Share

บทที่ 2

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
เจียงหวนพลันสะดุ้งเล็กน้อย นึกว่าฝ่าบาททรงตื่นรู้และคิดจะเรียกใช้เย่หรงหวาแล้ว แต่เมื่อหันกลับไป เจียงหวนกลับพบว่า ฮั่วหลินกำลังจ้องเขม็งไปยังจานปูที่อยู่เบื้องหน้า

ในฐานะฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น สายพระเนตรที่ฮั่วหลินใช้มองปูในยามนี้ ช่างเต็มไปด้วยความอยากได้อยากครอบครอง ราวกับกำลังละโมบในดินแดนของแคว้นข้างเคียงอย่างไรอย่างนั้น

[ไม่ได้กินปูมานานแล้ว หวังเต๋อกุ้ยนี่ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย แกะปูให้เรากินสักตัวไม่ได้หรือไร?]

หวังเต๋อกุ้ยเป็นหัวหน้าขันทีที่รับใช้ฮั่วหลินมานานหลายปี กิจวัตรประจำวันและเรื่องอาหารการกินล้วนผ่านมือเขามาทั้งสิ้น เจียงหวนเห็นสายพระเนตรอันขุ่นเคืองของฮั่วหลินแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจในใจว่าฝ่าบาทช่างน่าสงสารเสียจริง

เป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา จะให้ลงมือแทะปูเองต่อหน้าธารกำนัลก็ทำไม่ได้ การเป็นฮ่องเต้แบบนี้ช่างน่าอึดอัดเสียจริง

“การร่ายรำของน้องหญิงเย่ก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่เครื่องแต่งกายกลับเปิดเผยเกินไป ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย”

หลังจากการร่ายรำจบลง เจียกุ้ยเฟยก็เป็นคนแรกที่ตำหนิการร่ายรำของเย่หรงหวา ตอนนี้ทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อจะได้เป็นสนมคนแรกที่ได้ถวายตัว ต่อให้ปกติจะแสร้งทำเป็นพี่น้องรักใคร่กันเพียงใด แต่เมื่อถึงยามนี้ ก็ต้องห้ำหั่นกันจนหัวร้างข้างแตก

เจียกุ้ยเฟยคว้าแขนของฮั่วหลินไว้แน่น ไม่ยอมให้สายพระเนตรของพระองค์จับจ้องอยู่ที่ร่างของเย่หรงหวานานเกินไป

“คืนนี้ฝ่าบาทยังไม่ค่อยได้เสวยอะไรเลย ผักบุ้งนี้รสชาติดีเพคะ ฝ่าบาทรีบชิมเถิด”

ขณะพูด เจียกุ้ยเฟยก็คีบผักสองสามเส้นลงในจานของฮั่วหลิน เครื่องเสวยในวังมักจะมีรสชาติจืดชืด โดยเฉพาะเมื่อถวายแด่ฮ่องเต้ เพื่อไม่ให้จิตใจว้าวุ่น อาหารมันเลี่ยนจึงไม่เคยถูกยกขึ้นโต๊ะเสวยเลย

[เราไม่อยากกินผัก! ตอนนี้พอเห็นอะไรสีเขียว ๆ แล้วปวดหัวไปหมด เราเป็นถึงฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น จะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกินเนื้อสัตว์เลยหรือไร?]

[แล้วปูที่ยกมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี่เป็นแค่ของประดับหรือไร?]

[ปูของเราล่ะ?]

ฮั่วหลินเหลือบพระเนตรไปอีกครั้ง ก็ทรงเห็นว่าปูในจานหายไปสองสามตัว ในวินาทีต่อมา มือเรียวขาวผ่องข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา

เนื้อปูสีขาวราวหิมะกับมันปูสีส้มแดงถูกแกะออกมาอย่างหมดจด บรรจุรวมกันไว้ในกระดองปู กลิ่นหอมของเนื้อปูที่ยังอุ่น ๆ นั้นช่างเย้ายวน เจียงหวนเองก็ออกแรงไปไม่น้อยกว่าจะใช้เครื่องมือสำหรับแกะปูทั้งแปดชิ้นเลาะเนื้อออกมาได้อย่างหมดจด

ถ้าเป็นนางน่ะหรือ? คงใช้ปากแทะไปแล้ว!

“เชิญฝ่าบาทเสวยเพคะ”

เจียงหวนยื่นกระดองปูไปเบื้องหน้าด้วยความนอบน้อม สีหน้าและแววตาแสดงความเคารพ ไม่มีความประจบประแจงแม้แต่น้อย

นางไม่ได้มีความคิดที่จะแย่งชิงความโปรดปรานเหมือนคนอื่น ทำไปก็เพียงเพราะได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลิน แล้วรู้สึกว่าเขาน่าสงสารอยู่บ้าง

นอกเหนือจากนั้น ก็แอบหวังว่าหากฝ่าบาททรงอารมณ์ดีขึ้นมา จะทรงย้ายนางออกจากตำหนักจิ่นหวาได้หรือไม่ อย่าให้นางต้องทนถูกอวี๋ผินกลั่นแกล้งอยู่ทุกวัน?

[หวังเต๋อกุ้ย เสียแรงที่เจ้าอยู่กับเรามานานหลายปี สายตายังไม่เฉียบแหลมเท่าสนมขั้นเสวี่ยนซื่อคนหนึ่งเลย!]

[ยังไม่รีบแกะเพิ่มอีก แค่ตัวเดียวจะพอให้เรากินได้อย่างไร?]

เจียงหวนได้ยินเสียงในใจของเขาอย่างชัดเจน แต่ขณะที่รับกระดองปูไปนั้น ฮั่วหลินยังคงมีสีพระพักตร์เรียบเฉย พระพักตร์อันคมคายนั้นไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายใด ๆ ทรงคีบเนื้อปูขึ้นเสวยด้วยท่าทีสง่างามเชื่องช้า ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนเสียงในพระทัยเลยแม้แต่น้อย

“ตั้งใจประจบประแจง ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

เจียกุ้ยเฟยเห็นว่าผักบุ้งที่ตนคีบให้ถูกเมิน ก็โกรธจนกัดฟันกรอด ปกติแล้วฝ่าบาททรงโปรดเสวยผักมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าเจียงหวนใช้วิธีมารยาใดยั่วยวนกันแน่!

เจียงหวนไม่ได้พูดอะไร และเริ่มลงมือแกะปูที่เหลือให้ฮั่วหลินต่อ

อย่างไรเสีย ด้วยฐานะของนาง ของแบบนี้ก็คงไม่ตกถึงท้องนางอยู่แล้ว รอจนงานเลี้ยงเลิก ค่อยแอบดูดนิ้วตัวเองก็ยังดีกว่ามองตาปริบ ๆ

ฮั่วหลินเสวยช้ามาก

ช่วงเวลาที่พระองค์เสวยปูหนึ่งตัว เจียงหวนก็แกะเสร็จไปอีกสามตัวแล้ว

เสวยช้าขนาดนี้ ใครจะไปดูออกว่าทรงโปรดกันเล่า? มิน่าล่ะผู้ดูแลหวังถึงไม่แกะปูให้เขา!

ตอนที่ฮั่วหลินกำลังจะหยิบปูตัวที่สอง หวังเต๋อกุ้ยก็พลันเหมือนเพิ่งได้สติ รีบก้าวเข้ามาห้ามปราม

“ฝ่าบาท ปูมีฤทธิ์เย็น ไม่ควรเสวยมากนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เพียงประโยคเดียว ฮั่วหลินก็ชักพระหัตถ์กลับทันที ไม่ทรงชายพระเนตรแลปูอีกเลย เจียงหวนก้มหน้าลงนวดนิ้วที่เริ่มแดงบวมของตนเอง ขณะที่ในหัวก็แทบจะระเบิดอีกครั้ง

[ไม่ช้าก็เร็วเราจะสั่งตัดหัวหวังเต๋อกุ้ย! เป็นฮ่องเต้จะให้คนอื่นเดาความชอบไม่ชอบออกไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้เราหิวท้องกิ่วได้นี่!]

[เจียงเสวี่ยนซื่อแกะปูไว้ตั้งสามตัวแล้ว อีกเดี๋ยวไม่รู้ว่าจะไปตกอยู่ในท้องของใครกัน]

เฮ้อ น่าสงสารนางที่อุตส่าห์แกะปูมาตั้งนาน ถูกหวังเต๋อกุ้ยพูดประโยคเดียวก็จบสิ้นแล้ว

แล้วเรื่องที่นางจะขอย้ายตำหนักยังจะพอมีหวังอยู่บ้างหรือไม่?

งานเลี้ยงใกล้จะสิ้นสุดลง และใกล้จะถึงยามค่ำแล้ว เจียงหวนง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่กำชายแขนเสื้อของตัวเองไว้แน่น เมื่อครู่ตอนที่ไม่มีใครสังเกต นางแอบยัดปูทั้งสามตัวเข้าไปในแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว

ทะลุมิติเข้ามาในนิยายสามเดือนแล้ว วันนี้พอกลับตำหนักไป ในที่สุดก็จะได้กินของดี ๆ เสียที!

“ฝ่าบาท ไทเฮามีรับสั่งว่า คืนนี้พระองค์ต้องทรงพลิกป้ายเลือกสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีจากกรมวังฝ่ายในถือถาดไม้เข้ามา บนถาดเรียงรายไปด้วยป้ายชื่อสีเขียวกว่าสิบยี่สิบป้าย ฮั่วหลินครองบัลลังก์มาสามปี นอกจากญาติพี่น้องที่เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักส่งเข้ามาแล้ว ยังมีการคัดเลือกสนมอีกหนึ่งครั้ง วังหลังจึงนับว่าเต็มไปด้วยสนม

แต่ฮั่วหลินกลับอ้างว่าเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ฐานอำนาจยังไม่มั่นคง จึงบรรทมอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่มีสนมคนใดเคยเห็นว่าชุดบรรทมของฮั่วหลินหน้าตาเป็นอย่างไร

แม้ว่าไทเฮาจะไม่ใช่พระราชมารดาแท้ ๆ แต่ก็ทรงเป็นห่วงเรื่องการสืบราชสมบัติเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน คืนนี้จึงทรงนำเรื่องการเลือกป้ายชื่อสนมมาพูดกันอย่างเปิดเผย

“ค่อยว่ากันทีหลัง กลับตำหนัก!”

ฮั่วหลินทรงแสดงสีพระพักตร์รำคาญอย่างชัดเจน ทรงลุกขึ้นสะบัดฉลองพระองค์แล้วเสด็จจากไปทันที เหล่าสนมที่เมื่อครู่ยังคงตั้งตารอคอยว่าจะถูกเลือกป้าย ต่างก็หน้าซีดเผือดลงทันที เต็มไปด้วยความผิดหวัง

พวกนางล้วนถูกเลือกเข้าวังมาตั้งแต่อายุยังน้อย แม้จะได้ยศศักดิ์และความร่ำรวย แต่จะให้ทนเป็นแม่ม่ายทั้งที่ยังมีชีวิตได้อย่างไรกัน?

“เสี่ยวเจา มานวดเอวให้ข้าหน่อย เมื่อยจะตายอยู่แล้ว!”

ทันทีที่กลับมาถึงตำหนักฝั่งตะวันตกของตนเอง เจียงหวนก็ร้องเรียกสาวใช้ที่ติดตามนางมาพร้อมกับสินสมรสให้มารับใช้ทันที เสี่ยวเจาเป็นสาวใช้ที่เจ้าของร่างเดิมพามาจากบ้านที่เจียงหนาน แม้จะไม่ฉลาดหลักแหลม แต่ก็มีความภักดีอย่างยิ่ง

“มาแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดนายหญิงน้อยถึงได้เหนื่อยเช่นนี้เจ้าคะ”

ตำแหน่งของเจียงหวนนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เรียกได้ว่าต่ำเป็นอันดับสองจากท้ายสุด คืนนี้ไปร่วมงานเลี้ยงในวังจึงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพาสาวใช้ไปด้วย เสี่ยวเจาจึงไม่รู้เรื่องที่นางต้องนั่งอยู่ข้างกายฝ่าบาทนานนับชั่วยาม โดยไม่กล้าขยับเขยื้อน

แต่ยังไม่ทันที่มือของเสี่ยวเจาจะได้แตะลงบนตัวของเจียงหวน ประตูตำหนักก็ถูกใครบางคนถีบเปิดออก

“เจียงเสวี่ยนซื่อ อวี๋ผินมีรับสั่งให้ไปเข้าพบ!”

ผู้ที่มาคือชุ่ยอิง นางกำนัลคนสนิทของอวี๋ผิน นางเชิดหน้ามองเจียงหวนอย่างหยิ่งผยอง ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นนายหญิง

เสี่ยวเจาโกรธจนกระทืบเท้า “นี่เป็นตำหนักบรรทมของนายหญิง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้บุกเข้ามาตามใจชอบ!”

เจียงหวนเบ้ปาก ดึงเสี่ยวเจามาหลบอยู่ข้างหลังตน นางดูละครวังหลังมามากพอแล้ว ย่อมรู้ดีว่าสนมตำแหน่งต่ำที่ไม่เป็นที่โปรดปราน ในสายตาของข้ารับใช้ก็ไม่นับว่าเป็นเจ้านายด้วยซ้ำ

นางเดาได้ว่าอวี๋ผินเรียกนางไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ ก็คงเป็นเพราะเรื่องที่นางได้นั่งข้างกายฮั่วหลินในงานเลี้ยงคืนนี้นั่นแหละ

หนึ่งเค่อต่อมา เจียงหวนก็ต้องคุกเข่าลงบนพรมในตำหนักใหญ่ของตำหนักจิ่นหวา โชคดีที่มีพรมรองอยู่ หัวเข่าจึงไม่เจ็บมากนัก

“เจียงเสวี่ยนซื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าทำผิดอะไร?”

อวี๋ผินนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน มองเจียงหวนที่แม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงดงามน่ามองนั้นได้ด้วยสายตาดูแคลน นางอุตส่าห์ตัดงบค่าใช้จ่ายของเจียงหวนไปกว่าครึ่ง ทั้งปิ่นปักผมและเสื้อผ้าล้วนเรียบง่ายถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดฝ่าบาทยังทอดพระเนตรเห็นและเรียกไปนั่งข้างกายได้อีก?

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห!

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ขออวี๋ผินโปรดชี้แนะ”

อวี๋ผินแค่นเสียงเย็น “เจ้าผิดที่คิดแย่งชิงความโปรดปราน ประจบประแจงเบื้องสูง ไม่รู้จักเจียมตน!”

เจียงหวนแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนตามแบบฉบับของลูกจ้างที่ดี “อวี๋ผินสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ”

แต่ในใจนางไม่ยอมรับ นางแค่ถวายบัวลอยถ้วยเดียว แกะปูให้ไม่กี่ตัว กลายเป็นแย่งชิงความโปรดปรานไปได้อย่างไร? พวกนางไม่มีไหวพริบเอง ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงหิว พอมีคนส่งของกินให้กลับหาว่าขวางหูขวางตาพวกนางอย่างนั้นหรือ?

“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าผิด เช่นนั้นก็จงออกไปคุกเข่าสำนึกผิดที่นอกตำหนักทั้งคืน!”

ทั้งคืนเลยหรือ?!

เจียงหวนไม่เต็มใจนัก แต่ก็ทำได้เพียงทำหน้าสลดรับคำ นางจะต้องหาโอกาสย้ายออกจากตำหนักจิ่นหวาให้ได้!

แต่ยังไม่ทันที่เจียงหวนจะได้ลุกขึ้นไปคุกเข่ารับโทษนอกตำหนัก ขันทีจากกรมวังฝ่ายในก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา

“นายหญิงน้อยเจียงมิได้อยู่ที่ตำหนักตนเอง เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ของอวี๋ผินได้เล่า ทำเอาบ่าวตามหาเสียให้วุ่น ขอแสดงความยินดีกับนายหญิงน้อยด้วย คืนนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นายหญิงน้อยถวายตัวพ่ะย่ะค่ะ!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 386

    เจียงหวนเห็นท่าทางของเหอหลิงที่แปรเปลี่ยนจากเบิกบานใจเป็นทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็มองไปที่ผ้าพันคอในมือของนาง อดกลั้นขำไม่ได้คราวที่แล้วนำยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกจากยุคปัจจุบันออกมายังไม่น่าหวาดเสียวพออีกหรือ?นึกไม่ถึงครั้งนี้จะทำผ้าพันคอมาให้อีก หรืออยากจะแสดงให้เห็นว่าข้าเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคโบราณอย่างนั้นหรือภายนอก เจียงหวนพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ไม่ได้คิดจะเปิดโปงนาง จึงแสร้งทำหน้าตาสงสัยในขณะที่จ้องมองผ้าพันคอผืนนั้น“ทำไมเล่า? เป็นของจากดินแดนตะวันตกอีกแล้วหรือ? ดูประณีตอย่างมากทีเดียว”นางกล่าว ซ้ำยังใช้นิ้วจิ้มไหมขนที่สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นดูเหอหลิงมือสั่น เกือบขาอ่อนล้มลงไปกองบนพื้นพร้อมกับผ้าพันคอในมือแล้วนางรีบตอบคำอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ทูล ทูลพระสนม นี่คือ… นี่คือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่หม่อมฉันทำยามมีเวลาว่าง เรียก… เรียกว่าผ้าพันคอ! ใช่… เป็นงานฝีมือที่ได้รับความนิยมมาจากดินแดนตะวันตกเช่นกันเพคะ ฮ่าๆ…”[จบแล้วๆ พระสนมอุตส่าห์คิดพลิกแพลงไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ฉันยังทำผิดพลาดโง่ๆ อยู่อีก][ชื่อของมันจะทันสมัยเกินไปแล้ว พระสนมจะคิดว่าฉันกำลังแต่งเรื่องอยู่รึเปล่านะ?

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 385

    หัวหน้าขันทีตกใจตัวสั่น แทบจะมุดหน้าเข้าไปในพื้นแล้ว“ทูล ทูลไทเฮา บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวนอ๋องส่งข่าวมา บอกเพียงว่าจู่ๆ ม้าของจวิ๋นอ๋องก็คลุ้มคลั่งระหว่างทาง จวิ้นอ๋องถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้า ขาขวา… ขาขวาหักในที่เกิดเหตุทันที หมอหลวงบอกว่าอาการสาหัสมาก…”“ไม่รู้? แค่บอกว่าไม่รู้คำเดียวก็คิดจะบิดพลิ้วให้ผ่านไปได้งั้นหรือ?”ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรง โต๊ะสั่นสะเทือนจนเครื่องชากระแทกกันเสียงดัง“เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันนี้เขาก็ประสบเหตุร้ายเช่นนี้แล้ว มีเรื่องบังเอิญอย่างนี้เสียที่ไหน! ไปสืบมาเดี๋ยวนี้! ทั้งม้า อานม้า และทุกคนที่สัญจรผ่าน ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ข้าอยากรู้นัก ว่าใครกันที่กินหัวใจหมีดีเสือเข้าไป จึงได้กล้าลงมือกับคนในตระกูลฮั่วเช่นนี้!”เพลิงโทสะในดวงตาของนางลุกโชน ในใจเริ่มมีเค้าร่างของผู้อยู่เบื้องหลังแล้วเมื่อวานฮั่วถิงมีเรื่องกับจวงเฟยและเหอหลิง วันนี้ก็ตกม้าจนบาดเจ็บสาหัสมิหนำซ้ำยังบาดเจ็บจุดเดียวกับจวงเฟยอีก นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนนี่เป็นฝีมือของฮั่วหลิน และเป็นคำเตือนสำหรับนางยิ่งคิด ไทเฮาก็ยิ่งบันดาล

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 384

    ประตูตำหนักถูกผลักเปิด ฮั่วหลินเดินเข้ามาเขาเห็นเจียงหวนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มตั้งแต่แวบแรกเจียงหวนสวมชุดนอนบางๆ เพียงชั้นเดียว เส้นผมเปียกชื้นแนบติดอยู่ที่ใบหน้าด้านข้าง ดูอ่อนโยนเปราะบางเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ ราวกับจะสามารถแตกสลายได้แม้เพียงสัมผัสเดียวหัวใจของฮั่วหลินบีบรัด ฝีเท้าแผ่วเบาลง ด้วยกลัวว่าจะรบกวนนางเข้า[เหตุใดจึงเหม่อลอยเช่นนั้น ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้งั้นหรือ?]ฮั่วหลินโบกมือ สั่งให้เสี่ยวเจาถอยออกไปส่วนตนเองก็ถอดเสื้อคลุมออก คลุมที่ไหล่ของนาง“กลางคืนหนาว เหตุใดไม่สวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อยเล่า?”เขานั่งลงข้างกายเจียงหวน ดึงมือที่เย็นเฉียบของนางมากุมไว้ในฝ่ามืออุ่นๆ ของตนเองความคิดที่ล่องลอยของเจียงหวนถูกการกระทำนี้ดึงให้กลับมา สัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือและอุณหภูมิอบอุ่นที่ห่อหุ้มรอบกาย ราวกับได้ขับไล่ความหวาดกลัวในจิตใจให้หายไปไม่น้อยนางเงยหน้ามองฮั่วหลินเงาร่างของนางสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของฮั่วหลิน ลึกล้ำชัดเจน“ไม่ต้องกลัว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา กระชับนิ้วมือให้แน่นขึ้น “มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้า”[ตกม้าหนึ่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 383

    [หืม? ความผิดปกติอะไร?]「วันนี้ที่นอกห้องผลัดอาภรณ์ ตอนที่ผมส่งเสียงเตือนภัยระดับสูง พระสนมจวงเฟยหลุดปากออกมาว่า ‘หุบปาก’ อ้างอิงจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในขณะนั้นแล้ว คำสั่งนั้นไม่เข้ากับบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ ณ ตอนนั้นแม้แต่คนเดียว หลังจากรวมตัวกันนางได้ชี้นำเบาะแสหลักฐานอย่างแม่นยำ ผมสงสัยเป็นอย่างสูงว่าเจียงหวนอาจได้ยินบทสนทนาระหว่างผมกับคุณ」เหอหลิงตะลึงงัน ไม่นานก็รีบโต้แย้งทันที[นายจะบอกว่าพระสนมมีวิชาอ่านใจงั้นเหรอ อย่าเหลวไหลไปหน่อยเลยน่า][อีกอย่างถึงนางจะได้ยิน ก็ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? นั่นหมายความว่าเรามีวาสนาต่อกัน]「โฮสต์ กรุณาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ หากเป้าหมายเจียงหยวนรับรู้ถึงการมีอยู่ของผมจริง แรงจูงใจและท่าทีที่มีต่อโฮสต์ อาจมีอันตรายแฝงอยู่」[อันตราย? อันตรายอะไร? พระสนมจะมีเจตนาร้ายอะไรได้? วันนี้นางทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยชีวิตฉันไว้เชียวนะ][หากไม่ได้พระสนมช่วยไว้ ตอนนี้ฉันคงเสียความบริสุทธิ์เสียชื่อเสียงไปแล้ว ไม่แน่อาจไม่เหลือรอดแม้แต่ชีวิตด้วยซ้ำ][ระบบ ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนเลยนะ ห้ามใส่ร้ายพระสนมของฉัน แล้วก็ห้ามนายสงสัยพระสนมด้วย ได้ยินรึ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 382

    เจียงหวนเห็นท่าทางสับสนมึนงงของนาง ก็รู้สึกอดขำไม่ได้การตอบสนองนี้ ช้าจนอ้อมโลกได้สองรอบครึ่งแล้วกระมังแต่ดูจากที่เปลี่ยนเรื่องพูดแล้ว แสดงว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ“อืม” เจียงหวนรับคำ “ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นหลินกุ้ยผิน รับสั่งให้ย้ายเข้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตะวันตก ภายหน้าเจ้าก็รักษาตัวอยู่ที่นี่อย่างวางใจเถอะ”“ฮือ ๆ ๆ ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพระสนม”เหอหลิงหัวเราะทั้งน้ำตา นางกอดแขนของเจียงหวนไว้แน่น หากไม่ใช่ว่าอ่อนแรงไปทั้งตัว นางยังอยากคุกเข่าโขกหัวให้ด้วยซ้ำ“พระสนม พระสนมดีกับหม่อมฉันเหลือเกิน หม่อมฉัน… วันหน้าไม่ว่าสิ่งใดหม่อมฉันล้วนเชื่อฟังพระสนมเพคะ”เจียงหวนถูกนางกอดจนรู้สึกอึดอัด อยากดึงมือกลับ แต่กลับถูกกอดแน่นกว่าเดิมครั้นสัมผัสได้ถึงร่างกายของเหอหลิงที่สั่นเทาเล็กน้อย สุดท้ายนางจึงกอดตอบเบาๆเหมือนปลาหมึกน้อยขี้กลัวไม่มีผิดเลยกอดแน่นขนาดนี้ กระดูกแทบจะหักอยู่แล้วแต่เห็นแก่ที่นางเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญหนีดีฝ่อมา ปล่อยให้กอดสักครู่ก็ได้ในขณะเดียวกัน เสียงรายงานของหวังเต๋อกุ้ยดังมาจากนอกตำหนัก“ฝ่าบาทเสด็จ!”ฮั่วหลินสะสางเรื่องราววุ่นวายใน

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 381

    [ฮั่วถิง! เจ้าปีศาจชั่วนั่น!] เหอหลิงจมอยู่ในความอัดอั้นตันใจและความหวาดผวาอย่างใหญ่หลวง น้ำตาเม็ดใหญ่ๆ พรั่งพรูไม่ขาดสาย“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เจียงหวนเช็ดน้ำตาให้นาง พลางเอ่ยหยอกล้อจากนั้นก็ตักยาขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าให้หายร้อนเล็กน้อย ก่อนจะป้อนให้นาง “มีอะไรประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ดื่มยาก่อนเถิด”เหอหลิงอ้าปากอย่างว่าง่าย ยาขมๆ ไหลลงคอ ทำให้นางอดขมวดคิ้วไม่ได้[ขมจัง][แต่พระสนมเป็นคนป้อน ต่อให้ขมอีกแค่ไหนก็กลายเป็นหวานแล้ว]นางดื่มยาทีละคำๆ ขณะที่น้ำตายังคงหลั่งไหลลงมาเป็นสาย ผสมเข้ากับยา ทั้งขมทั้งเค็มเจียงหวนเห็นท่าทางน่าสงสารของนาง ก็อดทอนถอนใจไม่ได้ร้องไห้จนหน้าลายเหมือนแมว น้ำหูน้ำตาไหลลงมาผสมกับยาแล้ว นี่คิดจะเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพของยา’ หรืออย่างไรช่างเถิด อย่างไรก็ควรระบายออกมาบ้างหลังจากป้อนยาถ้วยหนึ่งหมดอย่างยากลำบาก สีหน้าของเหอหลิงคล้ายว่าดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าน้ำตายังคงไหลทะลักออกมาจนน่ากลัวนางมองเจียงหวน ริมฝีปากสั่นเทา คล้ายมีคำพูดในใจเป็นพันเป็นหมื่นคำ แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงที่ใด“เอาล่ะๆ ร้องไห้จนตาบวมแล้ว เหมือนกบในอุทยานหลวงเลย”เจียงหวนวางถ้วยยาลง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status