หลังจากที่ไพลินแกล้งให้เมสันเข้าใจผิดว่าตนเองจะหอบลูกมาอยู่ประเทศไทยถาวรจนชายหนุ่มโกรธและไม่ยอมคุยด้วยไปหลายวัน มาวันนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหวกับท่าทีของสามีที่ดูจะเงียบขรึมและเย็นชาขึ้นทุกวัน
“วันนี้ลินขอไปที่บริษัทกับคุณด้วยได้มั้ยคะ” หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะง้อชายหนุ่มยังไงดีในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้า
เมสันช้อนตามองภรรยาแวบเดียวแล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อโดยไม่พูดอะไร
“จริงด้วย..พี่เมสันพาลินไปที่บริษัทด้วยสิคะลินจะได้ไม่เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเครียด” ไมร่าสนับสนุนคำขอของไพลินเพราะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังหาทางง้อพี่ชายของเธอ หลังจากที่ไพลินเดินมาปรึกษาและเล่าสาเหตุที่เมสันโกรธให้ฟัง
“ที่บริษัทไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก ขนาดที่นี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะประเคนให้ยังรั้งใครไว้ไม่ได้” เสียงเรียบเอ่ยออกมาพร้อมทำท่าว่าจะอิ่มแล้วกับอาหารเช้าที่พึ่งทานเข้าไป
ไมร่าส่งสัญญาณให้ไพลินพูดอะไรสักอย่างก่อนที่พี่ชายของเธอจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร
“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ด้วย ไม่เหมือนที่นี่ที่หลังจากอาหารเช้าลินก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ร่าก็ต้องไปเรียน” เธอรีบบอก..หวังให้คำพูดนี้รั้งให้ชายหนุ่มเห็นใจและหายโกรธ
“แล้วที่เธอจะหอบเอาลูกกลับไทยไม่เห็นเธอเดือดร้อนว่าจะมีฉันหรือไม่มี” ชายหนุ่มหันมาพูดด้วยสายตาเย็นชา
“แล้วถ้าลินจะกลับพร้อมคุณล่ะคะ คุณจะไปกับลินมั้ย” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด
“เธอหมายความว่ายังไง”
ไพลินมองหน้าไมร่าเหมือนจะขอสนับสนุนกำลังใจ ไมร่าพยักหน้าให้เหมือนกับจะบอกว่าสู้ ๆ แล้วเอ่ยขอตัวไปเรียนปล่อยให้เพื่อนสาวและพี่ชายได้ปรับความเข้าใจกัน
ไพลินลุกจากเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่เดินมาใกล้เมสันแล้วโน้มตัวลงไปโอบรอบคอเขาไว้
ชายหนุ่มเกร็งตัวเล็กน้อยกับท่าทีของภรรยาสาวแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร กลับรู้สึกดีใจมากกว่า
“ลินขอโทษนะคะที่ทำให้คุณโกรธและไม่สบายใจเรื่องที่ บอกจะกลับไทย ลินแค่อยากกลับไปเยี่ยมพี่สาวก็แค่นั้น ไม่ได้คิดจะหอบลูกหนีไปจากคุณสักหน่อย” เธอบอกเขาอย่าง้องอนแนบแก้มไปกับใบหน้าคมคร้ามอย่างออดอ้อน
เมสันที่ใจอ่อนยวบตั้งแต่เมียเดินมาโอบรอบคอแล้วยิ่งรู้สึกดีใจจนลิงโลดเข้าไปใหญ่ สัมผัสอันนุ่มนวลของภรรยาสาวนั้นสร้างความอบอุ่นแก่หัวใจที่เหี่ยวแห้งมาหลายวันของเขายิ่งนักแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ไม่อยากให้หญิงสาวรู้ว่าตัวเองใจอ่อน
“สนุกมากไหมที่เห็นฉันทุกข์ใจ” น้ำเสียงคล้ายน้อยใจเอ่ยออกมา
“ไม่สนุกและก็ไม่มีความสุขด้วยค่ะ” เธอตอบตามความรู้สึก
“แล้วทำทำไม” เขาถาม…แต่เธอไม่ตอบ
เมสันถอนหายใจแล้วขยับเก้าอี้ออก ยกมือคว้าร่างบางให้นั่งลงมาบนตักแล้วมองใบหน้าหวานด้วยความรู้สึกรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง
“อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม เธอรู้มั้ยตั้งแต่วันนั้นที่เธอบอกจะหอบลูกกลับไทยแล้วพูดเหมือนจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีกฉันแทบคลั่ง”
“แต่ลินก็เห็นคุณปกติดีนี่คะ ไม่เห็นมีท่าทีเดือดร้อนอะไร จนลินคิดว่าคุณคงอยากจะให้มันเป็นแบบนั้น คุณคงอยากให้ ลินไปอยู่ไกล ๆ”
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าภายใต้ความปกติที่เธอเห็นฉันต้องซ่อนความเจ็บไว้แค่ไหนกับการที่ต้องนับถอยหลังรอวันที่เธอกับลูกต้องจากไปไกล จะไปอยู่ด้วยนั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก ไหนจะงาน ไหนจะลูกน้อง ไหนจะน้องสาวที่ต้องดูแลต้องรับผิดชอบอีก ไม่ใช่ว่าจะจัดการวันสองวันเสร็จ ไม่ใช่ฉันไม่อยากรั้งหรือไม่รักเธอ แต่เธอเป็นคนบอกเองว่าถ้าเขาจะรักอยู่เฉย ๆ เขาก็รัก แต่ถ้าไม่รักต่อให้ทำยังไงสุดท้ายก็เจ็บอยู่ดี มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเธอไม่อยากอยู่ ต่อให้ฉันใช้อำนาจทุกทางที่มีฉันก็จะรั้งได้แค่เพียงกายแต่รั้งใจเธอไว้ไม่ได้ และสุดท้ายเธอก็ต้องหาทางไปจากฉันอยู่ดี” ไม่บ่อยนักที่คนอย่างเขาจะพูดอะไรยืดยาว แต่เพื่อความเข้าใจระหว่างเขากับเมียเด็กคนนี้เมสันคิดว่าเขาจำเป็นที่จะต้องพูด
“คุณเหนื่อยไหมคะถ้าหากจะต้องอยู่กับเด็กอย่างลิน ที่บางครั้งอาจจะเข้าใจอะไรยากและเอาแต่ใจแบบไร้เหตุผลไปบ้าง”
“แล้วถ้าฉันจะบอกว่าความสุขของฉันคือเธอล่ะ มันพอจะเป็นคำตอบของทุกปัญหาคาใจที่เธอมีได้หรือเปล่า” น้ำเสียงและแววตาที่อบอุ่นยามที่มองมายังเธอตอนนี้ไพลินรู้ดีว่ามันมาจากความรู้สึกของเขาจริง ๆ หากจะถามว่ายังมีอะไรที่อยากจะถามเขาอยู่หรือเปล่า เธอก็คงอยากบอกว่ามีมากมายแต่ส่วนมากสิ่งเหล่านั้นมันคืออดีตที่เขาคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ และเธอก็ไม่ควรเอามันมาเป็นอุปสรรคเพื่อสร้างอนาคตกับเขาเช่นกัน
“คำว่าขอบคุณมันก็คงจะไม่พอสำหรับสิ่งที่คุณให้กับลิน แต่ถ้าจะให้หาสิ่งอื่นใดมาตอบแทน ลินก็ไม่รู้จะหาอะไรมาให้ เพราะต่อให้ตอบแทนยังไงก็ไม่อาจเทียบเท่าสิ่งที่คุณให้ได้เลย” รอยยิ้มหวานปรากฎบนใบหน้าคมครั้งแรกในรอบหลายเดือนเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา
“เธอยังเด็กยังต้องเจอกับอะไรอีกเยอะ ขอเพียงเป็นเด็กดีเชื่อฟังฉันก็พอ เพราะฉันรับรองได้ว่าฉันจะเป็นคนที่พาชีวิตเธอและลูกไปเจอแต่คำว่าความสุข และพร้อมจะปกป้องเธอและลูกจากความทุกข์และปัญหาที่เข้ามาด้วยชีวิต ขอแค่เธอเชื่อใจฉันก็พอ อีกอย่างมีอะไรให้ถามให้บอกฉันตรง ๆ เพราะคนอื่นไม่ได้อยู่กับเรา เราคือคนที่จะอยู่ด้วยกันและฉันพร้อมที่จะให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตทุกเรื่อง” น้ำเสียงหนักแน่นพร้อมสายตาแน่วแน่นั้นเป็นคำยืนยันได้ดีว่าเขาทำได้อย่างที่พูดให้เธอกับลูกได้จริง ๆ
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วเมสันก็ตั้งใจจะบินไปประเทศไทยกับภรรยาสาวเพื่อเยี่ยมครอบครัวของเธอ แต่ตารางงานที่ชายหนุ่มมีต้องรออีกเป็นเดือนถึงจะสามารถบินได้ เพราะ เมสันมีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปีและมีนัดเจรจาธุรกิจกับกองทัพสหรัฐเกี่ยวกับการผลิตยานพาหนะทางการทหารรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่สามารถส่งใครเข้าไปพูดคุยแทนได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องกลับไปเยี่ยมพี่สาวช้าไปอีกนิด” ชายหนุ่มบอกเมียเด็กของตนเองในค่ำคืนหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะ งานคุณสำคัญที่สุด..ลินรอได้” เธอบอกพลางแนบแก้มไปกับอกหนา หลังจากวันที่เข้าใจกันไพลินก็ย้ายห้องนอนมาอยู่ห้องของชายหนุ่มอย่างถาวรตามความต้องการของเจ้าของห้อง“อื้อ..อย่าพูดแบบนี้สิ สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญกว่าเธอกับลูก เพียงแต่งานที่กำลังเคลียร์มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ก่อนที่จะรู้ว่าจะต้องเดินทางไปประเทศไทยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายเพราะกลัวหญิงสาวจะคิดมาก“ลินเข้าใจค่ะ คุณให้ลินไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมด้วยได้มั้ยคะ ลินอยากเก็บเงินส่งไปเป็นค่าตั๋วให้พี่สาวและพี่เขยมาหาลินที่นี่” เธ
“นะลินนะ..ไมร่าจะช่วยลินเอง เชื่อไมร่าสิว่าพี่เมสันจะต้องให้ทุนลินไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา อีกเดือนเดียว ไมร่าก็จะต้องกลับอเมริกาแล้ว ถ้าลินไปเรียนต่อที่นั่นเราก็จะได้เจอกันเหมือนเดิมไง” ไมร่า มิคาอิล เดวาลอฟ เด็กสาวชาวอเมริกันวัย 18 ปีที่เป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนกำลังโน้มน้าวไพลินเพื่อนสาวชาวไทยให้ยอมไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกาด้วยกัน โดยเสนอว่าจะคุยกับพี่ชายของเธอให้เพื่อนสาวสำหรับการสนับสนุนทุนการศึกษา เพราะรู้ว่าฐานะทางบ้านของไพลินไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะสนับสนุนให้เพื่อนสาวของเธอไปเรียนต่อที่อเมริกาได้ตั้งแต่ที่ไมร่ามาเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนของไพลินถ้าไม่นับเวลากลางคืนที่ไมร่าต้องพักอาศัยบ้านอาจารย์เพ็ญชาติซึ่งเป็นโฮสต์ของเธอแล้ว ไพลินถือว่าเป็นทุกอย่างสำหรับไมล่าในการช่วยเหลือด้านการใช้ชีวิตและการเรียนระหว่างอยู่ที่ประเทศไทย ไมร่าเป็นลูกเศรษฐีอเมริกันที่อยากมาหาประสบการณ์การเรียนและวัฒนธรรมที่ไทยโดยเลือกที่จะสอบทุนมามากกว่าใช้ทุนส่วนตัว เพราะอยากแสดงให้พี่ชายเห็นว่าเธอมีความสามารถพอ“ค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ๆ นะไมร่า ไหนจะค่าเดินเรื่องต่าง ๆ อีก ลินไม่มีเงินขนาดนั้
หลังจากที่เมื่อคืนนั่งคุยกับพี่สาวจนดึกดื่นและยังมีพี่เขยมาสมทบให้การสนับสนุนเธอในการขอทุนไปเรียนต่ออเมริกาในครั้งนี้ทำให้ไพลินมีกำลังใจเป็นอย่างมากที่จะเดินไปตามความฝันเพื่ออนาคตของตนเองและครอบครัว วันนี้เธอจึงเตรียมคำตอบมาให้ไมร่าอย่างไม่ลังเล “ลิน..ทางนี้ ทางนี้ ทำไมวันนี้มาสายจัง” ไพลินเร่งฝีเท้าไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสาวที่กำลังโบกไม้โบกมือให้เธอออยู่ไม่ไกลนัก “ลินขอโทษทีไมร่า พอดีเมื่อคืนลินนอนดึกไปหน่อยวันนี้เลยเผลอตื่นสาย ไมร่าทานอะไรมาหรือยัง” “ยังเลยก็รอลินนั่นแหละ แต่ดูแล้วคงไม่น่าจะทันแล้วล่ะ” “ลินขอโทษนะไมร่าที่ทำให้ไม่ได้ทานอาหารเช้า เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวลินจะไปซื้อแซนด์วิชให้ ไมร่าเข้าห้องไปก่อนจะได้ไม่ถูกอาจารย์เช็คชื่อว่ามาสาย” สีหน้ารู้สึกผิดบอกกับเพื่อนสาวผมทองเสียงอ่อยเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนต้องพลาดอาหารเช้าซึ่งเธอเป็นคนบอกกับเพื่อนสาวอเมริกันคนนี้เสมอตั้งแต่มาอยู่ที่ประเทศไทยว่าอาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ “ไม่เป็นไรหรอกลินอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไมร่าไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก เมื่อกี้ก็ทานนมรอง
“ครูดีใจนะไพลินที่เธอได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ เพราะมีไม่บ่อยมากนักที่นักเรียนจะได้ทุนฟรีเต็มจำนวนโดยไม่ต้องสอบแข่งขันกับใคร และก็ขอบใจไมร่าด้วยที่ช่วยเปิดโอกาสดี ๆ ให้เพื่อน” น้ำเสียงภูมิใจของครูเพ็ญชาติบอกลูกศิษย์วัยสาวด้วยความปลื้มปริ่ม“ลินเป็นคนเก่งและเป็นเพื่อนที่ดีของไมร่าตลอดเวลาที่ ไมร่าอยู่ที่ไทย อะไรที่ช่วยได้ไมร่าก็อยากช่วย ไมร่าพอจะรู้ว่าที่นี่ทุนแบบเต็มหายากและต้องแข่งขันสูง ไมร่าแค่ช่วยเป็นสื่อกลางเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่ลินจะสัมภาษณ์กับพี่เมสันเอง” ภาษาไทยที่ฟังดูแปร่ง ๆ ของไมร่าพูดถ่อมตัวเพราะรู้ว่าไพลินเป็นคนขี้เกรงใจ การพูดให้คนอย่างไพลินรู้สึกว่าตัวเองได้อะไรมาด้วยความสามารถจะช่วยสร้างกำลังใจให้เพื่อนสาวมากกว่าการช่วยเหลือแบบไม่ให้แสดงความสามารถอะไรเลย“แล้วอยากให้ครูช่วยพูดให้ความมั่นใจกับคุณเมสันหรือเปล่าว่าไพลินเป็นคนยังไง เรียนดี เรียนเด่น มารยาทงามเหมาะสมกับการได้ทุนอะไรแบบนี้ด้วยไหม” ครูเพ็ญชาติถามนักเรียนทั้งสองคนที่คืนนี้อยู่ในความดูแลของตนเองหลังจากที่ ไมร่ามาขออนุญาตให้ไพลินมาค้างด้วยเพื่อจะสอบสัมภาษณ์ทุนผ่านทางวิดีโอคอลในคืนนี้กับทางผู้ให้ทุนที่อยู่อ
“เมื่อไหร่น้องมึงจะกลับจากไทยจะครบปีแล้วไม่ใช่หรือไง” เสียงปิดประตูดังสะเทือนไปทั้งห้อง ตามมาด้วยคำถามห้วน ๆ ของผู้มาเยือนทำให้เมสันตวัดสายตาขึ้นมองแบบไม่พอใจนักที่ถูกบุกรุกจากคนที่เขาไม่ยอมรับสายมันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา“มารยาทไม่มีหรือไงเห็นหรือเปล่าว่ากูทำงานอยู่” เสียงเข้มถามแบบไม่รักษาน้ำใจ“กูไม่อยากมีมารยาทกับมึง เมื่อไหร่น้องมึงจะกลับ” ลูคัส ถามย้ำในสิ่งที่อยากรู้“กูไม่รู้”“มึงเป็นพี่ประสาอะไรไม่รู้ว่าน้องตัวเองจะไปจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไมร่าตกอยู่ในอันตรายมึงจะทำยังไง”“กูเป็นพี่ แล้วมึงเป็นอะไรถึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกู ไมร่าโตแล้วไม่จำเป็นต้องติดตามทุกฝีก้าว” สายตาคมเหลือบมองเพื่อนซี้ที่พยายามอยากเสนอตัวมาเป็นน้องเขยพร้อมพูดแบบไม่สะทกสะท้าน ยั่วให้ลูคัสอารมณ์กรุ่นมากยิ่งขึ้น“แต่น้องมึงเป็นผู้หญิง ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้นเป็นปีโดยไม่มีคนคอยคุมก็ว่าเสี่ยงแล้ว นี่มึงยังจะละเลยไม่สนใจทั้งที่ใกล้ถึงเวลาที่ไมร่าต้องกลับเนี่ยนะ”“เหลือเวลาอีกเป็นเดือนมึงจะโวยวายอะไร ธุรกิจอสังหาของมึงทั้งอเมริกามันล่มสลายแล้วหรือไงถึงมีเวลามายุ่งเรื่องน้องสาวกู” เมสันเริ่มอารมณ์เสียที
เจเดนพาไมร่าและไพลินเดินทางไปอเมริกาด้วยสายการบินชั้นเฟิร์สคลาสตามคำสั่งของเมสัน ไพลินรู้สึกตื่นเต้นกับการขึ้นนกเหล็กเป็นครั้งแรกในชีวิต การเดินทางไกลที่เธอเคยคิดว่าคงเป็นได้แค่ความฝันตอนนี้ความฝันนั้นกำลังเป็นจริงและยังเป็นฝันที่เกินฝันอีกด้วย“เป็นไงบ้างลิน กลัวหรือเปล่า” ไมร่าหันมาถามเพราะรู้ว่าเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของไพลิน“ก็รู้สึกเสียวที่ท้องตอนที่เครื่องกำลังขึ้นแต่ตอนนี้โอเคแล้ว”“มีอะไรก็บอกได้นะไมร่าขอพักสายตานิดหนึ่ง อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าคนพูดเริ่มจะง่วงนอนทำให้เพื่อนสาวอย่างไพลินรีบพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาคู่หวานมองเลยไปยังเจเดนที่นั่งอยู่แถวถัดไปใกล้กับไมร่า ตอนนี้ฝ่ายนั้นก็หลับตาแล้วเหมือนกันแต่จะหลับจริงหรือเปล่าเธอก็ไม่รู้ ตั้งแต่ถูกส่งมาจัดการเรื่องบินกลับอเมริกาของไมร่าและคอยช่วยเหลือเธอด้านเอกสารเดินทางไพลินรู้สึกว่าเจเดนพูดน้อยมาก จะพูดก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องพูดเท่านั้น ถ้าไมร่าไม่บอกว่าเจเดนเป็นเลขามือสองของพี่ชาย ไพลินก็คิดว่าเจเดนคงเป็นบอดี้การ์ดเหมือนในหนังแน่ ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย บุคลิก รวมถึงท่าทีเกรงใจที่แสดงกับไมร่านั้น ไ
เช้าแรกของการตื่นมาบนแผ่นดินที่ไมใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไพลินรู้สึกตื่นเต้นยังไม่หายกับการเข้ามาอาศัยที่บ้านของไมร่า เพราะสำหรับเธอแล้วมันคือคฤหาสน์ไมใช่บ้าน ความกว้างขวางของที่นี่ทำให้ทุกย่างก้าวที่เธอเดินไปนั้นให้ความรู้สึกแบบโหวง ๆ เพราะเคยอยู่แต่บ้านที่เปิดประตูห้องนอนมาก็เจอโต๊ะกับข้าว ทีวี ตู้เย็นเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่อันจำกัดไพลินรีบลุกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะลงไปดูว่ามีอะไรที่เธอพอจะช่วยงานแม่บ้านที่นี่ได้บ้างแม้ไมร่าจะบอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไรเพราะที่นี่มีคนดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างแต่ไพลินคิดว่าเธอไม่ควรทำแบบนั้น ไมร่าคือเจ้านายคือเจ้าของบ้านของที่นี่แต่เธอคือผู้อาศัยจะทำตัวเหมือนเจ้าของบ้านก็คงจะไม่เหมาะนักเมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จไพลินก็เดินลงมายังชั้นล่างของบ้านเดวาลอฟ เวลานี้ไมร่ายังไม่ตื่นส่วนเมสันเธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่หรือไม่อยู่บ้านในตอนนี้ ตั้งแต่มาถึงอเมริกาเธอก็ยังไม่มีโอกาสเจอหน้าพี่ชายของเพื่อน“มีอะไรให้หนูช่วยมั้ยคะ” เสียงใสเอ่ยถามแม่บ้านที่กำลังตรวจดูความสะอาดของโต๊ะก่อนจะถึงเวลาตั้งโต๊ะอาหารเช้าให้กับเจ้านาย“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่เช็คความสะอาดของโต๊ะอา
“เธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าต้องเรียนคนละที่กับไมร่า” เมสันยกกาแฟที่มีควันลอยกรุ่นส่งกลิ่นหอมขึ้นจิบก่อนจะหันมาคุยกับไพลินต่อหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแอบพิจารณากันและเงียบไปพักใหญ่ และคนที่ทำลายความเงียบนั้นก็ไม่ใช่ทั้งเมสันและไพลินแต่เป็นมีอาที่ยกกาแฟเข้ามาให้เจ้านาย “ค่ะ” ไพลินตอบเสียงเบา เธอพอจะรู้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาที่อเมริกาแล้วว่าเธอและไมร่าไม่ได้เรียนที่เดียวกัน และเพราะไมร่ายืนยันว่าจะกลับอเมริกาพร้อมกับเธอถ้าหากจะรอให้เธอเดินเรื่องเรียนตามขั้นตอนก็คงจะทำให้ไมร่าพลาดการเรียนเทอมแรกในมหาวิทยาลัย เพราะเทอมการศึกษาของที่ไทยและอเมริกานั้นต่างกันไพลินคิดว่าคนเป็นพี่ชายอย่างเมสันคงไม่อยากให้น้องสาวของเขาต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุจึงยอมที่จะจัดการเรื่องที่เรียนให้เธอแบบรวบรัดโดยใช้อำนาจและเส้นสายที่มีเพื่อให้เธอได้เอกสารรับรองจากมหาวิทยาลัยสำหรับขอวีซ่า ทั้งที่ปกติการมาเรียนต่อที่อเมริกาจะต้องมีการประสานกับมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนล่วงหน้าเป็นปี ๆ โดยเฉพาะเอกสารรับรองสถานะทางการเงินของผู้ปกครองซึ่งหากจะเรียกดูจากพี่สาวของเธอแล้วยังไงก็ไมมีทางผ่าน แต่เมสันก็ส่งเจเดนมาจัดกา
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วเมสันก็ตั้งใจจะบินไปประเทศไทยกับภรรยาสาวเพื่อเยี่ยมครอบครัวของเธอ แต่ตารางงานที่ชายหนุ่มมีต้องรออีกเป็นเดือนถึงจะสามารถบินได้ เพราะ เมสันมีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปีและมีนัดเจรจาธุรกิจกับกองทัพสหรัฐเกี่ยวกับการผลิตยานพาหนะทางการทหารรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่สามารถส่งใครเข้าไปพูดคุยแทนได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องกลับไปเยี่ยมพี่สาวช้าไปอีกนิด” ชายหนุ่มบอกเมียเด็กของตนเองในค่ำคืนหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะ งานคุณสำคัญที่สุด..ลินรอได้” เธอบอกพลางแนบแก้มไปกับอกหนา หลังจากวันที่เข้าใจกันไพลินก็ย้ายห้องนอนมาอยู่ห้องของชายหนุ่มอย่างถาวรตามความต้องการของเจ้าของห้อง“อื้อ..อย่าพูดแบบนี้สิ สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญกว่าเธอกับลูก เพียงแต่งานที่กำลังเคลียร์มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ก่อนที่จะรู้ว่าจะต้องเดินทางไปประเทศไทยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายเพราะกลัวหญิงสาวจะคิดมาก“ลินเข้าใจค่ะ คุณให้ลินไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมด้วยได้มั้ยคะ ลินอยากเก็บเงินส่งไปเป็นค่าตั๋วให้พี่สาวและพี่เขยมาหาลินที่นี่” เธ
หลังจากที่ไพลินแกล้งให้เมสันเข้าใจผิดว่าตนเองจะหอบลูกมาอยู่ประเทศไทยถาวรจนชายหนุ่มโกรธและไม่ยอมคุยด้วยไปหลายวัน มาวันนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหวกับท่าทีของสามีที่ดูจะเงียบขรึมและเย็นชาขึ้นทุกวัน“วันนี้ลินขอไปที่บริษัทกับคุณด้วยได้มั้ยคะ” หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะง้อชายหนุ่มยังไงดีในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้าเมสันช้อนตามองภรรยาแวบเดียวแล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อโดยไม่พูดอะไร“จริงด้วย..พี่เมสันพาลินไปที่บริษัทด้วยสิคะลินจะได้ไม่เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเครียด” ไมร่าสนับสนุนคำขอของไพลินเพราะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังหาทางง้อพี่ชายของเธอ หลังจากที่ไพลินเดินมาปรึกษาและเล่าสาเหตุที่เมสันโกรธให้ฟัง“ที่บริษัทไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก ขนาดที่นี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะประเคนให้ยังรั้งใครไว้ไม่ได้” เสียงเรียบเอ่ยออกมาพร้อมทำท่าว่าจะอิ่มแล้วกับอาหารเช้าที่พึ่งทานเข้าไปไมร่าส่งสัญญาณให้ไพลินพูดอะไรสักอย่างก่อนที่พี่ชายของเธอจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ด้วย ไม่เหมือนที่นี่ที่หลังจากอาหารเช้าลินก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ร่าก็ต้องไปเรียน” เธอรีบบอก..หวังให้คำพูด
ไพลินปล่อยให้เมสันนอนหนุนตักเธอนานเท่าไหร่ไม่รู้จนเธอเองก็เผลอพิงโซฟาหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในท่านอนสบายบนโซฟาแล้วมีผ้าห่มคลุมตัวเรียบร้อย แต่กลับไร้เงาสามี หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มเพื่อตามหา “คุณตื่นแล้วเหรอคะ” มีอาที่กำลังเดินถือถาดอาหารกำลังจะไปยังชั้นบนของบ้านทักหญิงสาว “ค่ะ พอดีลินเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วคุณเมสันอยู่ไหนคะ” เธอถามาสามี “นายท่านอยู่บนห้องค่ะ หมอมาตรวจอาการพึ่งกลับไปเมื่อครู่” “แล้ว….” เธอกำลังจะถามถึงถาดอาหารที่มีอากำลังถืออยู่ “อาหารบำรุงของนายท่านที่หมอสั่งค่ะ ฉันกำลังจะเอาขึ้นไปให้” มีอาบอก “เดี๋ยวลินยกไปให้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวลินจะมาบอกมีอานะ” “ไม่เป็นไร คุณกำลังท้องอยู่เดี๋ยวนายท่านรู้จะดุเอาที่ปล่อยให้คุณทำอะไรแบบนี้” มีอาทำท่าว่าไม่ยอม “มีอา..ลินท้องนะคะไม่ได้ป่วย อีกอย่างถ้าหากนายท่านของมีอาดุเดี๋ยวลินจะเป็นคนจัดการเอง” เธอพูดยิ้ม ๆ ให้อีกฝ่ายคลายกังวลแล้วยื่นมือไปรอรั
เมสันและไพลินได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวที่บ้านหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลเกือบสิบวัน โดยระหว่างที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านก็จะมีหมอมาคอยตรวจอาการทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้งตามความประสงค์ของทนายประจำตระกูล เดวาลอฟที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เมสันมี“ไม่ต้องแสดงความอึดด้วยการหากิจกรรมทำยามค่ำคืนนะมึง เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” เมื่ออยู่กันตามลำพังสองหนุ่ม ลูคัสจึงพูดหยอกเมสัน“มึงจะให้กูทำอะไร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาที่บ้านได้สองวันแล้วกูแทบไม่เห็นหน้าเมีย คอยแต่จะหลบหน้าอยู่นั่นแหละไม่รู้ไม่พอใจอะไรอีก รอให้กูเข้าที่อีกหน่อยเถอะ” เมสันบ่นอย่างหงุดหงิด“แล้วมึงไปทำอะไรให้เมียเด็กของมึงงอนอีกละ”“ออกจากโรงพยาบาลมาก็อยู่แต่บ้านกูยังไม่ได้ออกไปไหน แล้วกูจะรู้หรือเปล่าล่ะว่ากูทำอะไรผิด กูก็อยู่เฉย ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ตอนนี้กูชักอยากจะกลับไปนอนโรงพยาบาลด้วยกันใหม่อีกรอบ” ลูคัสแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับอาการงอนเมียของอีกฝ่าย“เอาน่าใจเย็น ตอนนี้มึงก็ดีขึ้นมากแล้วเดี๋ยวเดินเหินได้สะดวกกว่านี้ค่อยว่ากัน คนท้องอาจจะมีอารมณ์แปรปรวนบ้างมึงต้องเข้าใ
เจเดนที่วิ่งตามคนเป็นนายมาติด ๆ และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเมสันวิ่งไปคว้าตัวไพลินให้พ้นจากรถที่วิ่งมา แต่ตัวเจ้านายของเขาถูกรถกระแทกทางด้านข้างแล้วพากันล้มกลิ้งไปบนฟุตบาทอยู่หลายตลบเจเดนเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วและจัดการเรียกหน่วยฉุกเฉินทันทีแล้วโทรหาดีแลนกับลูคัสเพื่อแจ้งเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นเมสันและไพลินถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากการช่วยเหลือและการประสานงานอย่างรวดเร็วทั้งจากลูคัสและและเครือข่ายของเมสันเองที่มีอยู่ทั่วทุกวงการไพลินมีอาการจุกที่ท้องน้อยและมีเลือดซึมออกทางช่องคลอด ส่วนเมสันนั้นก็มีอาการที่ค่อนข้างหนักเช่นกันเพราะนอกจากหัวแตกแล้วยังมีกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดจากการถูกรถเฉี่ยวแล้วล้มลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปตามทางอย่างแรงหลายตลบเพราะเอาตัวเองเป็นกำบังโดยการกอดไพลินไว้แน่นเพื่อให้หญิงสาวกระทบกระเทือนน้อยที่สุด “คุณผู้หญิงมีอาการแท้งคุกคามแต่ดีที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว เบื้องต้นเด็กในท้องยังอยู่แต่คงต้องให้คุณแม่นอนนิ่ง ๆ ห้ามเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็นที่โรงพยาบาลสักพักเพื่อให้ยากันแท้งและเพื่อให้แน่ใจว่าปลอด
จีน่าเก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ และพยายามหาข้อมูลของนักศึกษานามว่าไพลินซึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้หัวใจของผู้ชายคนที่เธอหมายปองไปครอง และเหมือนโชคจะเข้าข้างหล่อนในวันนี้ที่อาจารย์ประจำภาควิชาที่ไพลินเรียนขอลา จีน่าซึ่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการจึงต้องเข้ามาดูแลด้านการสอนแทนเป็นกรณีพิเศษ “วันนี้อาจารย์ว่าเรามาคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการเงินบ้างดีกว่า ในอเมริกาของเรามีใครบ้างนักศึกษาลองเอ่ยชื่อมาให้อาจารย์หน่อยสิคะ” จีน่ามองไปรอบ ๆ คลาสก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวชาวไทยที่เป็นเป้าหมายของเธอด้วยสายตาบางอย่าง นักศึกษาในคลาสต่างหันหน้าไปหารือและถามกันเรื่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและการเงิน และเหมือนกับว่าคำตอบของนักศึกษาส่วนใหญ่จะเข้าทางจีน่าเพราะชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากที่สุดก็คือชื่อของเมสันนั่นเอง “หนูเคยได้ยินว่าอาจารย์เคยเป็นผู้หญิงคนสนิทของคุณเมสันใช่หรือเปล่าคะ” เสียงนักศึกษาสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา จีน่าแอบยิ้มในใจ รู้สึกว่าวันนี้โชคจะเข้าเธอมากเป็นพิเศษ “ใช่..ที่จริงแล้วอาจารย์ก็พึ่งจะ
“คุณเหนื่อยหรือเปล่าคะวันนี้” ร่างบางเดินออกมาต้อนรับสามีทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน“นิดหน่อย..แต่พอได้เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยแล้ว”เสียงทุ้มตอบภรรยาเด็กยิ้ม ๆ พร้อมคว้าเอวคอดมาแนบตัวแล้วพาเดินไปนั่งพร้อมกัน“คุณอยากทานอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวหนูไปเอามาให้” ไพลินถามอย่างเอาใจ“มีอะไรก็ว่ามา ท่าทางแบบนี้คงมีอะไรสักเรื่องแน่นอน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทันเมื่อเห็นท่าทางเอาใจแปลก ๆ ของหญิงสาว ปกติแล้วไพลินจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกและแสดงความรักนอกห้องนอนหญิงสาวทำจมูกย่นใส่เมื่อถูกรู้ทัน ตอนนี้เธอเริ่มจะคุ้นเคยกับสามีมากขึ้นจนกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองและกล้าที่จะเผยความรู้สึกที่มีต่อเขา“หนูมีเรื่องอยากจะขอร้องค่ะ”“ตั้งแต่ออกบ้านไปคราวก่อนกลับมาแทนตัวเองแบบห่างเหินอีกแล้วนะ แทนตัวเองกับฉันว่าลินเหมือนเดิมด้วยเข้าใจไหม” ไพลินพยักหน้าให้ในความต้องการนั้น แล้ววกเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะพูดกับเขาต่อ“คือหนูอยากจะขอไปเรียนอีกเทอมที่เหลือให้จบได้หรือเปล่าคะ ตอนนี้ท้องยังไม่โตเรียนอีกเทอมก็แค่อีกไม่กี่เดือนเอง” เมื่อพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจดังตามมาติด ๆ หญิงสาวพูดเร็วและรัวเพราะกลัวจะถูกคำปฏิ
หลังจากที่เห็นท่าทางเศร้า ๆ ของไพลินวันนั้นเมสันก็รู้สึกไม่สบายใจมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าหญิงสาวจะยอมในเหตุผลของเขาแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าลึก ๆ แล้วเมียของเขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องหยุดเรียน เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจอันดับแรกในการมาอยู่ที่อเมริกา“มึงมีเรื่องอะไรถึงเรียกกูมาด่วน เมียก็กลับบ้านแล้ว คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือไงจะนั่งทำหน้าเครียดอะไรอีก หุ้นมึงก็ไม่ได้ตกสักตัวนี่หว่า” ลูคัสทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้นวมราคาแพงหน้าโต๊ะทำงานของเมสันด้วยท่าทางเซ็ง ๆ ที่ถูกเรียกให้มาหาด่วนทั้งที่พึ่งจะได้นั่งทำงานที่บริษัทตัวเองอย่างจริงจังไม่กี่วันหลังจากที่วุ่นอยู่กับเรื่องของเมสันและไพลิน“หุ้นกูไม่ได้ตกและบริษัทมึงก็คงไม่เจ๊งหรอกหากเจ้าของจะไม่นั่งหัวโด่อยู่นั่น”“ว่าไม่ได้นะ เกิดเจ๊งมาคนที่ลำบากคือน้องมึงนะถ้ากูไม่มีเงินเลี้ยง” จากที่อารมณ์เซ็งเมื่อครู่ลูคัสก็กลายเป็นพูดเล่นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเมสัน“ถ้าบริษัทมึงเจ๊งธุรกิจอสังหาในอเมริกาก็คงล่มสลายแล้วล่ะ” น้ำเสียงหงุดหงิดบอกห้วน ๆลูคัสยักไหล่ยกยิ้มกับคำเปรียบเปรยของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ถูกเรียกให้มาหา“สรุปมึงมีเรื่องอะไร”“กูไม่สบ
ไพลินมองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว ไม่ว่าจะยังไงเมสันก็คือคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อใจของเธอ“ขอบคุณค่ะ แต่หนู...”“มีอา..ต่อไปนี้ให้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นเร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง ไพลินจะต้องทานอาหารตรงเวลาทุกมื้อแล้วสั่งเชฟให้จัดของบำรุงครรภ์ด้วย เริ่มวันนี้” เสียงเข้มหันไปสั่งหัวหน้าแม่บ้านโดยไม่สนใจคำทัดทานที่กำลังออกจากปากของหญิงสาวแม้แต่น้อยมีอารับเสื้อสูทที่เจ้านายถอดยื่นให้พร้อมน้อมรับในคำสั่งใหม่แล้วรีบเดินไปแจ้งให้ในครัวทราบทันทีไพลินทำตัวไม่ถูกถึงแม้จะคุ้นเคยกับที่นี่ดีรวมถึงทุกคนในบ้าน แต่นั่นมันก่อนที่เธอและเมสันจะมีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของเจ้าของบ้านและเธอที่เป็นผู้อาศัยกันหมดแล้วเธอจึงไมรู้จะทำตัวยังไงดี เมสันเดินตรงมาหาไพลินอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกหวั่นกับท่าทีตึง ๆ ของเขาแต่เท้าของเธอกลับเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ไม่ยอมขยับไปไหน ไมร่าเดินถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ และไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้กำลังใจไพลินที่ตอนนี้ส่งสายตามาหาเช่นกันเหมือนจะบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน“ยังมีอาการเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” หน้าตา