Mag-log inสัตว์ป่า!ไม่ แย่ยิ่งกว่าสัตว์ป่าซะอีก!ที่ตกลงกันว่าครั้งสุดท้ายล่ะ? ฮั่วหลิน เจ้าคนโกหก พอเสร็จครั้งหนึ่งก็เอาอีกตอนนี้ดีเลย เอวแทบจะหักแล้ว ขาก็ปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่ แล้วยังจะให้นางไปคัดลอกบทสวดอีก คัดบ้าน่ะสิ?ฮั่วหลินมองท่าสูดปากแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวดของนาง ก็ลูบจมูกอย่างรู้สึกผิด ทว่าในดวงตากลับมีความพอใจวาบผ่าน[เอ่อ เมื่อคืนเราทำเกินไปหน่อยจริงๆ][แต่เรื่องเอวที่ปวดและขาอ่อนแรงนี่ เราจะรับผิดชอบจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน][ทักษะการนวดที่ตั้งใจเรียนจากหมอหลวงก่อนหน้านี้ ยามนี้จะได้นำมาใช้แล้วไม่ใช่หรือ?]"เราจะช่วยนวดให้เจ้า"ฮั่วหลินถอนหายใจราวตำหนิตัวเองทีหนึ่ง เขาเอื้อมมือไปนวดเอวของเจียงหวนอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงมีความประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด"ไม่อย่างนั้น เราให้หวังเต๋อกุ้ยไปแจ้งลากับลี่เฟยแทนเจ้าดีไหม บอกว่าวันนี้เจ้าไม่สบาย ต้องพักผ่อน?"[ผู้หญิงพวกนั้นวันๆ ทำแต่เรื่องไร้คุณธรรม บทสวดที่คัดออกมาแม้แต่พุทธองค์ก็ยังรังเกียจเลย][นางไม่ไปก็ดี จะได้ไม่ถูกบรรยากาศเป็นพิษนั่นทำให้รู้สึกไม่สบาย]"แจ้งลา?" ดวงตาของเจียงหวนเป็นประกายแบบนั้นก็ดีสิ! แบบนั้นนางก็สามา
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ เมื่อวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาใกล้มาถึง ตำหนักในก็เริ่มยุ่งและคึกคักขึ้นมาเช้าวันนี้ ในตอนที่ฟ้าเพิ่งสาง ภายในตำหนักเว่ยยางเงียบสงัดเจียงหวนหมกร่างอยู่ผ้าห่มผืนนุ่ม แขนข้างหนึ่งวางอยู่บนเอวของฮั่วหลินอย่างไม่ใส่ใจ ลมหายใจของนางยาวสม่ำเสมอทันใดนั้น มือใหญ่ที่มีรอยด้านบางๆ ก็ลูบแก้มของนางเบาๆ“เจียงหวน” เสียงไพเราะที่ทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือกระหม่อมของนางเจียงหวนย่นจมูกด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะความฝันอันแสนหวาน ปากพึมพำบางสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วซุกหน้าลงในอ้อมกอดของฮั่วหลินลึกกว่าเดิม แขนที่วางอยู่บนเอวเขาก็รัดแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยลุกไม่ขึ้น ลุกไม่ขึ้น ปิดนาฬิกาปลุกตรงไหนนะ?คนตัวน้อยในใจของนางประท้วง ปรารถนาเพียงการดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอันหอมหวานต่อไปแต่มือข้างนั้นไม่ยอมแพ้ กลับลูบไล้หน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน สัมผัสเย็นๆ จากปลายนิ้วไล้ไปตามโหนกคิ้วจนถึงพวงแก้ม ก่อนจะบีบติ่งหูของนางอย่างแผ่วเบา“ตื่นได้แล้ว” เสียงของฮั่วหลินดังใกล้ขึ้นอีก ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาไล้ผ่านเส้นผมของนางเจียงหวนถูกการรบกวนอย่างไม่ยอมถอยของเขาทำให้หงุดหงิดรำคาญ ในที่สุดก็
เมื่อได้ฟังเสียงพูดในใจคนเดียวที่แสนประหม่าของเขา เจียงหวนพลันรู้สึกว่า คนตรงหน้าช่างเงอะงะจนทำให้คนปวดใจ“ฝ่าบาท” นางเอ่ยเรียกเบาๆฮั่วหลินหยุดการค้นหาทันที แล้วมองมาที่นางอย่างประหม่า“หืม?”เจียงหวนวางหนังสือในอ้อมแขนลงบนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง แล้วเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของฮั่วหลินอย่างอ่อนโยน ในดวงตากระจ่างใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม“หม่อมฉันชอบหนังสือพวกนี้”นางหยุดไปครู่หนึ่ง เสียงเบาลงอีก “แต่เทียบกับหนังสือพวกนี้แล้ว หม่อมฉันชอบการใช้เวลากับฝ่าบาทมากกว่าเพคะ”รูม่านตาของฮั่วหลินขยายขึ้นเล็กน้อย ราวถูกการโจมตีที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วกระแทกใส่หัวใจอย่างฉับพลันปลายหูของเขาแดงก่ำอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดด้วยตาเนื้อ ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง[นาง...นางบอกว่าชอบอยู่กับเรา][เราได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่?][ที่แท้การหึงหวงก็หอมหวานได้ในตอนปลายเช่นนี้ด้วย!]คนตัวน้อยในใจของฮั่วหลินเริงร่าจนกลิ้งไปมากับพื้น ทว่าภายนอกเขากลับเพียงพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ น้ำเสียงก็ดูเคร่งเครียดเล็กน้อย“อื้ม เราก็เหมือนกัน”เมื่อเจียงหวนที่เห็นท่าทางแสร้งทำเป็นสงบของเขา ในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้นาง
ริมฝีปากบางของฮั่วหลินเม้มแน่น ปลายนิ้วลูบไล้ด้านในข้อมือของเจียงหวนเบา ๆ [ล็อกไว้เช่นนี้แหละ][เมื่อครู่นางพูดคุยกับเสิ่นยี่ตั้งมากมายขนาดนั้น ไม่ได้มองเราเลยสักนิด][เราก็อยากคุยเรื่องนิยายกับนางเหมือนกัน เราก็แนะนำหนังสือให้นางได้ หนังสือของเรามีเยอะกว่าเจ้าเด็กเสิ่นยี่นั่นตั้งเยอะ]เจียงหวนฟังความคิดเล็ก ๆ ในใจที่ทั้งหึงและแฝงไปด้วยความน้อยใจของเขา ก็รู้สึกทั้งจนใจทั้งขบขันนางจงใจขยับมือที่ถูกเขากุมไว้ “ฝ่าบาทเพคะ ของว่างจะเย็นหมดแล้ว”แต่ฮั่วหลินกลับลุกขึ้นยืนในทันที จูงมือนางเดินไปยังตำหนักรองของห้องทรงพระอักษร“ตามข้ามา”เจียงหวนถูกเขาลากไปอย่างงุนงง“ไปไหนเพคะ? ของว่างยังทานไม่หมดเลยนะ”ฮั่วหลินไม่หันกลับมาตอบ น้ำเสียงยังคงอู้อี้“ข้ามีของที่ดีกว่าให้เจ้าดู”ตำหนักรองเป็นสถานที่ที่ฮั่วหลินใช้พักผ่อนเป็นครั้งคราว การตกแต่งเรียบง่าย แต่ชิดผนังกลับมีชั้นหนังสือสูงใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่แถวหนึ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท ฮั่วหลินถือเชิงเทียน เดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ด้านในสุดแสงเทียนริบหรี่สั่นไหว ส่องสะท้อนให้เห็นหนังสือบนชั้นซึ่งมีรูปเล่มแตกต่างกัน
[เสิ่นยี่คงจะคันไม้คันมืออยากโดนซ้อมสินะ เชื่อหรือไม่ว่าพรุ่งนี้เราจะส่งเขาไปเฝ้าสุสานหลวง!]ฮั่วหลินพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง แต่แรงกดดันต่ำที่แผ่ออกมาจากรอบกาย ทำให้อุณหภูมิภายในห้องทรงพระอักษรลดฮวบลงไปหลายองศารองเสนาบดีกรมโยธาธิการที่กำลังรายงานอยู่รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ความรู้สึกหนาวเหน็บราวกับเจอผีพุ่งตรงขึ้นสู่กลางกระหม่อมเขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นลอบมองฮ่องเต้ที่ประทับอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ก็เห็นว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทบึ้งตึง ดวงตาจับจ้องไปยังทิศทางของประตูอย่างเย็นชารองเสนาบดีกรมโยธาธิการตกใจจนตัวสั่น คำพูดท่อนหลังติด ๆ ขัด ๆ จนในที่สุดก็พูดไม่ออกนี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย...เขาพูดอะไรผิดไปหรือ? แย่แล้ว หรือว่างบประมาณที่เสนอไปจะสูงเกินไป?รองเสนาบดีกรมโยธาธิการร่ำไห้อยู่ในใจ ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นไปหมด รู้สึกว่าแม้กระทั่งการหายใจก็ยังกลายเป็นเรื่องยากลำบากเจียงหวนที่ยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงความหึงหวงที่ถาโถมราวกับคลื่นยักษ์ในใจของฮั่วหลินอย่างชัดเจนยืนอยู่ไกลขนาดนี้ แถมยังพูดเสียงเบาขนาดนี้ยังจะได้ยินอีกหรือ???พ่อคนขี้หึงคนนี้เป็นหนึ่งเดียวใ
ราตรีลึกล้ำขึ้นทุกขณะ แต่ภายในห้องทรงพระอักษรยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟการสนทนาระหว่างฮั่วหลินและเสิ่นยี่ดำเนินมาตลอดทั้งวัน ตั้งแต่การกระจายกำลังองครักษ์ที่จวนแห่งใหม่ของหนานจวิ้นอ๋องฮั่วฉง ไปจนถึงการโยกย้ายคนสนิทใต้บังคับบัญชาของมู่จวินอ๋องฮั่วถิง และรายละเอียดการเตรียมงานเลี้ยงพระราชสมภพของไทเฮาทั้งสองคนก้มมองแผนที่และรายงานลับ ปรึกษาหารือกันด้วยเสียงเบา ๆ และวิเคราะห์ไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า เสิ่นยี่จึงบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกดังกร๊อบแกร๊บ“โอ๊ย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่นี่มีข้าวให้กินหรือไม่?”ไม่พูดถึงข้าวก็ยังดี พอพูดขึ้นมา ฮั่วหลินก็รู้สึกว่าในท้องว่างโหวงขึ้นมาทันทีเขานวดขมับที่ปวดตุบ ๆ เลื่อนกองฎีกาที่สูงเป็นภูเขาบนโต๊ะไปไว้ด้านข้าง แล้วโบกมือไล่“จวงเฟยจะดูแลเรื่องอาหารของข้า เจ้าก็ถือชามไปกินที่ห้องเครื่องเองเถอะ”พูดจาเช่นนี้ ราวกับว่ามีแค่เขาคนเดียวที่มีภรรยาอย่างนั้นแหละเสิ่นยี่ที่ในเรือนหลังไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียวก็โอดครวญขึ้นมาทันที “น้ำใจพี่น้องอยู่ที่ใดกันเล่า เหตุใดมีแต่ร่วมทุกข์ แต่ไม่มีร่วมสุขเล่า!”ฮั่วหลินถลึงตาใส่เขา






