เจเดนไปรับไพลินมาหาเมสันที่บริษัท ความรู้สึกประหม่ากลับมาอีกครั้งเมื่อใกล้จะถึงบริษัทของเมสัน เรื่องราวเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าเริ่มกลับมาทำให้หัวใจเธอสั่นไหวอีกรอบระหว่างที่เดินตามเจเดนเข้ามาในตึกใหญ่ ขาทั้งสองข้างของไพลินสั่นจนแทบก้าวไม่ออกแต่สุดท้ายก็มาถึงหน้าห้องทำงานของคนที่เป็นเจ้าของบริษัทและเจ้าของตึกสไตล์โมเดริ์นที่สูงตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงวอชิงตัน
“เชิญคุณไพลินด้านในเลยครับ” ดีแลนพูดพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ไพลินมองเจเดนคิดว่าอีกฝ่ายจะเดินนำเธอเข้าไปด้านในเหมือนครั้งก่อนแต่เจเดนที่ยืนหันข้างให้เธอกลับถอยหลังเหมือนเปิดทางให้เธอเดินเข้าไปคนเดียว
“ให้หนูเข้าไปคนเดียวเหรอคะ?” ท่าทีไม่มั่นใจมองหน้าเลขาของเมสันและผู้ช่วยของเขา
“ครับ คุณเมสันบอกให้คุณไพลินเข้าไปหาถ้ามาถึงครับ” ดีแลนและเจเดนแอบมองหน้ากันด้วยสงสารหญิงสาวที่สีหน้าดูกังวลเมื่อต้องเข้าไปหาเจ้านายพวกตนคนเดียว
ระหว่างที่ไพลินกำลังยืนทำใจอยู่นั้นประตูห้องทำงานบานใหญ่ก็เปิดออกมาจากด้านใน ร่างสูงในชุดสูทสีดำที่ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยกำลังมองเอกสารบางอย่างในมือที่ถือออกมาให้ดีแลน แต่จังหวะที่กำลังเงยหน้ามาจะสั่งการบางอย่างนั้นก็เจอกับเลขาและผู้ช่วยพร้อมผู้หญิงที่เขากำลังรออยู่ยืนอยู่หน้าห้อง และทั้งหมดกำลังมองมาทางเขา
"มีอะไรกัน” เอกสารที่ถืออยู่ในมือถูกวางลงบนโต๊ะของเลขา ดวงตาคมกริบมองคนทั้งสามสลับกันไปมา
“เจเดนพึ่งพาคุณไพลินมาถึงครับ เรากำลังบอกเธอว่านายให้เข้าไปหาด้านใน” ดีแลนรีบตอบเจ้านาย
“เจเดน ขอกาแฟด้วย” เสียงเรียบบอกลูกน้องแต่สายตาไม่ได้ละไปจากผู้หญิงตรงหน้าที่ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่เงียบ ๆ มือหนาเอื้อมมาคว้าข้อมือบางก่อนจะดึงเธอให้เข้าไปด้านในห้องด้วยกัน
“ทำไมมาถึงแล้วไม่เข้ามา ยืนทำอะไรตรงนั้น” เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มนวลถามเมื่อเข้ามาในห้องทำงาน แต่สายตากลับคาดคั้นเอาคำตอบ
“เอ่อ…คือ…คือหนูกำลังจะเข้ามาแต่คุณออกไปพอดี” ไพลินไม่ได้โกหกเขาเพียงแต่เธอกำลังทำใจตอนที่เขาเดินออกไปก็เท่านั้นเอง
“ไม่ใช่ว่ากลัวฉันจนไม่กล้าเข้ามาหรอกเหรอ” หญิงสาวใจเต้นแรงที่เขารู้ทัน
“คุณให้หนูกลับไปที่บ้านก่อนก็ได้นะคะ ให้หนูอยู่ที่นี่คุณจะทำงานไม่สะดวก”
“แน่ใจเหรอว่าถ้าฉันปล่อยให้เธอกลับเองเธอจะสามารถไปถึงที่บ้านเดวาลอฟถูก”
“ครั้งแรกลิน…เอ่อ…หนูอาจจะงงอยู่บ้างแต่ถ้านานไปหนูก็คงกลับถูกแล้วค่ะ”
“แทนตัวเองกับฉันว่าลินเฉย ๆ ไม่ต้องแทนตัวเองว่าหนูเข้าใจมั้ย” นัยน์ตาสีอำพันทอประกายลึกซึ้งแต่ให้ความรู้สึกว่ามีอำนาจที่เหนือกว่า ไพลินรวบรวมความกล้ามองสบนัยน์ตาคู่นั้นที่เหมือนมีพลังงานบางอย่างกำลังพยายามดูดความรู้สึกภายในใจของเธอออกไปและเธอก็ไม่อาจจะต้านมันได้ ความรู้สึกอ่อนไหวถูกถ่ายทอดผ่านแววตาไปยังชายหนุ่มแทบหมดสิ้น
“แล้วคุณจะอนุญาตให้หนู…เอ่อ…ให้ลินเดินทางไปเรียนและกลับเองหรือเปล่าคะ” ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างที่เธอต้องการแต่ไพลินก็ลองเสี่ยงถามดู
“ลองบอกเหตุผลของเธอมาสักข้อสิว่าทำไมฉันถึงต้องอนุญาตในสิ่งที่เธอขอ ไม่แน่ถ้าหากเป็นเหตุผลที่เข้าท่าฉันอาจจะอนุญาตก็ได้” เมสันหันหลังเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง
ไพลินรู้สึกประหม่าอีกครั้งถึงแม้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอพอจะรู้คำตอบลาง ๆ แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าเขาจะให้เธอหาเหตุผลอีกทำไมเพราะยังไงเขาก็มีคำตอบมาหักล้างเหตุผลของเธอเหมือนทุกครั้งอยู่ดี
“คุณจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องไปส่งหนูที่มหาลัยยังไงคะหากว่าวันไหนคุณมีงานหรือมีประชุม ส่วนตอนเลิกเรียนหนูก็จะได้กลับบ้านไปเลย ไม่ต้องมานั่งรบกวนเวลางานคุณแบบนี้” หญิงสาวพูดไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไรนัก
“มีสักข้อไหมที่เป็นเหตุผลเพื่อตัวเธอเองไม่ใช่เพราะเกรงใจฉัน” ไพลินส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลของเธอก็ไม่ผ่าน เพราะที่เธอพูดมามันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับฉันแม้แต่น้อย เว้นแต่ว่าเธอเอามาเป็นข้ออ้างที่จะเลี่ยงฉัน” ประโยคสุดท้ายเมสันพูดช้า ๆ แต่ลงเสียงหนัก
“ลินเปล่านะคะ ลินเกรงใจคุณเมสันจริง ๆ” เธอรีบแย้ง แม้สิ่งที่ชายหนุ่มพูดจะเป็นความจริงอยู่บ้างแต่ไพลินก็ไม่กล้าที่จะรับตรง ๆ ว่าเธอรู้สึกประหม่าเขาจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งเวลาที่เขาเข้าใกล้ และมันคงไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่หากจะปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
“ถ้าเกรงใจก็แค่เป็นเด็กดีกับฉัน เธอยังจำได้หรือเปล่าว่าเด็กดีสำหรับฉันคืออะไร”
“จำได้ค่ะ” ไพลินพยักหน้าตอบเสียงเบา ความทรงจำตอนเช้าวนเข้ามาในหัวอีกครั้งเมื่อนึกถึงคำว่าเด็กดีที่เขาบอกเธอ เด็กดีในความหมายของเมสันคือต้องเชื่อฟัง ไม่ขัดใจ ตามใจและให้ความสำคัญกับเขาเป็นที่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นความคิดที่ว่าอยากจะไปเรียนเองและกลับเองก็ทิ้งไปได้เลยเพราะฉันไม่อนุญาต ฉันกำลังดูอยู่ว่าหลังจากเลิกเรียนจะหางานอะไรให้เธอทำที่นี่ดี” คำว่างานทำให้หญิงสาวหันมามองเขาด้วยประกายตาแบบมีความหวัง
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ คุณกำลังหางานให้หนูทำอย่างนั้นเหรอคะ” เธอถามน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็อยากทำไม่ใช่หรือไง หรือว่าเปลี่ยนใจไม่อยากทำแล้ว”
“อยากค่ะอยาก..อยากทำค่ะ” เสียงหวานลำล่ำละลักบอกแล้วเดินไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานชายหนุ่ม
“เงินที่ฉันให้ไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่พอหรือไง ทำไมถึงอยากหางานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียนทำนัก” ไพลินหลุบตาลงเหมือนคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มอีกครั้งแล้วตอบในสิ่งที่เขาถาม
“เงินที่คุณให้ไว้ใช้ส่วนตัวมันมากเสียด้วยซ้ำค่ะ ถ้าเทียบกับรายจ่ายที่ลินแทบไม่ได้จ่ายอะไรเลย แต่ที่ลินอยากหางานพาร์ทไทม์ทำก็เพราะอยากส่งเงินไปช่วยพี่สาวที่อยู่ประเทศไทยค่ะ อยู่ที่นี่ลินได้รับการอุปถัมภ์จากคุณและได้รับการช่วยเหลือจากไมร่าเป็นอย่างดี ลินเลยอยากหาเงินเพื่อส่งไปให้พี่ของลินได้มีความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนที่ลินได้รับตอนนี้” เมสันมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตานิ่งขรึม และมีความรู้สึกว่ายิ่งรู้จักเธอก็ยิ่งทำให้เขาอยากค้นหามากเรื่อย ๆ
“ขออนุญาตครับ กาแฟของนายและของว่างคุณไพลินพร้อมแล้วครับ” เจเดนที่เตรียมเบรคบ่ายเสร็จเดินเข้ามาบอก
“ฉันสั่งเค้กเหมือนวันก่อนมาให้เธอแต่เป็นหน้าใหม่ มาลองชิมดู” ร่างสูงเดินนำไปยังโต๊ะที่เจเดนเตรียมของว่างไว้
ไพลินลุกเดินตามไปอย่างว่าง่ายแล้วนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่ม เธอวางโทรศัพท์เครื่องหรูที่พึ่งจะได้จากเมสันเมื่อวันก่อนลงบนโต๊ะและกำลังจะตักเค้กตรงหน้าขึ้นมาชิม แต่โทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้มือเกิดสั่นเพราะมีสายเข้าเสียก่อน
สายเข้า»»» {Ryan}
ไพลินไม่ได้รับสายนั้นทันที สัญชาตญาณบอกเธอให้เงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้า
เมสันมองดูโทรศัพท์ของหญิงสาวด้วยสายตากร้าวราวกับมีเปลวเพลิงซ่อนอยู่ในนั้นและพร้อมจะแผดเผามันให้มอดไหม้ก่อนจะสลับสายตามองหญิงสาวและเบือนหน้าหนีไปอย่างหงุดหงิด
“ดูเหมือนเธอจะลืมนะว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีเพียงฉันและไมร่าเท่านั้นที่มีสิทธิ์โทรหาเธอ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกเย็นวาบไปถึงใจเอ่ยออกมา
“พอดีเป็นเพื่อนใหม่ที่พึ่งรู้จักวันนี้ ในคลาสก็มีการแลกเบอร์กันเผื่อว่าต้องติดต่อกันเรื่องเรียน ลินก็เลยแลกกับเพื่อน ๆ ไปหลายคน ขอโทษนะคะถ้าหากว่าทำให้คุณไม่พอใจ” “พึ่งไปเรียนวันแรกฉันนึกไม่ออกว่ามีเรื่องเรียนที่สำคัญอะไรที่ต้องโทรมาทั้งที่พึ่งเลิกคลาส” หญิงสาวไม่ตอบ เพราะก็ไม่รู้ถึงเหตุผลที่ไรอันโทรมาทั้งที่พึ่งเลิกคลาสอย่างที่เมสันว่าไพลินรู้สึกว่าเค้กตรงหน้าที่ดูจะอร่อยในตอนแรกกร่อยไปทันทีทั้งที่ยังไม่ได้ชิมเพราะอารมณ์ของผู้อุปถัมภ์ที่ตึงจนเธอรู้สึกได้เมสันไม่ได้โกรธหญิงสาวเพียงแต่เขาหงุดหงิดตัวเองที่กำลังกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลควบคุมอารมณ์ไม่ได้ยามเมื่อมีชายอื่นเข้ามาพัวพันในชีวิตไพลิน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะตีกรอบไม่ให้เธอคุยกับผู้ชายอื่นไพลินเรียนมหาลัยและมหาลัยก็ไม่ได้มีแต่ผู้หญิงเรียน เธอยังต้องมีสังคม..เมสันเตือนตัวเองใจใน“ถ้าคุณไม่พอใจเดี๋ยวลินจะนั่งลบเบอร์ของเพื่อน ๆ ในวันนี้ออกให้หมดเหลือแต่เบอร์ของคุณกับไมร่าเหมือนเดิมค่ะ”“ไม่เป็นไร…เธอยังต้องมีสังคม ฉันเป็นแค่ผู้ให้ทุนเรียน ไม่ใช่เจ้าชีวิตเธอ” เธอรู้ว่าเขาไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ห้ามและบังคับให
เกือบปีที่ไพลินมาอยู่ที่อเมริกาเธอเรียนรู้วิถีชีวิตต่างแดนและวัฒนธรรมการใช้ชีวิตทุกด้านของอเมริกาจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มีเพียงปัญหาเล็กน้อยที่เกิดจากผู้ให้ทุนเธอเท่านั้นที่ไพลินยังแก้ไม่ตก เพราะจนถึงวันนี้เมสันก็ยังไม่เคยให้เธอได้ลองใช้ขนส่งสาธารณะของอเมริกาเลยสักครั้งสมาชิกทุกคนของบ้านเดวาลอฟให้ความเป็นมิตรแก่เธอเป็นอย่างดีไม่เคยมีสักครั้งที่ใครจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้บางครั้งไมร่าเองจะมีกิจกรรมที่มหาลัยและไพลินเองก็มีกิจกรรมที่มหาลัย จนบางทีหลายวันกว่าจะเจอกันครั้งหนึ่งแม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อเจอกันไมร่าก็ยังคงใส่ใจและเป็นห่วงเธอไม่เปลี่ยน“วันมะรืนนี้วันเกิดของลินใช่หรือเปล่า เราไปฉลองกันข้างนอกหรือฉลองที่บ้านกันดี” ไมร่าพูดขึ้นบนโต๊ะอาหารเช้า“อย่าเลยไมร่าเปลืองเปล่า ๆ แค่นี้ลินก็เกรงใจจะแย่”“เกรงใจอะไรกันวันเกิดมีแค่ปีละครั้งไม่ใช่มีทุกวันเสียหน่อย ที่นี่ไมร่าจะเลี้ยงฉลองกันทุกปีนะไม่ว่าจะวันเกิดไมร่าหรือวันเกิดพี่เมสัน แต่รายนั้นไม่ค่อยจัดที่บ้านหรอก ไมร่าห้ามไม่ให้พี่เมสันพาคู่ควงคนไหนมาบ้านเพราะงานวันเกิดพี่เมสันต้องมี ดารานางแบบที่หมายมั่น
“ฉันบอกให้เธอพูด!!!” เมื่อเธอยังคงเงียบเขาจึงตะคอกอีกครั้งอย่างหมดความอดทน“ไม่มีค่ะ” เสียงสั่นเครือตอบโดยไมมองหน้าเมสันกำหมัดแน่นยับยั้งอารมณ์ไม่ให้ตัวเองต้องเผลอเสียงดังหรือตะคอกใส่หญิงสาวอีก ตอนนี้เธอกำลังกลัวเขา เมสันพยายามบอกตัวเองว่าการใช้อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่กลับจะทำให้ทุกอย่างดูแย่ลง ชายหนุ่มพยายามควบคุมอารมณ์ให้เย็นลงแล้วดึงร่างบางเข้ามากอด ทันทีที่ได้รับไออุ่นจากเขาไพลินก็ถึงกับปล่อยโฮออกมา มือหนายกขึ้นลูบศีรษะทุยอย่างเบามือ เขาปล่อยให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพอใจโดยไม่สนคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนสูทราคาแพงของตัวเองแม้แต่น้อย“ไม่พอใจฉันเรื่องที่ไมร่าพูดหรือไง” อารมณ์ที่เริ่มควบคุมได้ทำให้น้ำเสียงดูอ่อนลง หญิงสาวยังคงเงียบแม้จะคลายจากอาการสะอื้นบ้างแล้ว เมสันค่อย ๆ ดันเธอออกห่างเพื่อจะได้มองหญิงสาวให้ถนัดตา ดวงตาที่แดงก่ำผสมไปด้วยความเศร้าหมองนั้นทำให้ชายหนุ่มแทบอยากจะชกหน้าตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องร้องไห้“ลินไม่เป็นไรแล้ว คุณปล่อยลินก่อนเถอะค่ะ” เธอดันตัวเขาให้ออกห่างและพยายามให้ตัวเองหลุดออกจากการโอบรัดนั้น“คนโกหกต้องโดนอะไรรู้ใช่มั้ย” เมสันไม่ปล่อยและตีหน้าขร
ไฟในห้องถูกปรับให้สลัวพอให้ได้เห็นหน้ากัน ปากหยักได้รูปฉกลงมาควานหาความหอมหวานอีกครั้ง เรียวลิ้นสากแทรกผ่านริมฝีปากบางไปสำรวจความหอมหวานภายในอย่างถือสิทธิ์ ไพลินแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับรสจูบนั้น ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้เธอดูกล้ามากขึ้นที่จะเผยความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มออกไป ท่าทางไม่ประสีประสาของหญิงสาวทำให้ความต้องการของเมสันเริ่มปะทุขึ้นเรื่อย ๆ ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้ไพลินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติบวกกับความกล้าจากฤทธิ์ของพั้นซ์สีสวยทำให้ หญิงสาวอยากที่จะลองตอบสนองเขาตามที่ใจเรียกร้อง ชายหนุ่มครางอย่างพอใจเมื่อรู้สึกถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่ตอบสนองเขา อารมณ์ชายเริ่มโหมกระหน่ำจนแทบควบคุมไม่อยู่เมสันผละริมฝีปากออกแล้วย่อตัวช้อนเอาร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพาเดินไปยังเตียงกว้าง ไพลินซบหน้าเข้าหาอกแกร่งในขณะที่เรี่ยวแรงตอนนี้เหลือเพียงน้อยนิดเพราะถูกคนตัวโตสูบไปเกือบหมด เขาวางเธอลงบนเตียงกว้างที่หนานุ่มแล้วซุกหน้าซอกไซ้ไปตามแก้มนวลเรื่อยลงมาตามซอกคอที่หอมกรุ่นจากกายสาวและฝังหน้าอยู่ตร
ไพลินลืมตาขึ้นมาช้า ๆ หลังจากเพลิงรักจบลงเธอก็หลับใหลด้วยความอ่อนเพลียไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ หญิงสาวตั้งท่าจะขยับให้ตัวเองหลุดพ้นจากการโอบรัดของคนที่กอดเธอไว้ แต่พอจะพลิกกายอ้อมแขนที่รัดเธอไว้ก็รัดแน่นขึ้นไปอีก“จะไปไหน” เสียงเบาแต่หนักแน่นเอ่ยทั้งที่เจ้าของเสียงยังไม่ลืมตา“คุณกลับห้องเถอะค่ะ อีกไม่นานก็จะเช้าแล้วเดี๋ยวมีใครเห็น”“ชั้นนี้ทั้งชั้นนอกจากฉันกับไมร่าและเธอ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้ามาย่างกรายถ้าไม่ได้รับอนุญาต”“แต่ไมร่าจะรู้ถ้าคุณยังไม่ออกไปตอนนี้”“เธอกำลังไล่ผัวตัวเองอยู่นะ” ไพลินหน้าแดงกับสรรพนามที่เขาใช้แทนตัวเองกับเธอ“ถ้าไมร่ารู้ว่าลินทำตัวแบบนี้ไมร่าจะต้องผิดหวังในตัวลิน” ความกังวลเริ่มฉายชัดบนใบหน้ากลัวว่าเพื่อนจะรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น“เป็นเมียฉันมันน่าผิดหวังตรงไหน” เปลือกตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นมาทันทีแล้วถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง“ผิดที่หนูไม่มีอะไรคู่ควรพอที่จะอยู่ข้างคุณยังไงคะ” เสียงที่แผ่วเบาบอกอย่างเศร้า ๆเมสันขยับกายลุกนั่งเมื่อได้ยินสิ่งที่ไพลินพูดออกมา แววตาเครียดขรึมมองหญิงสาวอย่างนิ่งงันพร้อมกับกรามหนาที่บดเข้าหากันแน่นเพื่อสกัดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวในสิ่งที่ได้ยิน
หลังจากถูกจับให้อาบน้ำและทานยาพักผ่อนไพลินก็รู้สึกดีขึ้น อาการหนักอึ้งที่หัวและความเจ็บปวดกลางร่างกายเริ่มทุเลาลงไปมาก หญิงสาวค่อย ๆ ขยับตัวและลืมตาขึ้นมามองเพดานที่ขาวโพลนแล้วทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมารวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเอง“เป็นยังไงบ้างรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า” แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องเมื่อม่านหนาถูกเลื่อนให้ออกจากกันบ่งบอกให้เห็นบรรยากาศภายนอกห้องนอนที่สว่างจ้า เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นเรียกเธอให้รีบหันไปมอง“คุณเมสัน” เธอเรียกชื่อเขาแผ่วเบาร่างสูงก้าวเข้ามานั่งลงบนเตียงกับหญิงสาวแล้วยกมือขึ้นอังที่หน้าผาก“ยังเจ็บอยู่ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งถามขึ้นมาในขณะที่สายตามองไปยังกลางกายสาวเหมือนจะสื่อให้รู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใดไพลินก้มหน้าส่ายหัวเป็นคำตอบ…แก้มแดงขึ้นทันทีเมื่อรู้ความหมายของเขา“คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ ทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้”“ที่นี่บ้านฉัน…และห้องนี้เมื่อคืนฉันก็อยู่เกือบทั้งคืนทำไมตอนนี้ฉันจะอยู่อีกไม่ได้”“แต่ถ้าหากมีใคร….”“เลิกกังวลว่าใครจะมารู้มาเห็นสักที ห่วงตัวเองก่อนเถอะจะลุกจากเตียงยังแทบไม่ไหว” ชายหนุ่มเอ็ด
เมสันพาหญิงสาวเดินเข้าร้านเพชรชื่อดังอันดับต้น ๆ ของอเมริกา เมื่อเดินเข้ามาในร้านก็มีพนักงานสาวรีบเข้ามาทักทายต้อนรับชายหนุ่มราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของร้านก็ไม่ปาน“สวัสดีมิสเตอร์เดวาลอฟ...ทางเรารู้สึกยินดีอย่างมากที่คุณให้เกียรติมาถึงที่นี่วันนี้”“งานที่ผมสั่งทำเรียบร้อยหรือยัง” เมสันเดินตามพนักงานคนเดิมไปยังบริเวณรับรองลูกค้าโดยมีไพลินเดินตามชายหนุ่มไปติด ๆ“เรียบร้อยค่ะรบกวนคุณรอสักครู่นะคะเดี๋ยวทางเราจะเอาของมาให้ดูค่ะ” เมื่อพนักงานสาวเดินห่างออกไปเมสันก็หันมาทางไพลินที่นั่งตัวลีบมองไปทั่วร้านอยู่ข้างเขา“เดินดูได้นะอยากได้ชิ้นไหนก็เลือกเอา”“อย่าเลยค่ะ…ของมีราคาแบบนี้ไม่เหมาะกับลินหรอกค่ะ มันแพงเกินไป” เธอส่ายหน้าปฏิเสธพนักงานของร้านเดินถือกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่จำนวนสามกล่องเข้ามาหาแล้ววางตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะหยิบกล่องกำมะหยี่รูปหัวใจขึ้นมาแล้วเปิดออกสร้อยคอทองคำขาวพร้อมจี้ไพลินล้อมเพชรขนาดกะทัดรัดดีไซน์ทันสมัยที่เมสันสั่งทำขึ้นมาถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว ไพลินมองเครื่องประดับในกล่องหรูสลับกับมองหน้าชายหนุ่มสีหน้าแสดงออกถึงความสงสัย…แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเขานอ
“รู้สึกว่าช่วงนี้มึงจะดูสดชื่นเป็นพิเศษ…หรือกูรู้สึกไปเอง” คำทักทายของลูคัสทำเมสันที่กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารบนโต๊ะเหลือบสายตาขึ้นมามองเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะสลับสายตามาสนใจเอกสารดังเดิมแล้วตอบโต้ผู้มาใหม่ “หึ…มึงก็คงต้องว่างมากเป็นพิเศษถึงสังเกตถึงความสุขบนใบหน้ากูได้ขนาดนั้น” “ก็ไม่เชิง…แต่แค่กูได้ยินไมร่าบ่นว่าช่วงนี้เพื่อนของเธอถูกพี่ชายควบคุมจนแทบไม่ค่อยได้คุยกันก็เท่านั้นเอง” “ก็เจอกันบนโต๊ะอาหารเช้าทุกวันทำไมไม่คุย” เมสันแย้งแต่ไม่ยอมสบตาลูคัส “ก็แล้วทีมึงล่ะเช้าส่งไปเรียน…เลิกเรียนให้คนรอรับ จะไปไหนก็ต้องรายงาน…พาร์ทไทม์ก็ไมให้ทำ…แค่เด็กมันขอลองกลับบ้านเองมึงก็ยังไม่ยอม” ปากกาที่กำลังถืออยู่ในมือหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อลูคัสพูดจบ…เมสันถอนหายใจแล้วละสายตาจากงานตรงหน้าขึ้นมามองเพื่อน “ลินยังใหม่สำหรับที่นี่…ไมร่าก็ต้องไปเรียน…กูให้ความดูแลคนในปกครองไม่เห็นแปลกตรงไหน” ชายหนุ่มยังคงตีหน้าตายไม่ยอมให้อีกฝ่ายต้อนง่าย ๆ “แปลกตรงคนที่เคยหักห้ามใจและระวังตัวเรื่องผู้หญิงเก่งแบบมึงกลายเป็นคนที่อดทนและหักห้ามใจไม
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วเมสันก็ตั้งใจจะบินไปประเทศไทยกับภรรยาสาวเพื่อเยี่ยมครอบครัวของเธอ แต่ตารางงานที่ชายหนุ่มมีต้องรออีกเป็นเดือนถึงจะสามารถบินได้ เพราะ เมสันมีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปีและมีนัดเจรจาธุรกิจกับกองทัพสหรัฐเกี่ยวกับการผลิตยานพาหนะทางการทหารรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่สามารถส่งใครเข้าไปพูดคุยแทนได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องกลับไปเยี่ยมพี่สาวช้าไปอีกนิด” ชายหนุ่มบอกเมียเด็กของตนเองในค่ำคืนหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะ งานคุณสำคัญที่สุด..ลินรอได้” เธอบอกพลางแนบแก้มไปกับอกหนา หลังจากวันที่เข้าใจกันไพลินก็ย้ายห้องนอนมาอยู่ห้องของชายหนุ่มอย่างถาวรตามความต้องการของเจ้าของห้อง“อื้อ..อย่าพูดแบบนี้สิ สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญกว่าเธอกับลูก เพียงแต่งานที่กำลังเคลียร์มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ก่อนที่จะรู้ว่าจะต้องเดินทางไปประเทศไทยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายเพราะกลัวหญิงสาวจะคิดมาก“ลินเข้าใจค่ะ คุณให้ลินไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมด้วยได้มั้ยคะ ลินอยากเก็บเงินส่งไปเป็นค่าตั๋วให้พี่สาวและพี่เขยมาหาลินที่นี่” เธ
หลังจากที่ไพลินแกล้งให้เมสันเข้าใจผิดว่าตนเองจะหอบลูกมาอยู่ประเทศไทยถาวรจนชายหนุ่มโกรธและไม่ยอมคุยด้วยไปหลายวัน มาวันนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหวกับท่าทีของสามีที่ดูจะเงียบขรึมและเย็นชาขึ้นทุกวัน“วันนี้ลินขอไปที่บริษัทกับคุณด้วยได้มั้ยคะ” หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะง้อชายหนุ่มยังไงดีในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้าเมสันช้อนตามองภรรยาแวบเดียวแล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อโดยไม่พูดอะไร“จริงด้วย..พี่เมสันพาลินไปที่บริษัทด้วยสิคะลินจะได้ไม่เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเครียด” ไมร่าสนับสนุนคำขอของไพลินเพราะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังหาทางง้อพี่ชายของเธอ หลังจากที่ไพลินเดินมาปรึกษาและเล่าสาเหตุที่เมสันโกรธให้ฟัง“ที่บริษัทไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก ขนาดที่นี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะประเคนให้ยังรั้งใครไว้ไม่ได้” เสียงเรียบเอ่ยออกมาพร้อมทำท่าว่าจะอิ่มแล้วกับอาหารเช้าที่พึ่งทานเข้าไปไมร่าส่งสัญญาณให้ไพลินพูดอะไรสักอย่างก่อนที่พี่ชายของเธอจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ด้วย ไม่เหมือนที่นี่ที่หลังจากอาหารเช้าลินก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ร่าก็ต้องไปเรียน” เธอรีบบอก..หวังให้คำพูด
ไพลินปล่อยให้เมสันนอนหนุนตักเธอนานเท่าไหร่ไม่รู้จนเธอเองก็เผลอพิงโซฟาหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในท่านอนสบายบนโซฟาแล้วมีผ้าห่มคลุมตัวเรียบร้อย แต่กลับไร้เงาสามี หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มเพื่อตามหา “คุณตื่นแล้วเหรอคะ” มีอาที่กำลังเดินถือถาดอาหารกำลังจะไปยังชั้นบนของบ้านทักหญิงสาว “ค่ะ พอดีลินเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วคุณเมสันอยู่ไหนคะ” เธอถามาสามี “นายท่านอยู่บนห้องค่ะ หมอมาตรวจอาการพึ่งกลับไปเมื่อครู่” “แล้ว….” เธอกำลังจะถามถึงถาดอาหารที่มีอากำลังถืออยู่ “อาหารบำรุงของนายท่านที่หมอสั่งค่ะ ฉันกำลังจะเอาขึ้นไปให้” มีอาบอก “เดี๋ยวลินยกไปให้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวลินจะมาบอกมีอานะ” “ไม่เป็นไร คุณกำลังท้องอยู่เดี๋ยวนายท่านรู้จะดุเอาที่ปล่อยให้คุณทำอะไรแบบนี้” มีอาทำท่าว่าไม่ยอม “มีอา..ลินท้องนะคะไม่ได้ป่วย อีกอย่างถ้าหากนายท่านของมีอาดุเดี๋ยวลินจะเป็นคนจัดการเอง” เธอพูดยิ้ม ๆ ให้อีกฝ่ายคลายกังวลแล้วยื่นมือไปรอรั
เมสันและไพลินได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวที่บ้านหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลเกือบสิบวัน โดยระหว่างที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านก็จะมีหมอมาคอยตรวจอาการทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้งตามความประสงค์ของทนายประจำตระกูล เดวาลอฟที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เมสันมี“ไม่ต้องแสดงความอึดด้วยการหากิจกรรมทำยามค่ำคืนนะมึง เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” เมื่ออยู่กันตามลำพังสองหนุ่ม ลูคัสจึงพูดหยอกเมสัน“มึงจะให้กูทำอะไร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาที่บ้านได้สองวันแล้วกูแทบไม่เห็นหน้าเมีย คอยแต่จะหลบหน้าอยู่นั่นแหละไม่รู้ไม่พอใจอะไรอีก รอให้กูเข้าที่อีกหน่อยเถอะ” เมสันบ่นอย่างหงุดหงิด“แล้วมึงไปทำอะไรให้เมียเด็กของมึงงอนอีกละ”“ออกจากโรงพยาบาลมาก็อยู่แต่บ้านกูยังไม่ได้ออกไปไหน แล้วกูจะรู้หรือเปล่าล่ะว่ากูทำอะไรผิด กูก็อยู่เฉย ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ตอนนี้กูชักอยากจะกลับไปนอนโรงพยาบาลด้วยกันใหม่อีกรอบ” ลูคัสแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับอาการงอนเมียของอีกฝ่าย“เอาน่าใจเย็น ตอนนี้มึงก็ดีขึ้นมากแล้วเดี๋ยวเดินเหินได้สะดวกกว่านี้ค่อยว่ากัน คนท้องอาจจะมีอารมณ์แปรปรวนบ้างมึงต้องเข้าใ
เจเดนที่วิ่งตามคนเป็นนายมาติด ๆ และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเมสันวิ่งไปคว้าตัวไพลินให้พ้นจากรถที่วิ่งมา แต่ตัวเจ้านายของเขาถูกรถกระแทกทางด้านข้างแล้วพากันล้มกลิ้งไปบนฟุตบาทอยู่หลายตลบเจเดนเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วและจัดการเรียกหน่วยฉุกเฉินทันทีแล้วโทรหาดีแลนกับลูคัสเพื่อแจ้งเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นเมสันและไพลินถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากการช่วยเหลือและการประสานงานอย่างรวดเร็วทั้งจากลูคัสและและเครือข่ายของเมสันเองที่มีอยู่ทั่วทุกวงการไพลินมีอาการจุกที่ท้องน้อยและมีเลือดซึมออกทางช่องคลอด ส่วนเมสันนั้นก็มีอาการที่ค่อนข้างหนักเช่นกันเพราะนอกจากหัวแตกแล้วยังมีกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดจากการถูกรถเฉี่ยวแล้วล้มลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปตามทางอย่างแรงหลายตลบเพราะเอาตัวเองเป็นกำบังโดยการกอดไพลินไว้แน่นเพื่อให้หญิงสาวกระทบกระเทือนน้อยที่สุด “คุณผู้หญิงมีอาการแท้งคุกคามแต่ดีที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว เบื้องต้นเด็กในท้องยังอยู่แต่คงต้องให้คุณแม่นอนนิ่ง ๆ ห้ามเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็นที่โรงพยาบาลสักพักเพื่อให้ยากันแท้งและเพื่อให้แน่ใจว่าปลอด
จีน่าเก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ และพยายามหาข้อมูลของนักศึกษานามว่าไพลินซึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้หัวใจของผู้ชายคนที่เธอหมายปองไปครอง และเหมือนโชคจะเข้าข้างหล่อนในวันนี้ที่อาจารย์ประจำภาควิชาที่ไพลินเรียนขอลา จีน่าซึ่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการจึงต้องเข้ามาดูแลด้านการสอนแทนเป็นกรณีพิเศษ “วันนี้อาจารย์ว่าเรามาคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการเงินบ้างดีกว่า ในอเมริกาของเรามีใครบ้างนักศึกษาลองเอ่ยชื่อมาให้อาจารย์หน่อยสิคะ” จีน่ามองไปรอบ ๆ คลาสก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวชาวไทยที่เป็นเป้าหมายของเธอด้วยสายตาบางอย่าง นักศึกษาในคลาสต่างหันหน้าไปหารือและถามกันเรื่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและการเงิน และเหมือนกับว่าคำตอบของนักศึกษาส่วนใหญ่จะเข้าทางจีน่าเพราะชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากที่สุดก็คือชื่อของเมสันนั่นเอง “หนูเคยได้ยินว่าอาจารย์เคยเป็นผู้หญิงคนสนิทของคุณเมสันใช่หรือเปล่าคะ” เสียงนักศึกษาสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา จีน่าแอบยิ้มในใจ รู้สึกว่าวันนี้โชคจะเข้าเธอมากเป็นพิเศษ “ใช่..ที่จริงแล้วอาจารย์ก็พึ่งจะ
“คุณเหนื่อยหรือเปล่าคะวันนี้” ร่างบางเดินออกมาต้อนรับสามีทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน“นิดหน่อย..แต่พอได้เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยแล้ว”เสียงทุ้มตอบภรรยาเด็กยิ้ม ๆ พร้อมคว้าเอวคอดมาแนบตัวแล้วพาเดินไปนั่งพร้อมกัน“คุณอยากทานอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวหนูไปเอามาให้” ไพลินถามอย่างเอาใจ“มีอะไรก็ว่ามา ท่าทางแบบนี้คงมีอะไรสักเรื่องแน่นอน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทันเมื่อเห็นท่าทางเอาใจแปลก ๆ ของหญิงสาว ปกติแล้วไพลินจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกและแสดงความรักนอกห้องนอนหญิงสาวทำจมูกย่นใส่เมื่อถูกรู้ทัน ตอนนี้เธอเริ่มจะคุ้นเคยกับสามีมากขึ้นจนกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองและกล้าที่จะเผยความรู้สึกที่มีต่อเขา“หนูมีเรื่องอยากจะขอร้องค่ะ”“ตั้งแต่ออกบ้านไปคราวก่อนกลับมาแทนตัวเองแบบห่างเหินอีกแล้วนะ แทนตัวเองกับฉันว่าลินเหมือนเดิมด้วยเข้าใจไหม” ไพลินพยักหน้าให้ในความต้องการนั้น แล้ววกเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะพูดกับเขาต่อ“คือหนูอยากจะขอไปเรียนอีกเทอมที่เหลือให้จบได้หรือเปล่าคะ ตอนนี้ท้องยังไม่โตเรียนอีกเทอมก็แค่อีกไม่กี่เดือนเอง” เมื่อพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจดังตามมาติด ๆ หญิงสาวพูดเร็วและรัวเพราะกลัวจะถูกคำปฏิ
หลังจากที่เห็นท่าทางเศร้า ๆ ของไพลินวันนั้นเมสันก็รู้สึกไม่สบายใจมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าหญิงสาวจะยอมในเหตุผลของเขาแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าลึก ๆ แล้วเมียของเขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องหยุดเรียน เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจอันดับแรกในการมาอยู่ที่อเมริกา“มึงมีเรื่องอะไรถึงเรียกกูมาด่วน เมียก็กลับบ้านแล้ว คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือไงจะนั่งทำหน้าเครียดอะไรอีก หุ้นมึงก็ไม่ได้ตกสักตัวนี่หว่า” ลูคัสทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้นวมราคาแพงหน้าโต๊ะทำงานของเมสันด้วยท่าทางเซ็ง ๆ ที่ถูกเรียกให้มาหาด่วนทั้งที่พึ่งจะได้นั่งทำงานที่บริษัทตัวเองอย่างจริงจังไม่กี่วันหลังจากที่วุ่นอยู่กับเรื่องของเมสันและไพลิน“หุ้นกูไม่ได้ตกและบริษัทมึงก็คงไม่เจ๊งหรอกหากเจ้าของจะไม่นั่งหัวโด่อยู่นั่น”“ว่าไม่ได้นะ เกิดเจ๊งมาคนที่ลำบากคือน้องมึงนะถ้ากูไม่มีเงินเลี้ยง” จากที่อารมณ์เซ็งเมื่อครู่ลูคัสก็กลายเป็นพูดเล่นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเมสัน“ถ้าบริษัทมึงเจ๊งธุรกิจอสังหาในอเมริกาก็คงล่มสลายแล้วล่ะ” น้ำเสียงหงุดหงิดบอกห้วน ๆลูคัสยักไหล่ยกยิ้มกับคำเปรียบเปรยของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ถูกเรียกให้มาหา“สรุปมึงมีเรื่องอะไร”“กูไม่สบ
ไพลินมองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว ไม่ว่าจะยังไงเมสันก็คือคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อใจของเธอ“ขอบคุณค่ะ แต่หนู...”“มีอา..ต่อไปนี้ให้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นเร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง ไพลินจะต้องทานอาหารตรงเวลาทุกมื้อแล้วสั่งเชฟให้จัดของบำรุงครรภ์ด้วย เริ่มวันนี้” เสียงเข้มหันไปสั่งหัวหน้าแม่บ้านโดยไม่สนใจคำทัดทานที่กำลังออกจากปากของหญิงสาวแม้แต่น้อยมีอารับเสื้อสูทที่เจ้านายถอดยื่นให้พร้อมน้อมรับในคำสั่งใหม่แล้วรีบเดินไปแจ้งให้ในครัวทราบทันทีไพลินทำตัวไม่ถูกถึงแม้จะคุ้นเคยกับที่นี่ดีรวมถึงทุกคนในบ้าน แต่นั่นมันก่อนที่เธอและเมสันจะมีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของเจ้าของบ้านและเธอที่เป็นผู้อาศัยกันหมดแล้วเธอจึงไมรู้จะทำตัวยังไงดี เมสันเดินตรงมาหาไพลินอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกหวั่นกับท่าทีตึง ๆ ของเขาแต่เท้าของเธอกลับเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ไม่ยอมขยับไปไหน ไมร่าเดินถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ และไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้กำลังใจไพลินที่ตอนนี้ส่งสายตามาหาเช่นกันเหมือนจะบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน“ยังมีอาการเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” หน้าตา