เข้าสู่ระบบนายเกริกพล อัศวเหม นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยืนแน่นิ่งมองสภาพยับเยินของลูกสาวด้วยหัวใจบอบช้ำ เขาได้รับรายงานจากว่าที่ลูกเขยเรื่องพิมพ์ลดาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะถูกคนวิ่งตัดหน้ารถในยามวิกาล ใบหน้าที่เคยสดใสงดงามเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ บนศีรษะด้านซ้ายถูกโกนเส้นผมออกไปกว่าครึ่งเพื่อผ่าตัดหยุดเลือดออกในสมอง หน้าท้องขาวเนียนมีผ้าก๊อซปิดแผลลากยาวจากใต้ลิ้นปี่ถึงล่างสะดือ หญิงสาวต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อยื้อชีวิต ตอนนี้แทบไม่ต่างจากร่างไร้ลมหายใจ
“ถ้าลูกสาวฉันเป็นอะไรไป ต้องมีคนรับผิดชอบ”
เสียงเย็นเหยียบของท่านนายกทำให้คุณหมอเจ้าของไข้รู้สึกราวกับถูกมีดแทงเข้ากลางอกไปแล้วกว่าครึ่งด้าม
“ผมรู้ตัวคู่กรณีแล้วครับ”
คราวนี้จอมทัพเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียบเย็นไม่แพ้กัน ในแววตาปรากฏใบหน้าร่ำไห้ปานจะขาดใจของมัลลิกา
คุณหมอเจ้าของไข้อยากหาโอกาสปลีกตัวออกจากห้อง แต่ก็ไม่กล้าพอ ใจไม่นึกอยากได้ยินบทสนทนาแฝงเร้นแรงอาฆาตเหล่านี้เลย
“เป็นใคร” ท่านนายกปรายตามอง น้ำเสียงเฉียบขาด
“เป็นญาติของเจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินครับ”
มองเห็นท่านนายกออกคำสั่งผ่านสายตา จอมทัพก็พยักหน้ารับอย่างรู้กัน
ภายในห้อง VIP ของแผนก ICU เหลือเพียงจอมทัพนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เขาจับมือคนรักด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบ
“ฟื้นขึ้นมาเถอะ ให้จอมได้มีโอกาสขอโทษลดาเถอะนะ จอมผิดไปแล้ว” จอมทัพนึกอยากเอ่ยถ้อยคำที่ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้
เลือดนายตำรวจมากด้วยศักดิ์ศรีทำให้เขาหยิ่งทะนงมาโดยตลอด เขายกมือของคนรักขึ้นแนบแก้ม มองใบหน้าไร้สติของพิมพ์ลดา ในใจหวนนึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุยโทรศัพท์กัน
ราวสองทุ่มครึ่งของวันนี้ จอมทัพกำลังนั่งอ่านเอกสารสำคัญอยู่ในบ้านขณะที่ยินเสียงเรียกเข้า เป็นสายจากคนรัก เขาเลือกจะไม่รับในทีแรก แต่พอเห็นเธอโทรมาอีก จึงจำต้องกดรับทั้งที่ไม่เต็มใจ เขาเบื่อการทะเลาะ และยิ่งเข้าใกล้วันแต่งงาน ลดาก็ยิ่งหาเรื่อง
“จอมไม่เคยมีเวลาให้ลดาจริงๆจังๆเลยสักครั้ง เรากำลังจะแต่งงานกันนะ คุณไม่คิดจะสละเวลางานอันมีค่าของคุณให้ลดาบ้างเลยเหรอคะ”
เสียงตัดพ้อน้อยใจของลดารังแต่จะสร้างความรู้สึกเบื่อหน่าย หากไม่ใช่เพราะทำงานให้คุณพ่อของเธอโดยตรง เขาจะปฏิเสธนัดหมายของเธอได้อย่างไร
“ผมคิดว่าคุณจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะลดา” บนหน้าจอปรากฏหมายเลขของลูกน้องคนสนิทโทรเข้ามาเป็นสายเรียกซ้อน “ผมต้องวางสายแล้ว”
ลดาย่อมรู้สาเหตุของการวางสาย เขาเป็นแบบนี้เสมอ งานมักสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องของเธอเป็นลำดับที่เท่าไหร่ไม่รู้
“ถ้าอย่างนั้นลดาว่าเรายกเลิกงานแต่งไปดีกว่า คุณเหมาะจะแต่งกับงานมากกว่า”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่จอมทัพได้ยินจากคนรัก มานึกเสียใจกับความปากหนักของตัวเองตอนนี้ก็สายไปแล้ว
แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นวิ่งตัดหน้ารถของลดา และหากไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นญาติของเจ้าหน้าที่ คนรักของเขาคงไม่ถูกเพิกเฉยจนอาการทรุดหนักและไม่ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
“อาการของผู้หญิงที่ชื่อมณฑิราเป็นยังไงบ้าง”
เขาเอ่ยถามธีรเมศฐ์ ลูกน้องคนสนิทที่พึ่งย้อนกลับมา
“เสียชีวิตแล้วครับ” นายตำรวจยศร้อยเอกก้มหน้าตอบ อดใจรอคำถามต่อไป แต่เมื่อเห็นความเงียบของเจ้านาย จึงลังเลก่อนรายงานต่อ “พยาบาลคนนั้นเป็นน้องสาวของคู่กรณีครับ เธอชื่อมัลลิกา อายุ 26 ปี ทำงานที่นี้มา 5 ปีแล้ว”
มิน่า… คนพวกนั้นถึงกล้าเมินเฉยลดา ปล่อยให้เธอนอนหมดลมหายใจ ตอนที่เขาไปถึง เขาเห็นคาตาว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนรุมล้อมอยู่รอบเตียงมณฑิรา มีพยาบาลเพียง 2 คนที่ดูอาการของลดาอยู่ คงคิดไม่ถึงว่าเขาจะโผล่ไปไวขนาดนั้น แล้วถ้าหากเขาไปช้ากว่านั้นอีกนิดเดียว พวกนั้นจะบอกว่าอย่างไร? บอกว่าลดาเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาลอย่างนั้นสินะ
เสียงกำปั้นทุบประตูห้องน้ำทำให้ธีรเมศฐ์สะดุ้ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาตอนที่เจ้านายออกคำสั่ง
“พาหล่อนมาที่นี่!”
มัลลิกานั่งเหม่อลอยอยู่หน้าห้องดับจิตเป็นเวลานานกว่าสามชั่วโมงนับตั้งแต่ศพของพี่สาวถูกย้ายมายังที่แห่งนี้ หน้าจอโทรศัพท์ในมือปรากฏหน้าต่างแชทแสดงข้อความที่พี่สาวพิมพ์ทิ้งเอาไว้
หน้าข้อความระบุเวลา 20.36 น.
‘พี่เก็บแมวตัวหนึ่งได้จากข้างทาง เป็นแมวสีส้มแบบที่มิ้งอยากเลี้ยงพอดี มิ้งต้องชอบแน่ๆ’
ด้านล่างข้อความเป็นภาพถ่ายของพี่สาวฉีกยิ้มกว้าง ในมืออุ้มลูกแมวตัวมอมขนสีส้ม ถนนในฉากหลังของภาพคือจุดเดียวกันกับที่เกิดอุบัติเหตุ
ได้ยินว่าจู่ๆก็มีผู้หญิงวิ่งถลาตามลูกแมวออกไปกลางถนนใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถเปิดประทุนสีเงินวิ่งฝ่าความมืดมาด้วยความเร็วสูง เสียงเหยียบเบรคดังลั่นทั่วท้องถนน แม้จะเห็นรถคันนั้นเบี่ยงตัวหลบไปแล้ว แต่ก็ยังเฉี่ยวถูกร่างของผู้หญิงอีกคนกระเด็นไปไกล ด้านรถสปอร์ตเองก็เสียหลักพลิกคว่ำ อาการสาหัสไม่ต่างกัน
“คุณมัลลิกาใช่ไหมครับ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก เห็นเป็นนายตำรวจสองคน เธอไม่ได้สนใจมองป้ายแสดงตัวที่เขายื่นมาให้ดู
“มีอะไรกับฉันเหรอคะ”
“ผมต้องขอเชิญคุณไปสอบปากคำเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณพิมพ์ลดาหน่อยครับ”
มัลลิกาเดินตามนายตำรวจทั้งสองไปตามทางเดินของโรงพยาบาล พอคิดจะเอ่ยถามว่าการสอบปากคำไม่ได้ทำกันที่สถานีตำรวจหรอกหรือ เธอก็เดินมาจนถึงแผนก ICU แล้ว
“เชิญด้านในครับ” หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทั้งที่ปกติในแผนกดูแลผู้ป่วยวิกฤตแห่งนี้มักจะมีเจ้าหน้าที่อยู่กันเต็มไปหมด
ไม่ทันเอ่ยถาม แผ่นหลังก็ถูกผลักเข้าไปด้านใน บานกระจกด้านหลังเลื่อนปิดเสียงดังพอให้เธอสะดุ้ง แต่ยังไม่รู้สึกตกใจเท่ากับสภาพผู้ป่วยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
“นั่งลง!” เสียงทุ้มต่ำแฝงความรู้สึกบางอย่างทำให้เกรียวขนลุกชัน
มัลลิกามองตามเสียงก็พบว่าด้านในมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ และผู้ที่นั่งอยู่ในเงามืดก็คือจอมทัพ คู่หมั้นของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนั่นเอง
จอมทัพมองหญิงสาวด้วยสายตาเดียวกันกับที่ใช้มอง ‘ผู้ต้องหา’ แต่คราวนี้แฝงความอันตรายยิ่งกว่า เพราะผู้ต้องหารายนี้มีความผิดใหญ่หลวงในข้อหาพยายามฆ่าคนรักของเขา เห็นคราบสีแดงบนชุดสีขาวของเธอ เขาก็นึกอยากจะละเลงน้ำสีเดียวกันนั้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ละเลงชุดสีขาวของเธอด้วยเลือดจากลำคอของเธอเอง
จู่ๆมัลลิกาก็รู้สึกหายใจไม่ออก แววตาที่มองมาสร้างความกดดันจนเธอต้องหลบตามองขอบโต๊ะ เกิดมายังไม่เคยถูกสอบปากคำเลยสักครั้ง
“เธอรู้จักผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงรึป่าว”
มัลลิกาลังเล กลอกนัยน์ตาไปมา ก่อนพยักหน้าช้าๆ
“ลดาไปถึงโรงพยาบาลตอนกี่โมง”
เขายังคงรักษาระดับน้ำเสียงได้อย่างมั่นคง มองนัยน์ตาคลอด้วยหยาดน้ำกลอกไปมาอีกครั้ง
เธอจำได้ว่ากำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อไปทำแผลที่ฝ่ามือ สายตาเหลือบมองนาฬิกา คิดว่าเวลานี้พี่สาวคงกลับถึงบ้านแล้ว ทั้งที่ความจริงพี่สาวของเธอ…
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้น
“20.50 น. ค่ะ”
หยาดน้ำเม็ดโตร่วงลงจากดวงตา ในหัวปรากฏภาพรอยยิ้มของพี่สาวก่อนจะถูกรถชน
จอมทัพไม่ได้เห็นน้ำตาของเธอ เขามองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องฉุกเฉิน ภาพของคนรักไร้คนเหลียวแล
“เธอรู้สาเหตุที่ทำให้ลดาต้องมาอยู่ในสภาพนี้มั๊ย”
นัยน์ตาสุกใสช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า ก่อนจะรีบหลุบตาลงเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของเขา เธอรู้สึกราวกับกำลังถูกบีบคอ
เธอส่ายหน้าอัตโนมัติ พอคิดทบทวนอีกทีก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า น้ำตาไหลอาบสองแก้ม “พี่มณ… ไม่ได้ตั้งใจ” พี่สาวผู้อ่อนโยนและใจดีของเธอเพียงแค่วิ่งตามลูกแมวออกไปเท่านั้น มันเป็นอุบัติเหตุ
เสียงสะอื้นของมัลลิกายิ่งทำให้อารมณ์ของจอมทัพคุกรุ่น เขาเกลียดน้ำตา มีแค่ผู้หญิงไร้สมองเท่านั้นที่คิดว่าน้ำตาคืออาวุธ
“พี่สาวเธอไม่ได้ตั้งใจก็แล้วไป แต่เธอ… เธอตั้งใจฆ่าลดา!!”
เสียงตวาดพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะไม่เพียงทำให้หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติ แต่ลูกน้องที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูก็พลอยตกใจตามไปด้วย
ทั้งสองลอบสบตากัน หากว่าเจ้านายพลั้งมือฆ่าคนตายในโรงพยาบาล พวกเขาต้องไปทำลายหลักฐานตรงไหนบ้าง พลันสายตาก็เหลือบมองหากล้องวงจรปิดอย่างพร้อมเพรียงกัน
เพียงชั่วข้ามคืน อัตรากำลังภายในแผนกห้องฉุกเฉินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มจากพี่กุ้ง หัวหน้าแผนกที่ดำรงตำแหน่งมานานเกือบสิบปีถูกไล่ออกโดยไม่ทราบสาเหตุ ตามด้วยหมอฝ้าย หมอเวรประจำแผนกที่เข้ามาทำงานได้ไม่ต่ำกว่าหกปีก็ยื่นใบลาออกโดยไม่กล่าวคำอำลา นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นปฏิบัติงานในเวรบ่ายเมื่อค่ำวานนี้ถูกไล่ออกทั้งหมด ภายในห้องฉุกเฉินจึงเหลือเจ้าหน้าที่อยู่เพียงแค่หยิบมือ แต่ย่อมไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการถามหาเหตุผล ทำได้เพียงแอบซุบซิบนินทาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุด
ตอนพิเศษ 6ครอบครัวอบอุ่นของผู้กองจอมทัพอาณาเขตของบ้านพงศ์พานิชถูกขยับขยายเต็มพื้นที่ ตัวบ้านหลังเดิมถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นอีกหลายห้องเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ทางด้านหลังมีการขุดลอกทำคลองเพื่อนำน้ำจากธรรมชาติมาใช้สอยรดพืชผักสวนครัวและเลี้ยงไก่ทางด้านหน้าติดประตูรั้วเป็นสถานพยาบาลเบื้องต้น ขนาดไม่ใหญ่มาก ทว่าก็มีชาวบ้านเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย วันนี้ยังไม่ทันถึงเวลาเปิดให้บริการก็มีเสียงตะโกนเรียก น้ำเสียงฟังดูตื่นตระหนก “พ่อเฒ่าไถลลงบันได ถูกตะปูตำ แผลลึกเลยอีหล้า” มัลลิการีบกุลีกุจอออกมา ไม่ทันแม้แต่ถอดผ้ากันเปื้อน “ไปเอาชุดล้างแผลมาให้แม่หน่อยได้ไหมคะหนูลิน” เด็กหญิงวัยสิบขวบขานรับฉะฉาน สองเท้าก้าวอย่างฉับไวเข้าไปในสถานพยาบาลของมารดา มัลลิการีบมองประเมินบาดแผล เลือดหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลก็ลึกพอสมควร เห็นทีต้องรีบล้างแผลและให้ญาติพาตัวคนเจ็บเข้าไปฉีดยากันบาดทะยักที่อนามัยโดยเร็วที่สุด “พี่รบครับ พี่รบไปบอกคุณพ่อให้ช่วยหยิบน้ำเกลือให้คุณแม่หน่อยได้ไหมครับ” มัลลิกาหันไปหาเด็กชายตัวป้อมที่ยืนเกาะแขนเธอไม
ตอนพิเศษ 5ยัยโจรห้าร้อยกับผู้กองเอวดุประวิทย์ไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขาจะมีช่วงเวลาแห่งความเหงา นับตั้งแต่คู่หูมีคนเข้ามาดามใจ ธีรเมศฐ์ก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกับเขาอีกเลย เฝ้าแต่คุยโทรศัพท์ทางไกลกับเมียเด็ก “ไอ้ธีร์ เย็นนี้เอ็งไปดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิวะ ข้าเหงา” ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้กองธีร์แทนคำตอบ “ใครจะไปรู้ ว่าคนเจ้าชู้อย่างเอ็งจะมานั่งบ่นว่าเหงา ฮ่าๆๆ”เขาตบบ่าเพื่อนรักพลางลุกออกไปจากโต๊ะ“เลิกเจ้าชู้เห๊อะไอ้วิทย์ ระวังเถอะ สักวันเวรกรรมจะตามสนอง”นอกจากเพื่อนรักจะไม่เหลียวแล มันยังทิ้งคำสาปแช่งไว้ให้อีก มันน่านัก เดี๋ยวพ่อก็แช่งให้เมียเด็กเอ็งมีชู้ซะนี่!สุดท้ายผู้กองวิทย์ก็พาตนเองมาคลายความเหงาที่ผับดังแห่งหนึ่งย่านรัชดา เขามาที่นี่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็ได้สาวกลับไปกินที่คอนโดไม่ซ้ำหน้าทว่าวันนี้ไม่รู้ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ความเบื่อหน่าย“เฮ้อ… กลับก็ได้วะ”ขณะลุกขึ้น ด้านหลังก็ถูกชนเข้าอย่างจังจนเสียหลักพุ่งชนเหลี่ยมขอบโต๊ะ จุกไปทั้งหน้าท้อง อารมณ์ขุ่นเคืองที่สั่งสมมานานหลายวันพลันปะทุขึ้น“ระวังหน่อยสิวะ!”พอหันกลับไปก็ต้องตะลึงงัน ดาราที่ไหนวะเนี่ย…เขาผ่านผู้ห
ตอนพิเศษ 4หนูชื่อก้านแก้วไม่ใช่แก่นแก้วธีรเมศฐ์แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าหญิงสาวในชุดนักศึกษาทรวดทรงนาฬิกาทรายที่เพิ่งเดินผ่านหน้าบ้านไปจะเป็นยายเด็กจอมแก่นคนนั้นจริงๆ เขาถือโอกาสที่มาร่วมงานแต่งของท่านจอมขอลาพักร้อนกลับมาพักใจที่บ้าน เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าตนเป็นคนบ้านเดียวกันกับมัลลิกา หมู่บ้านของหล่อนอยู่ถัดจากบ้านของเขาไปไม่ได้ไกลมาก ห่างกันราวสิบกิโลเห็นจะได้ พอนึกว่าแต่ก่อนหล่อนอยู่ห่างไปเพียงแค่ไม่กี่หลังคากั้น เขากลับไม่เคยมีบุญวาสนาจะได้พานพบ ก็คงเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตไม่ให้พวกเขาได้เป็นคู่กันแน่แท้แล้ว สีหน้าของผู้กองพลันเซื่องซึม เขาถอนหายใจจนมารดาแก่ชราอดบ่นไม่ได้ ไม่ใช่แค่ผู้กองที่ลอบสังเกตเห็น แต่ ‘ก้านแก้ว’ เองก็เห็นชายหนุ่มแล้วเช่นกัน ‘พี่ธีร์’ พี่ชายข้างบ้านที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเป็นฮีโร่ในวัยเยาว์ก็ว่าได้ นับตั้งแต่พี่ธีร์ย้ายไปเรียนกรุงเทพ กระทั่งเข้ารับราชการในกรมตำรวจ เขาก็กลับมาเยี่ยมบ้านแทบจะนับครั้งได้ และทุกครั้งที่เขากลับมา แก้วก็มักจะคอยลุ้นอยู่เสมอว่าจะได้เห็นเขาหอบลูกหอบเมียกลับมาด้วยหรือไม่ ครั้งนี้ก็เ
ตอนพิเศษ 3ไม่ว่าน้องอยากได้อะไรพี่ก็จะหามาให้บ้านหลังใหม่ของมัลลิกามีทั้งหมดสี่ห้องนอน เดิมเธอกับบิดามารดารวมกันยังเหลือห้องว่างอีกสองห้อง แต่พอคณะของจอมทัพย้ายเข้ามา บ้านหลังใหญ่ก็ดูคับแคบลงไปถนัดตายายชื่นได้พักหนึ่งห้อง อีกห้องจึงให้ป้านวลกับแป้งอาศัยอยู่ร่วมกัน เศษส่วนเกินที่เหลือจึงกลายเป็นจอมทัพ ชายหนุ่มยืนอยู่ในห้องของมัลลิกาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผิดกับเจ้าของห้องที่มีสีหน้าเก้อกระดาก เธออยากไล่เขาไปนอนที่อื่น ติดที่ไม่รู้จะอธิบายกับบิดามารดาว่าอย่างไร “เดี๋ยวพี่ออกไปพักในเมืองก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยขับรถกลับมา” ระยะทางไปกลับระหว่างตัวเมืองกับเขตอำเภอไม่ใช่ใกล้ๆ ใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมง คะเนจากสีหน้าท่าทางก็รู้ว่าเขามั่นใจอยู่แล้วว่าเธอคงไม่กล้าปล่อยให้เขาทำอย่างนั้น “ทำไมจะมาถึงไม่บอกก่อนคะ” เธอแสร้งเปลี่ยนเรื่อง หมุนตัวไปหยิบผ้านวมผืนใหญ่ออกมาจากตู้ จอมทัพฉวยโอกาสที่หญิงสาวหันหลังเดินเข้าไปสวมกอด ลอบสูดดมกลิ่นกายหอมละมุนที่แสนคิดถึงให้ฉ่ำปอด “ก็เธอไม่ยอมบอกเบอร์ติดต่อ พี่จะบอกเธอยังไง”
ตอนพิเศษ 2ผู้กองจอมทัพแห่งสภ.พานจอมทัพเพิ่งย้ายมาประจำการยังสภ.พานไม่ถึงเดือนแต่อันธพาลกลับไม่มีเหลือ กิตติศัพท์ของเขาเลื่องชื่อระบือไกลไปจนถึงเขตปกครองของสภ.ข้างเคียง หากเจอขาใหญ่ประจำถิ่นคนไหนออกอาละวาด เพียงแค่เอ่ยชื่อผู้กองคนนี้ ขาใหญ่ก็ขาใหญ่เถอะ ล้วนกลัวจนหัวหด ม้วนหัวเก็บหางกลับไปแทบไม่ทัน ครั้งหนึ่งมีคนอยากลองของอันธพาลคนนั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของห้างทองที่ใหญ่ที่สุดในเขตอำเภอพาน ทั้งยังเป็นเจ้าของตลาดสดในตัวอำเภอ ทั้งส่งออก ทั้งรับซื้อ ผูกขาดเพียงเจ้าเดียวเด็กหนุ่มคนนี้ขูดรีดค่าแผงกับแม่ค้าเป็นอาจิณ อาศัยความเป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ ลูกสาวบ้านไหนถูกตาต้องใจก็ถูกบังคับเอาตัวมาขัดดอก ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัว พวกตำรวจก็พากันปวดหัวเพราะทำอะไรขาใหญ่คนนี้ไม่ได้ แว่วว่าเบื้องหลังมีการส่งส่วยให้กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่วันนั้นจอมทัพแวะตลาดหลังเลิกงานเพื่อซื้อของสดกลับบ้าน ขณะส่งเงินให้แม่ค้า กลับถูกใครบางคนคว้าเงินไปจากมือ“อันนี้ถือเป็นค่าแผงวันนี้นะ”ผู้กองในชุดนอกเครื่องแบบปรายตามอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา ชายคนนั้นยังเป็นวัยรุ่น อายุไม่น่าเกินยี่สิบห้า ผ
ตอนพิเศษ 1 มิอาจเลือกทางเดินไม่คิดเลยว่าชีวิตของคนคนหนึ่งจะสามารถถูกกำหนดด้วยนามสกุลที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด พิมพ์ลดากดปิดรูปถ่ายของชายหนุ่มที่ถูกส่งมาทางอีเมลเป็นคนที่เท่าไหร่ไม่รู้โดยไม่แม้แต่จะสนใจอ่านรายละเอียดที่แนบมาด้วยเธอเบื่อเหลือเกิน นับแต่จำความได้ ชีวิตก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทั้งเรื่องเรียน เรื่องสังคม กระทั่งเรื่องความรักขณะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายทางไกลที่เธอมิอาจเลี่ยงได้ บิดาของเธอนั่นเอง“คุณพ่อคะ ลดาเพิ่งจะ 20 เองนะ”มันเป็นประโยคเดิมๆที่เคยพูดกับบิดามาตลอดสองปีจนตอนนี้เธอหนีจากบ้านมาเรียนไกลถึงประเทศอังกฤษ บิดาก็ยังไม่เลิกจับคู่ทางการเมืองให้เสียที“อีกสามวันจอมทัพจะบินไปเยี่ยมหลานสาวที่โน้น ยายหนูมิริน ไปพบพี่เขาซะ คนนี้พ่อเลือกแล้ว”ลดาเบิกตากว้าง ครั้งนี้ไม่ใช่ประโยคคำถาม หากแต่เป็นประโยคคำสั่งที่เธอขัดขืนไม่ได้“คุณพ่อ!!!” เธอไม่อยากจะเชื่อเลย “ถ้าเขาเป็นญาติพี่ขุน ก็แปลว่าเป็นพวกในเครื่องแบบใช่ไหมคะ”ได้ยินปลายสายตอบกลับ“ใช่ น้องชายเจ้าขุน พ่อกำลังหมายตาจะให้เขาเข้ามารับตำแหน่งพันตรี ขึ้นตรงกับพ่อโดยตรง เขาทั้งหนุ่ม ทั้งขยัน อน







