เหตุวุ่นวายหนักจนดึงดูดผู้คนตามท้องถนนหลักพากันวิ่งเข้ามาดูในตรอก บางคนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดเรื่องอะไรน่ะ สู้กันดุเดือดขนาดนี้”
“ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองต้องการอนุเพิ่มอีกล่ะ เจ้าสาวเป็นลูกสาวบ้านหยาง”
“งั้นที่ต่อสู้อยู่นี่ใครล่ะ”
“เฮ้อ บางทีคงเป็นคนในดวงใจของยัยหนูสกุลหยางกระมัง ถึงได้กล้าตายมาขวางอยู่อย่างนี้”
แม่ค้าขายซาลาเปาพูดด้วยสีหน้าหดหู่
“เวรกรรมเสียจริง ใครก็รู้ท่านเจ้าเมืองควานเหลียงมักมากที่สุด เมียนี่ก็แต่งสิบคนเข้าไปแล้ว คราวนี้ ใครจะหยุดเขาได้”
ตึง! ตึง!
ฆ้องเบิกทางเสียงดัง ตามด้วยเสียงกลองปานเขย่าฟ้าให้ร่วง พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่กรูมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางแบบลนลานคุกเข่าสองข้างถนน ไม่กล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์อีก ผู้ที่มาคือ ‘ใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ย’ ข้าราชการใหญ่ของอำเภอควานเหลียง หรือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง ปีนี้อายุสี่สิบสาม
รูปลักษณ์ภูมิฐาน รูปร่างอวบอั๋นมีพุง แต่สูงใหญ่ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง นั่งบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ วางท่าองอาจห้าวหาญคล้ายไก่ตัวผู้สวมหมวกแดง ทหารที่เขานํามามีจํานวนสี่ห้าเท่าของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ เข้าควบคุมสถานการณ์วุ่นวายไว้ในทันที หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บหยุดต่อสู้คุกเข่าลงหน้าม้าพันธุ์ดีที่ผูกผ้าแพรแดง
“ใต้เท้า! โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย! ต้องโทษเจ้าลูกสุนัขจรจัดที่ก่อกวน เกี้ยวเจ้าสาวถึง..."
“เอาละ พวกเจ้าถอยไปก่อน”
ภายใต้สายตาจับจ้องมอง เขาในฐานะเจ้าเมืองควานเหลียงต้องพูดจาเหมาะสม จึงกล่าวเชิงตักเตือน
“ข้าให้พวกเจ้ามารับเจ้าสาว ดูพวกเจ้าสิ ทําทุกคนตื่นตกใจกันไปหมด ไม่เรียบร้อยเลย ไม่ว่าเจ้าได้เช่นไร!"
“ขอรับ! ข้าน้อยนั้นแสนบกพร่องต่อหน้าที่..”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่หน้าบวมช้ำ สภาพไม่ต่างจากสภาพคนจรจัดถูกซ้อมตี ถอยไปอยู่ข้าง ๆ เจ้าหน้าที่คนอื่นที่นอนโอดโอยบนพื้นถูกทหารทางการประคองลุกขึ้นมา ฉากนี้ดู ๆ ไปก็เหมือนสนามชายแดน ใต้เท้าเฉินมองไม่เห็นชายหนุ่มที่ถูกล้อมในมุมนั้น กล่าวสั่งทหารทางการที่อยู่ข้างหลัง
“หามเกี้ยวไปให้ข้าเร็วหน่อย”
“ไปไม่ได้! ใครหน้าไหนก็ห้ามไป!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยังคงคิดขวางเกี้ยวเจ้าสาว
“เจ้า! ในเมื่อเป็นถึงเจ้าเมืองก็ควรทำหน้าที่เพื่อชาวบ้าน มิใช่ใช้กําลังอํานาจรังแกคน บีบบังคับฉุดสตรีชาวบ้าน!"
พอเขาพูดคํานี้ออกมา ทุกคนต่างตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าเมืองเป็นประเภทมักมาก โลภในทรัพย์สมบัติ วางมาดบารมี กลับไม่มีคนกล้าพูดต่อหน้า เพราะพูดไปก็เท่ากับเอาคอยื่นไปบนคมมีด ไม่รักชีวิตโดยแท้!
พอเสียงของชายหนุ่มสิ้นสุดลง ที่นั้นก็เงียบเหมือนตาย ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เวลาเดียวกันนี้เอง หรงฝู่เลามาถึงพร้อมด้วยความวิตกกังวล เห็นเจ้าเมืองโกรธจนหน้าดำคล้ำ หน้าผากมีเส้นเลือดดำปูด ก็แอบพูดในใจว่าซวยแล้ว นึกเป็นห่วงกลัวเจ้าเมืองเอาเรื่องขึ้นมา กระทั่งสั่งรื้อหอเจิ้นเชียงชิบหายกันไปข้างหนึ่ง
เขาเหลียวมองซ้ายทีขวาที เห็นชาวนาคนหนึ่งหาบน้ำบ่อหนึ่งถังยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างกระตือรือร้น จึงแย่งถังน้ำมา ดิ่งไปด้านหลังของชายหนุ่มแล้วสาดนํ้าอย่างแรง น้ำเย็นเฉียบถังใหญ่สาดมาจากด้านหลัง ย่อมทําให้ชายหนุ่มยืนไม่มั่นคง
เขาเซไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ทหารทางการที่อยู่ใกล้ ๆ เห็น ก็พุ่งเข้าไปอย่างฉับไวแย่งไม้กระบองในมือเขาไปแล้วถีบขาเขาลงไปกองกับพื้นให้คุกเข่า!
“บัดซบ! บังอาจนัก!"
ชายหนุ่มลุกจากพื้นอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าเปียกโชกไปทั้งตัว หมวกผ้าย่นยู่ก็หล่นไปแล้ว ครั้นยกแขนเสื้อเช็ดน้ำที่ไหลกลิ้งลงมาตามหน้าก็พลอยเช็ดคราบเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อนั้นไปด้วย ไม่รู้เพราะใบหน้าแตกต่างกับเมื่อครู่เกินไป ทุกคนในที่นั้นถึงได้ต่างตกตะลึงนิ่งงัน ใบหน้าแดงมีเลือดฝาด ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
ช่างเป็นคนที่งามจนเกินคาดคิดจริง ๆ เส้นผมดําขลับนั่นยาวเหยียดถึงช่วงเอวราวกับสายน้ำไหล เสื้อผ้าที่ถูกน้ำราดเปียกชุ่มเผยโครงร่างรอบเอวค่อนข้างบางของเขาให้ปรากฏชัดแต่ใช่ว่าจะอ้อนแอ้น เพราะไม่ว่าลําคอยาวระหงหรือแขนขาของเขาล้วนมีกล้ามเนื้อ บ่งบอกว่าเคยฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงมิใช่เป็นแค่ปัญญาชน
ใบหน้าของเขาได้รูปสวยเหมาะเจาะ ไม่ว่าเป็นผิวพรรณขาวเกลี้ยงดั่งหยก หรือนัยน์ตาใสกระจ่างแบบลําธารกลางภูเขา ริมฝีปากบางแดงสดระเรื่อล้วนมีเสน่ห์ทําให้คนใจเคลิ้มลอย ผู้คนล้วนกล่าวว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ที่งามพร้อมไร้ที่ติ บางคนมีปากน่ามอง
แต่ดวงตาเล็กเรียวไป บางคนเค้าโครงดีหมดเสียแค่จมูกยื่นเกินไป สรุปแล้วคนงามดุจเซียนลงมาโลกมนุษย์นั้นมีอยู่ในภาพวาดหรือในจินตนาการของนักกวีเท่านั้น ทว่าหน้าตาของคนผู้นี้ช่างงดงามชนิดงามล่มเมือง งามประหนึ่งเทพจุติก็มิปาน!
เฉินสวี่เหล่ยไม่นิยมชื่นชอบในบุรุษ ตัวเขาเคยเห็นสาวงามกับตาตัวเองมานับไม่ถ้วน รวมทั้งเจ้าสาวที่ใช้กําลังเอามานี้ก็งามเป็นที่เลื่องลือในแถบนี้ แต่พอได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้ กลับใจสั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยมาก่อน จ้องตาค้างเสียจนเกือบน้ำลายยืดเลยทีเดียว ยิ่งมองก็ยิ่งอภิรมย์ ดวงตาของคนผู้นี้เหตุใดจึงได้สดใสขนาดนี้ ใสกระจ่างราวลำธารลึกล้ำตรึงใจ จมูกโด่งได้รูป ข้อเสียในความดีพร้อมเพียงหนึ่งเดียว น่าจะเป็นบุรุษ
ทว่าความงามล้ำไม่เป็นรองใครเบื้องหน้านี้ทำให้คนไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง ยิ่งกว่านั้น เมืองเหยาแห่งนี้อนุญาตให้บุรุษแต่งงานกันได้ แต่เนื่องด้วยวรยุทธ์เมื่อครู่ทําให้ใต้เท้าเฉินใช้ความคิดวางแผนไว้ในใจ ส่วนหรงฝู่เลา ชุนหลี่ ยงเจิ้ง นั้นตกตะลึงงันมากกว่าใครดังคํากล่าว เคารพชุดก่อน เคารพตัวคนทีหลัง ตอนชายหนุ่มเข้ามา สวมเสื้อผ้าธรรมดาเกินไป อีกทั้งสวมหมวกผ้าย้อมครามใบใหญ่ขัดตามาก จึงแย่งความสนใจของพวกเขาไป ทำให้ไม่ได้มองหน้าของชายหนุ่มให้ละเอียด
มีแต่เด็กรับใช้คนนั้นกระโดดเต้นแร้งเต้นกาขวางอยู่ข้างหน้าตลอด ในสายตาของพวกเขาย่อมเหลือภาพความทรงจําของเด็กรับใช้เป็นส่วนใหญ่ ที่แท้ชายหนุ่มเป็นชายรูปงามแบบไม่ธรรมดาเช่นนี้นี่เอง ถ้ารู้ล่วงหน้า จะให้เขาไปทำงานด้านหน้า ไม่แน่อาจเรียกแขกให้เข้าพักจนเต็มได้ เงินทองไหลมาเทมาเป็นว่าเล่น หรงฝู่เลาที่ยังคงเบิกตาโตเสียใจจนกำหมัดแน่น
“เหตุใดจึงเงียบกันไปหมด”
ชายหนุ่มยืนที่เดิม เห็นเจ้าเมืองและเถ้าแก่ร้านต่างทำหน้าอย่างกับเห็นผี จึงเชิดหน้ากล่าว
“เหอะ! รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของข้าแล้วงั้นหรือ?”
อย่างไรก็ดีควรเจียมตัว เขานั้นเป็นโอรสสวรรค์ลำดับสิบแห่งซีเป่ยผู้น่าเกรงขามเชียวนะ ไม่ว่าหยิบจับหรือก้าวเดินต้องสง่างาม ทุกคนในวังล้วนปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพนอบน้อมมีแต่รับคำ ไร้คนหาญกล้าเงยหน้ามองสักแวบเดียว ที่จ้องตากับเขาได้โดยหัวใจสงบอารมณ์นิ่งน่าจะมีแค่เสด็จพ่อและบรรดาพี่ ๆ เท่านั้น และรวมถึงองค์รัชทายาทคนชั่วไร้ความรู้สึกคนนั้นเท่านั้น คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็อารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น
“วันนี้ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าทำผิดกฎหมาย เป็นข้าราชการ รับเงินเดือนหลวง มิใช่ให้พวกเจ้าเอากฎหมายมาทําผิดกฎหมาย!”
“มานี่!"
จู่ ๆ ใต้เท้าเฉินก็กล่าว ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้
“ใต้เท้าเฉิน..” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ก้าวมาข้างหน้ารอรับคำสั่ง
“ปล่อยคุณหนูหยางไป” เฉินสวี่เหล่ยพูด
“ใต้เท้า!?”
“เร็วเข้า!”
เฉินสวี่เหล่ยตีหน้าเคร่งบอกชัดเจน หัวหน้าเจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวแม่นางน้อยบ้านหยางที่ร้องไห้จนหน้าสะสวยซีดเซียวกลับสู่อ้อมกอดของพ่อแม่อีกครั้ง ทั้งสามร้องไห้กอดกันกลม จากนั้นคุกเข่าขอบคุณชายหนุ่มด้วยการเรียก “ผู้มีพระคุณ” ไม่หยุดพูดจนชายหนุ่มหน้าแดง ทนไม่ไหวประคองพวกเขาสามคนขึ้นมา ให้พวกเขากลับบ้านไป
เฉินสวี่เหล่ยลงจากหลังม้ามองชายหนุ่มแบบยิ้มตาหยีตลอด รอจนธุระของเขาเสร็จสิ้นแล้วจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาจากที่ใด” เขาซักถาม
“หยานชุน” ชายหนุ่มเห็นเขารู้ผิดแล้วแก้ไขจึงตอบ ห้ามบอกเรื่องจริง ดีที่อันเต๋อคอยบอกเขาว่าเมืองหลวงแคว้นเหยาคือหยานชุน
“มาจากเมืองหลวง ไม่เลว งั้นเจ้าอายุเท่าใด มีครอบครัวหรือไม่”
ใต้เท้าเฉินในใจคิดว่าเมื่อเดินทางมาจากเมืองหลวง น่าจะเป็นคุณชายตระกูลมั่งคั่งที่ฐานะครอบครัวตกต่ำ ดังนั้นจึงสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเช่นนี้ แต่ทั้งตัวคนกลับเจือด้วย “กลิ่นอายสูงส่ง” แบบอธิบายไม่ได้ แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
“ยี่สิบ ยังไม่ได้แต่งงาน”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจความนัยในคําถามของเจ้าเมืองจึงตอบไปตามความจริง
“อายุประมาณกิ่งดอกใบเขียวยังไม่มีเมีย ดีมาก!” ใต้เท้าเฉินเดินวนรอบชายหนุ่มหนึ่งรอบ แล้วกวักมือเรียกลูกน้อง “มานี่ เชิญคุณชายท่านนี้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว” “รับคําสั่ง!” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพุ่งมาเป็นคนแรก “อะไรนะ บังอาจ! พวกเจ้าคิดจับกุมข้ากระนั้นหรือ?” ชายหนุ่มคิดว่าเจ้าเมืองเปลี่ยนใจกลับตัว ที่ไหนได้คิดนําตนไประบายความโมโห
“ที่ไหนกัน ข้าแค่เชิญเจ้าไปพูดคุยที่จวนหลวงใหญ่ช่วยทําคดี”
ใต้เท้าเฉินพูดโพล่งออกมา ก่อนแสดงความสามารถยึดข้อกล่าวหาให้คนด้วยการมองหรงฝู่เลาแล้วส่งสัญญาณด้วยสายตา
“เรียนใต้เท้า เขากับคนรับใช้ของเขาเข้ามาที่ร้านของข้าน้อย กินแล้วไม่จ่าย ถูกข้าน้อยจับตัวไว้ หวังให้ใต้เท้าช่วยจัดการแทนข้าน้อยด้วย”
“ได้! ดีมาก ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง ดังนั้นรบกวนคุณชายท่านนี้ขึ้นเกี้ยวที”
เจ้าเมืองพูดเป็นระเบียบแบบแผน ทําให้คนไร้ทางปฏิเสธ
“ไม่ได้ นายท่านของข้าไปกับเจ้าไม่ได้!"
เด็กรับใช้กลับคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ฝืนทนเจ็บจากถูกซ้อมเมื่อครู่โดดออกมาพูด
“ใครอีกล่ะนี่” ใต้เท้าเฉินกุมจมูกเอ่ยถาม “เหตุใดจึงเหม็นยิ่งนัก”
“เป็นคนรับใช้ของผู้นั้นขอรับ” หรงฝู่เลาถือโอกาสกล่าว “เขาผู้นี้เป็นพวกดีแต่พูด”
“งั้นพาตัวทั้งหมดกลับที่ว่าการ รับการตรวจสอบ!” ใต้เท้าเฉินออกคําสั่ง
“เดินก็เดิน ข้าไม่กลัว แต่ข้าไม่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“หืม ระยะทางมันไกล เท้าเจ้าบาดเจ็บจะเป็นอย่างไร” ใต้เท้าเฉินกล่าวเสแสร้งด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ชายหนุ่มจึงถอดรองเท้าและถุงเท้า เวลานี้ยืนด้วยสองเท้าเปล่า
“ใช่ ๆ นายท่านของข้าไม่ขึ้นไปหรอก” เด็กรับใช้กล่าวเสริมตาม โวยดังยิ่งกว่านายหนุ่ม "ไม่เหมาะสมยิ่งนัก บุรุษขึ้นเกี้ยวมงคล!"
“ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะพูด! มานี่! จับตัวเขา!”
ใต้เท้าเฉินสั่งคนมัดเด็กรับใช้อย่างไม่เกรงใจ ทําการข่มขู่ไปในขณะเดียวกัน จํานวนคนมากกว่าในตอนแรก ยากที่ชายหนุ่มจะรับมือได้หมด สุดท้ายไม่ว่าเขาต่อสู้อย่างไรก็ถูกมัดมือเท้าบังคับเข้าเกี้ยวเจ้าสาวจนได้
“บัดซบ! ปล่อยข้า! อื้อ...!!” เพราะเขาโวยวายไม่หยุด ปากจึงถูกยัดด้วย ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
“มา ขึ้นเกี้ยวเถอะ!”
เฉินสวี่เหล่ยรอยยิ้มเปื้อนหน้า เบิกบานใจด้วยจะได้กลับไปกอดคนงาม จึงไม่สนใจว่าชายหนุ่มโวยวายอะไร และแล้วชายหนุ่มก็ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่าง นั่งในเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่ประดับตกแต่งด้วยลูกปัดสีและลูกบอลแพรปักมงคล มุ่งไปทางทิศเหนือของถนนใหญ่ท่ามกลางเสียงฆ้องกลองประโคม
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั