิงสาวหันหลังเดินเข้าไปสวมกอด ลอบสูดดมกลิ่นกายหอมละมุนที่แสนคิดถึงให้ฉ่ำปอด “ก็เธอไม่ยอมบอกเบอร์ติดต่อ พี่จะบอกเธอยังไง”
ตอนพิเศษ 2ผู้กองจอมทัพแห่งสภ.พานจอมทัพเพิ่งย้ายมาประจำการยังสภ.พานไม่ถึงเดือนแต่อันธพาลกลับไม่มีเหลือ กิตติศัพท์ของเขาเลื่องชื่อระบือไกลไปจนถึงเขตปกครองของสภ.ข้างเคียง หากเจอขาใหญ่ประจำถิ่นคนไหนออกอาละวาด เพียงแค่เอ่ยชื่อผู้กองคนนี้ ขาใหญ่ก็ขาใหญ่เถอะ ล้วนกลัวจนหัวหด ม้วนหัวเก็บหางกลับไปแทบไม่ทัน ครั้งหนึ่งมีคนอยากลองของอันธพาลคนนั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของห้างทองที่ใหญ่ที่สุดในเขตอำเภอพาน ทั้งยังเป็นเจ้าของตลาดสดในตัวอำเภอ ทั้งส่งออก ทั้งรับซื้อ ผูกขาดเพียงเจ้าเดียวเด็กหนุ่มคนนี้ขูดรีดค่าแผงกับแม่ค้าเป็นอาจิณ อาศัยความเป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ ลูกสาวบ้านไหนถูกตาต้องใจก็ถูกบังคับเอาตัวมาขัดดอก ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัว พวกตำรวจก็พากันปวดหัวเพราะทำอะไรขาใหญ่คนนี้ไม่ได้ แว่วว่าเบื้องหลังมีการส่งส่วยให้กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่วันนั้นจอมทัพแวะตลาดหลังเลิกงานเพื่อซื้อของสดกลับบ้าน ขณะส่งเงินให้แม่ค้า กลับถูกใครบางคนคว้าเงินไปจากมือ“อันนี้ถือเป็นค่าแผงวันนี้นะ”ผู้กองในชุดนอกเครื่องแบบปรายตามอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา ชายคนนั้นยังเป็นวัยรุ่น อายุไม่น่าเกินยี่สิบห้า ผ
ตอนพิเศษ 1 มิอาจเลือกทางเดินไม่คิดเลยว่าชีวิตของคนคนหนึ่งจะสามารถถูกกำหนดด้วยนามสกุลที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด พิมพ์ลดากดปิดรูปถ่ายของชายหนุ่มที่ถูกส่งมาทางอีเมลเป็นคนที่เท่าไหร่ไม่รู้โดยไม่แม้แต่จะสนใจอ่านรายละเอียดที่แนบมาด้วยเธอเบื่อเหลือเกิน นับแต่จำความได้ ชีวิตก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทั้งเรื่องเรียน เรื่องสังคม กระทั่งเรื่องความรักขณะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายทางไกลที่เธอมิอาจเลี่ยงได้ บิดาของเธอนั่นเอง“คุณพ่อคะ ลดาเพิ่งจะ 20 เองนะ”มันเป็นประโยคเดิมๆที่เคยพูดกับบิดามาตลอดสองปีจนตอนนี้เธอหนีจากบ้านมาเรียนไกลถึงประเทศอังกฤษ บิดาก็ยังไม่เลิกจับคู่ทางการเมืองให้เสียที“อีกสามวันจอมทัพจะบินไปเยี่ยมหลานสาวที่โน้น ยายหนูมิริน ไปพบพี่เขาซะ คนนี้พ่อเลือกแล้ว”ลดาเบิกตากว้าง ครั้งนี้ไม่ใช่ประโยคคำถาม หากแต่เป็นประโยคคำสั่งที่เธอขัดขืนไม่ได้“คุณพ่อ!!!” เธอไม่อยากจะเชื่อเลย “ถ้าเขาเป็นญาติพี่ขุน ก็แปลว่าเป็นพวกในเครื่องแบบใช่ไหมคะ”ได้ยินปลายสายตอบกลับ“ใช่ น้องชายเจ้าขุน พ่อกำลังหมายตาจะให้เขาเข้ามารับตำแหน่งพันตรี ขึ้นตรงกับพ่อโดยตรง เขาทั้งหนุ่ม ทั้งขยัน อน







