Share

บทที่ 3

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หา? ถวายตัว?

สมองของเจียงหวนพลันระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่หันกลับไปก็สบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาของอวี๋ผินเข้าพอดี

แค่ส่งบัวลอยถ้วยเดียวก็ถูกหาว่าแย่งชิงความโปรดปราน ประจบประแจงเบื้องสูงแล้ว หากถวายตัวกลับมา นางจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อความวุ่นวายในวังหลังหรอกหรือ?

“นายหญิงน้อย อย่ามัวชักช้าอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ ทางฝ่าบาททรงเร่งมาแล้ว!”

ขันทีน้อยเร่งเร้าอีกครั้ง เจียงหวนจึงลุกขึ้น เดินตามเขาออกไปข้างนอกทั้งที่ในสมองยังว่างเปล่า นางแค่อยากจะย้ายออกจากตำหนักจิ่นหวา ไปอยู่คนเดียวไกล ๆ ให้พ้นจากเรื่องวุ่นวาย ฝ่าบาทไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในวังหลังตั้งสามปีแล้ว เพียงเพราะบัวลอยถ้วยเดียวถึงกับเรียกนางถวายตัว มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ?

พอเดินมาได้ครึ่งทาง เจียงหวนก็พลันนึกขึ้นได้

เดี๋ยวนะ นางยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และการถวายตัวก็ไม่ได้ขึ้นเกี้ยวเฟิ่งหลวนชุนเอิน ฝ่าบาททรงเรียกสนมมาปรนนิบัติเป็นครั้งแรกง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ?

ระหว่างทาง ขันทีน้อยอธิบายว่า “นายหญิงน้อยอย่าได้คิดมากไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คืนนี้อาจจะเร่งด่วนไปบ้าง แต่ท่านก็เป็นคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานมิใช่หรือ?”

“บ่าวขอเตือนท่านสักหน่อย ตอนนี้ฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่ว่าท่านจะพูดหรือทำอะไรก็ระวังหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีน้อยกลืนน้ำลาย มองร่างเล็ก ๆ ของเจียงหวนด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย คืนนี้ฝ่าบาททรงขัดพระประสงค์ของไทเฮาไม่ได้จริง ๆ หลังจากทอดพระเนตรป้ายชื่อในกรมวังฝ่ายในแล้ว สุดท้ายก็ทรงระบุชื่อเจียงเสวี่ยนซื่อแต่เพียงผู้เดียว

ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้อวี๋ผินเคยใช้เงินยัดใต้โต๊ะเพื่อถอดป้ายชื่อสีเขียวของเจียงหวนออกไปแล้ว แต่หลังจากคืนนี้ไป ไม่รู้ว่าเจียงหวนจะโด่งดังในชั่วข้ามคืน หรือจะถูกส่งไปที่ตำหนักเย็นกันแน่

อย่างไรเสีย ตอนนี้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งจริง ๆ ยามปกติพระองค์ก็อารมณ์ร้ายอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นทุบตีหรือสังหารข้ารับใช้ แต่เวลาพิโรธขึ้นมาก็มีการทุ่มข้าวของหรือใช้พระบาทถีบบ้างเป็นครั้งคราว

ร่างกายของเจียงเสวี่ยนซื่อผู้นี้ เกรงว่าจะทนแรงถีบของฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่ไหว...

“อืม เจ้าค่ะ ขอบคุณกงกงที่ชี้แนะ”

เจียงหวนก้าวเข้าสู่ตำหนักหย่างซิน ในหัวยังคงมึนงงไม่กระจ่างนัก

“ในเมื่อมาแล้ว ยังจะยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม?”

จนกระทั่งฮั่วหลินตรัสด้วยเสียงทุ้มต่ำ เจียงหวนจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าอันหนักอึ้งเข้าไปข้างหน้า

[น่ารำคาญชะมัด! วัน ๆ เอาแต่จะให้เลือกป้ายชื่อ ๆ ข้ายังกินไม่อิ่มท้องเลย แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปมีหลานให้ไทเฮา?]

[ชีวิตนี้คงได้แค่นี้แหละ ไม่เป็นบุรุษก็ช่างเถิด ข้าไม่มีแรงจะมีลูก เจียงเสวี่ยนซื่อคนนี้ทำบัวลอยให้เรา แกะปูให้เรา ก็ถือว่าเป็นคนดี]

[หรือว่าจะหาข้ออ้างให้อวี๋ผินมารับนางกลับไปดีกว่า เราไม่มีแรงจริง ๆ ต้องขอโทษเจ้าด้วย]

ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบ เจียงหวนก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง “ตุบ” ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ฝ่าบาท ท่านไม่อยากเรียกสนมมาปรนนิบัติ ก็ไม่ควรจะมาล้อหม่อมฉันเล่นแบบนี้สิเพคะ?

ตอนนี้อวี๋ผินก็มองนางเป็นหนามยอกอกอยู่แล้ว หากถูกอวี๋ผินรับตัวกลับไป เกรงว่าในอนาคตนางจะไม่มีเงินแม้แต่จะเข้าครัวเล็กไปทำอาหารกินแล้ว!

“ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ วันนี้หม่อมฉันมาอย่างเร่งรีบ มิได้อาบน้ำแต่งตัว ไม่กล้าทำให้เบื้องพระพักตร์และพระกรรณต้องมัวหมอง มิสู้ให้หม่อมฉันนวดพระอังสาและบีบพระเพลา ปรนนิบัติให้ท่านพักผ่อนดีกว่านะเพคะ”

หัวใจดวงน้อยของเจียงหวนเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมา ความกล้าแทบจะมลายหายสิ้น นางรู้เพียงว่า คืนนี้หากกลับไปที่ตำหนักจิ่นหวาจริง ๆ คงไม่ได้จบแค่การคุกเข่าทั้งคืนแน่

เจียงหวนไม่ได้คิดจะถวายตัวจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น แค่ได้มาคลุกคลีอยู่ในตำหนักฝ่าบาทหนึ่งคืน...

หากได้ชื่อว่าเป็นสนมคนแรกที่ได้ถวายตัว ชีวิตในวันข้างหน้าย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน!

[เจียงเสวี่ยนซื่อคนนี้ยังนับว่ารู้จักกาละเทศะ แต่เราหิวจนตาลายแล้ว ไม่อยากจะมาเสียเวลากับสตรีอีก รีบไล่ไปเสียดีกว่า]

เมื่อได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลิน เจียงหวนก็กัดฟันหลับตาแน่น ควักปูสามตัวที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อมานานครึ่งชั่วยามออกมา

“วันนี้หม่อมฉันนำของบางอย่างกลับมาจากงานเลี้ยงในวัง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะสนพระทัยหรือไม่เพคะ?”

เมื่อเจียงหวนเผยให้เห็นปูสามตัวนั้น ดวงพระเนตรของฮั่วหลินก็พลันสว่างวาบขึ้นมาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า

[ปู? เจียงเสวี่ยนซื่อเอาปูกลับมาด้วยหรือ? แถมยังแกะไว้แล้วด้วย?]

[ยังต้องถามอีกหรือ? คุกเข่าโง่ ๆ อยู่ตรงนั้นทำไม ไม่รีบยื่นมาให้เรา หรือจะรอให้เราเดินไปหยิบเอง?]

เจียงหวนฟังแล้วปวดหัวตุบ ๆ ฝ่าบาท พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาเลย หม่อมฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทรงต้องการหรือไม่?

ยามปกติพระองค์ก็ทรงเงียบแบบนี้ ข้ารับใช้คนไหนจะไปเดาพระทัยถูกกันเล่า?

เจียงหวนยื่นปูทั้งสามตัวให้ มองดูฮั่วหลินเสวยอย่างเชื่องช้า ท่วงท่าสง่างาม มีเพียงเสียงในหัวเท่านั้นที่กำลังโหวกเหวกโวยวาย

[ปูมีฤทธิ์เย็นแล้วจะทำไม? เราจะกิน เราจะกินให้หมดในคราวเดียว ให้หวังเต๋อกุ้ยมันโมโหตายไปเลย!]

[น่าเสียดาย มีปูแค่สามตัวเอง ท้องยังไม่อิ่มเลย แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มากแล้ว]

[ทั้งวังมีคนตั้งมากมาย มีแค่เจียงเสวี่ยนซื่อคนเดียวที่รู้จักหาของกินมาป้อนเรา ไว้วันหลังจะสั่งตัดหัวให้หมด!]

นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เจียงหวนได้ยินฮั่วหลินคิดจะสั่งตัดหัวคนในวัง แม้จะรู้ว่าฮั่วหลินอาจจะแค่พูดระบายอารมณ์ แต่เจียงหวนก็ยังอดที่จะกลัวไม่ได้อยู่ดี

อย่างไรเสียนี่ก็คือฮ่องเต้ ส่วนนางเป็นเพียงสนมเสวี่ยนซื่อตำแหน่งปลายแถวที่ต่ำต้อยสุด ๆ ไม่มีบิดาเป็นแม่ทัพคอยหนุนหลัง หากปรนนิบัติไม่ดีพอ อย่าว่าแต่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลย แค่รักษาชีวิตรอดก็ยากแล้ว

ตอนนี้ฮั่วหลินเสวยเสร็จแล้ว กระดองปูถูกโยนทิ้งไว้ข้าง ๆ แล้ววางพระหัตถ์ทั้งสองข้างไว้บนพระชานุ

[เจียงเสวี่ยนซื่อตาบอดหรือไร ไม่รู้จักเช็ดมือให้เราบ้างหรือ? เดี๋ยวจะไล่นางออกไปเลย!]

หัวใจดวงน้อยของเจียงหวนเต้นไม่เป็นจังหวะ นางอุตส่าห์ซ่อนปูมาตั้งนาน ตัวเองยังไม่ได้กินสักคำ ทั้งหมดให้ฝ่าบาทเสวยไปแล้ว เหตุใดพระองค์ถึงได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คิดจะไล่นางไปอีกเล่า?

เจียงหวนรีบยกอ่างน้ำเข้ามา ปรนนิบัติฮั่วหลินล้างพระหัตถ์ แล้วใช้ผ้าเช็ดจนแห้งสะอาดหมดจด จึงจะกล้าเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว

“เช่นนั้นให้หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าบาทเข้าบรรทม แล้วหม่อมฉันจะไปพักที่ตั่งเล็กในห้องโถงด้านนอกนะเพคะ?”

ก่อนที่ฮั่วหลินจะได้เอ่ยปากไล่นาง เจียงหวนก็ชิงเสนอทางออกขึ้นมาก่อน

[เจียงเสวี่ยนซื่อไม่อยากถวายตัว? หรือว่านางมีคนรักในวังอยู่แล้ว?]

เสียงในใจประโยคนี้ เกือบจะทำให้เจียงหวนเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น ถวายตัวก็ไม่ได้ ไม่ถวายตัวก็ไม่ได้

ฝ่าบาท หากจะทรงสังหารกันก็โปรดบอกมาตรง ๆ เถิดเพคะ!

“วันนี้ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าจากราชกิจ ในงานเลี้ยงก็ทรงดื่มไปไม่น้อย หม่อมฉันฐานะต้อยต่ำ ไม่กล้ารบกวนพระวรกายอันศักดิ์สิทธิ์เพคะ”

เจียงหวนรู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยเสียเหลือเกิน ยิ่งกว่าตอนเป็นทาสแรงงานในชาติที่แล้วอีก อย่างไรเสีย ถ้าทำพลาดในวังหลวง นั่นหมายถึงเสียชีวิตจริง ๆ

ภายใต้สายพระเนตรอันร้อนแรงของฮั่วหลิน เจียงหวนกัดฟันฝืนทนอยู่นาน กว่าจะได้ยินเขาเอ่ยออกมา

“เช่นนั้นก็ไปพักที่ห้องโถงด้านนอกเถิด เรื่องในคืนนี้ ห้ามนำไปพูดกับคนนอก”

เจียงหวนถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบคุกเข่าขอบพระทัยทันที

“ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ หม่อมฉันจะไม่แพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำเพคะ!”

ได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลินมานานขนาดนี้ มีหรือที่เจียงหวนจะไม่รู้ว่าในใจของเขากังวลเรื่องอะไร?

ก็แค่ไม่อยากให้ไทเฮาทรงทราบว่า สนมที่เขาเรียกมาถวายตัว สุดท้ายกลับไปนอนอยู่ที่ห้องโถงด้านนอก แต่ทันทีที่หันหลังเดินจากไป เจียงหวนก็ได้ยินเสียงพึมพำในหัวอีกครั้ง

[วันนี้กินปูไปตั้งสามตัวรวด ถ้าหวังเต๋อกุ้ยรู้เข้า ทางไทเฮาคงได้บ่นอีกยาว]

[ดูท่าเจียงเสวี่ยนซื่อก็ไม่น่าจะเป็นคนปากสว่าง หากนางกล้าพูดจาเหลวไหล เราจะเย็บปิดปากนางเสียเลย!]

เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากของเจียงหวน

อ้อ ที่แท้ฝ่าบาทกังวลว่าเรื่องที่ทรงเสวยปูจะไปถึงพระกรรณไทเฮานี่เอง...

นอนที่ห้องโถงด้านนอก เจียงหวนนอนหลับไม่สนิทเลย ตลอดทั้งคืนเสียงในหัวของเจียงหวนก็ไม่เคยหยุดลง

เดี๋ยวก็ร้องว่า “หิว” เดี๋ยวก็ว่า “พวกผู้หญิงในวังหลังนี่น่ารำคาญเสียจริง ถ้าตายพร้อมกันหมดได้ก็ดี” แล้วก็ “พวกขุนนางนั่นถ้าไม่ทำให้เราโมโหจะตายหรือไร? วัน ๆ เอาแต่ร้องว่าราษฎรทุกข์ยากลำบาก เราเองก็กินไม่อิ่มเหมือนกันนะ!”

ถูกรบกวนเช่นนี้ทั้งคืน เจียงหวนก็ลุกขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ขอบตาคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าเสียอีก ก่อนที่เหล่านางกำนัลขันทีที่อยู่ด้านนอกจะเข้ามาปรนนิบัติอาบน้ำ เจียงหวนก็เข้าไปในตำหนักเพื่อปรนนิบัติให้ฮั่วหลินตื่นบรรทม

“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วเพคะ ถึงเวลาต้องไปว่าราชการแล้ว”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 235

    “เรายังมีฎีกาที่ต้องพิจารณาอีกบางส่วน ดึกหน่อยค่อยมาเยี่ยมเจ้า”ฮั่วหลินวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวกับเจียงหวน น้ำเสียงกลับคืนสู่ความสงบในยามปกติ[นางคงจะมีความสุขมากกระมัง?][เราพยายามแสดงออกมากแล้วนะ]เจียงหวนพยายามกลั้นยิ้มและพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เพคะ ฝ่าบาทค่อยๆ เสด็จนะเพคะ”ฮั่วหลินถึงได้ลุกขึ้นแล้วออกจากตำหนักเว่ยยางไปเมื่อประตูตำหนักปิดลง ทั่วทั้งตำหนักอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเจียงหวนและเติ้งหมอม่อที่มีสีหน้าเคร่งเครียด นางคล้ายอยากจะกล่าวสิ่งใดแต่ก็ลังเลเจียงหวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าไล่ไอร้อนอย่างช้าๆเมื่อเติ้งหมอม่อเห็นว่าพระสนมของตนดูอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่านางก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หลังไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจเอ่ยปากพระสนมทรงพระปรีชาและมีเมตตา แต่ถึงอย่างไรก็ยังทรงเยาว์วัย ทั้งยังตกอยู่ในบ่วงแห่งความรัก จึงมีบางคำพูดที่นางในฐานะหมอม่อผู้ดูแลจำเป็นต้องพูด“พระสนมเพคะ” เสียงที่ถูกลดจนเบาอย่างยิ่งของเติ้งหมอม่อเต็มไปด้วยความกังวลอันเข้มข้น“พระเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อพระสนมเมื่อครู่นั้น เป็นความโปรดปรานสูงสุดอย่างหาได้ยากยิ่ง”เจี

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 234

    หลังจากเดินเล่นในสวนกับเจียงหวนไปสักพัก ฮั่วหลินก็อยู่รับประทานอาหารค่ำที่ตำหนักเว่ยยางอย่างเป็นธรรมชาติเหล่าข้าราชบริพารจัดอาหารอันงามประณีตลงบนโต๊ะทรงกลมอย่างคล่องแคล่ว พร้อมตะเกียบ จาน ชามครบถ้วนพร้อมสรรพฮั่วหลินนั่งตัวตรงอยู่ที่หัวโต๊ะ รถเข็นของเจียงหวนถูกเข็นมาอยู่ในตำแหน่งข้างกายเขาส่วนเติ้งหมอม่อก็ยืนค้อมศีรษะอยู่ใกล้ๆ อย่างเคารพ เตรียมปรนนิบัติในทุกเมื่ออาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะหมด ฮั่วหลินมิได้รีบขยับตะเกียบ แต่กวาดสายตาไปทั่วโต๊ะรอบหนึ่งแทน[หึ ให้ทำตัวเป็น ‘น้ำฝนน้ำค้าง’ ที่ตกต้องถ้วนหน้างั้นหรือ? วันนี้เราจะให้นางได้เห็นว่า “น้ำพระเมตตา” ของเราจะไปตกอยู่ที่ใด][เราจะคีบอาหารให้นางเอง แบบนี้คงชัดเจนพอแล้วกระมัง? มาดูกันว่าเติ้งหมอม่อจะมีสิ่งใดมาพูดอีก]เจียงหวนเพิ่งหยิบชามใบเล็กตรงหน้าของตนขึ้นมา ก็ได้ยินคำพูดเต็มไปด้วย “ปณิธานอันแรงกล้า” ของฮั่วหลินพอดีนางฝืนกลั้นยิ้ม หลุบตาทอดมองปลายจมูก ตาจ้องจมูกจมูกจ้องใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจากนั้นก็เห็นฮั่วหลินคีบเนื้อปลานึ่งชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้ววางลงในชามของเจียงหวนอย่างมั่นคง“ปลานี้ทั้งสดทั้งนุ่ม เจ้ากินให้มาก

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 233

    ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังมาเมื่อเจียงหวนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นฮั่วหลินไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ทางเข้าสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใด สีหน้าของเขาดำทะมึนอย่างน่ากลัว[อะไรที่เรียกว่า “มอบพระเมตตาอย่างเท่าเทียม”? เราเคยไป “เมตตา” ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด?][เหตุใดเติ้งหมอม่อจึงปรักปรำเราโดยไร้หลักฐานเช่นนี้?][เราเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดไร้ราคี กลับถูกนางพูดจนเหมือนคนเจ้าชู้ประตูดินไปเสียได้]เสียงความในใจที่เดือดดาลและเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ดังขึ้นข้างหูของเจียงหวนนางมองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮั่วหลิน พร้อมกับฟังคำบ่นในใจของเขา แล้วก็จะเกือบหัวเราะออกมาฮั่วหลินสาวเท้ายาวเข้ามา เขาตวัดตามองเติ้งหมอม่ออย่างเย็นชาแม้เติ้งหมอม่อถูกถลึงตาใส่จนงุนงง แต่ก็ยังรีบถวายคำนับ“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่สนใจนาง และหันไปมองเจียงหวนแทน“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”เจียงหวนฝืนกลั้นรอยยิ้มที่มุมปาก พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ“ทูลฝ่าบาท เติ้งหมอม่อกำลังสอนหม่อมฉันเรื่อง...เอ่อ กฎระเบียบของวังหลังเพคะ”[สอนอะไร? สอนให้นางยอม

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 232

    เจียงหวนมองนางกำนัลน้อยที่คุกเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น ในใจก็ถอนใจออกมาดูแล้วอายุยังไม่มาก ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้แบบอย่างดีๆ กันนะ?“การขโมยทรัพย์สินในวังเป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎสมควรได้รับโทษโบย 20 ครั้ง แล้วขับออกจากวัง”เจียงหวนจงใจพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็ตั้งใจกดให้ต่ำลงหลายส่วนเมื่อนางกำนัลน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบโขกศีรษะทันที หน้าผากกระแทกพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังตุบๆ“พระสนมโปรดเมตตาด้วย บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเพคะ ขอพระสนมโปรดอภัยให้บ่าวสักครั้งเถิด!”เจียงหวนเหลือบมองเติ้งหมอม่อที่ยืนอยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับรอให้ตนตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อว่า “แต่ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงลองบอกมา ว่าเหตุใดจึงต้องขโมยปิ่นปักผมของผู้อื่น?”นางกำนัลน้อยตอบอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ของบ่าวป่วยหนัก ที่บ้านไม่มีเงินซื้อยาจริงๆ บ่าวได้ยินมาว่าปิ่นของพี่อวี้เป็นเงิน จึง... จึง...”เจียงหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาตกลงบนมือที่หยาบกร้านของนางกำนัลน้อย มือคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยด้านและบาดแผลเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าทำงานหนักมาไม่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 231

    นางกำนัลน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม นางส่ายหน้าสุดกำลัง “ไม่ใช่เพคะพระสนม! เช้านี้ตอนบ่าวตื่นมาแล้วจัดเตียงพับผ้าห่ม ก็ยังไม่เห็นปิ่นปักผมอะไรเลย จะต้องมีคนใส่ร้ายบ่าวแน่เพคะ ขอพระสนมโปรดให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วยเถิดเพคะ”นางร้องไห้อย่างหนักจนลมหายใจขาดห้วง ท่าทางโดดเดี่ยวไร้คนช่วยที่น่าเวทนาของนาง ทำให้ผู้ใดพบเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกเห็นใจใบหน้าของเสี่ยวเจาเริ่มแสดงความสงสารออกมาแล้ว “พระสนม นางร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ดูแล้วไม่เหมือนเสแสร้งเลยเพคะ...”ไม่เหมือนหรือ?เจียงหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนใบหน้าของนางกำนัลน้อยครู่หนึ่งอื้ม น้ำตาเป็นของจริง ความหวาดกลัวก็เป็นของจริง แต่ความเคียดแค้นกับความลนลานในส่วนลึกของดวงตาก็เป็นของจริงเหมือนกันชาติก่อน นางเคยเห็น ‘พวกไม่ยอมหยุดงาน’ ทะเลาะหยุมหัวกับ ‘พวกหยุดงานประท้วง’ ที่ทำงานทุกวัน แกแทงฉันทีหนึ่ง ฉันแทงแกหนึ่งที สลับกันไปมาพอเจ้านายมาถึงก็จะร้องไห้โฮ อ้างว่าตัวเองเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก ถูกใส่ร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกใส่ความเหมือนตัวเอกในนิยายนางน่ะฝึกสายตามาจนมองออกหมดแล้ว โอเคไหม?แววตาของคนตรงหน้าล่อกแล่กไม่น

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 230

    เหล่านางกำนัลและขันทียืนค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม พวกเขายืนเรียงเป็นสองแถวรอคอยการคัดเลือกจากเจียงหวน โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเติ้งหมอม่ออธิบายกฎสำคัญภายในวัง หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง และข้อห้ามในการรับใช้ข้างกายเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาไม่ดังอยู่ด้านข้าง นางยังบอกเล่าที่มาของสาวใช้และขันทีพวกนี้ให้เจียงหวนฟังด้วยคำอธิบายของนางกระชับแต่ชัดเจน ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ทั้งคงไว้ซึ่งความน่ายำเกรง และแฝงไปด้วยการมองเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่งของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มา ทำให้แม้แต่เจียงหวน “ที่เปลี่ยนมาประกอบอาชีพนางสนมกลางคัน” ก็ยังฟังจนพยักหน้าติดต่อกันเพราะได้รับประโยชน์อย่างมากที่แท้การจัดการข้ารับใช้ในวังก็มีเคล็ดลับในมากมายเช่นนี้ เติ้งหมอม่อผู้นี้สมคำร่ำลือจริงๆ ทุกถ้อยคำล้วนสำคัญและตรงประเด็นอื้ม ต้องเรียนรู้จากนาง มาดูกันว่าวันหน้าผู้ใดจะกล้ารังแกนางอีก... โอ๊ะ ไม่ใช่ มาดูกันว่าผู้ใดจะกล้ามาวางก้ามก่อเรื่องในตำหนักเว่ยยางอีกต่างหากเมื่อมีคำแนะนำของเติ้งหมอม่อ เจียงหวนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกณฑ์การคัดเลือกคนของนางก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือ มีดวงตาที่กระจ่างใสซื่อตรง มือเท้าคล่อง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status