Masukเจียงหวนย่อมได้ยินคำพูดประชดประชันของเวินอี้หลินอยู่แล้ว ได้แต่ทอดถอนใจกับตนเองที่เวินอี้หลินทำไม่ต่างอะไรจากโจมตีไม่เลือกหน้า นางกลัวว่าโลกจะสงบสุขเกินไปหรืออย่างไรแต่ละวัน หากไม่เอ่ยวาจายุแยงตะแคงรั่วสักสองสามประโยคคงจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจับนางไปขายให้คณะงิ้วแสดงเป็นหญิงปากมากที่ชอบยุแยงตะแคงรั่วเสียเลย ให้นางแสดงความสามารถของตนออกมา รับรองว่าดังระเบิดแน่นอนเจียงหวนขี้คร้านจะสนใจเวินอี้หลิน คนประเภทนี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้นางคิดได้ดังนั้น เจียงหวนจึงหันไปมองเหอหลิงที่กำลังมุ่งมั่นกับการเขียนพู่กันอยู่ข้างๆท่าทางจับพู่กันของเหอหลิงยังคงแข็งทื่อจนทนมองไม่ได้ ข้อมือลอยอยู่กลางอากาศ เกร็งนิ้วจนข้อต่อซีดขาว เขียนอักษรเพียงไม่กี่คำก็เหนื่อยจนแทบหอบแล้วเจียงหวนเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า นางจึงวางพู่กันของตนเอง และขยับไปข้างๆ เหอหลิง“ข้อมือของเจ้าแข็งเกินไปแล้ว ยามเขียนอักษรต้องผ่อนคลายหน่อย”ขณะเอ่ย นางยื่นมือไปวางบนหลังมือของเหอหลิงที่กำลังถือพู่กันอย่างเป็นธรรมชาติเหอหลิงตะลึงจนพูดไม่ออก[กรี๊ดๆๆ พระสนมจวงเฟยแตะมือฉันแล้ว][มือของนางนิ่มจังเลย ลื่น
เจียงหวนมองลี่เฟยอย่างไม่สะทกสะท้าน ไร้ซึ่งแววตื่นตระหนกถึงอย่างไรในห้องหนังสือของฝ่าบาทก็มีภาพอักษรมากมายขนาดนั้น หาภาพอักษรที่ลายมือหวัดๆ สักรูปมาหลอกนางก็ได้อย่างไรเสียอักษรแบบหวัด เมื่อเขียนแล้วก็ล้วนมีลายเส้นราวกับมังกรที่กำลังทะยานขึ้นฟ้า และหงส์ไฟที่กำลังร่ายรำหากนางกล้าสงสัย ก็เท่ากับยอมรับว่าตนเองไร้รสนิยมทุกคนมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยปรมาจารย์ด้านพู่กันในรัชสมัยก่อน? ดูเหมือนเรียบง่ายทว่ายอดเยี่ยม? พูดเล่นหรือเปล่า?อักษรของเหอหลิงเหมือนยันต์ไล่ผีไม่มีผิด ต่างจากคำว่าเรียบงายทว่ายอดเยี่ยมไกลโขทีเดียวทว่าเจียงหวนกลับพูดอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ ซ้ำยังนำฮ่องเต้องค์ก่อนมากล่าวอ้างอีก ใครจะกล้าคัดค้านว่าไม่มีอยู่จริงอีก?รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่เฟยแข็งทื่อไปทันที นางเห็นท่าทีไม่ยี่หระของเจียงหวน รู้สึกราวกับไฟโทสะลุกไหม้ไปถึงหน้าผาก แต่กลับไม่อาจระบายออกมาได้นางแพศยาคารมคมหอก เรียบง่ายทว่ายอดเยี่ยมอันใดกัน? เห็นได้ชัดว่านางกำลังพูดจาเหลวไหล!น่าชังนัก กลับถูกนางตอกกลับจนพูดไม่ออกเสียได้ลี่เฟยกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น เล็บมือแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือแล้วนางสูดหา
[พระสนมจวงเฟยช่วยฉันมาหลายหน ฉันก็จะช่วยพระสนมเหมือนกัน]ลี่เฟยถูกหลี่กูกูและเหอหลิงช่วยกันพูด คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับเช่นนี้ ก็ทำเอาลมหายใจติดขัด สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้แต่ระงับเพลิงโทสะแล้วฝืนยิ้มออกมา“เมื่อเป็นเช่นนั้น น้องสาวก็รีบนั่งลงเถิด หลี่กูกูกล่าวได้ถูกต้อง การปรนนิบัติฝ่าบาทย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”เจียงหวนคร้านจะสนใจลี่เฟย ภายใต้การประคองของเสี่ยวเจา นางรีบเดินไปนั่งลงในตำแหน่งที่เหลือไว้ให้นางทันที ตำแหน่งนั้นอยู่ข้างเหอหลิงพอดี“ขอบใจเจ้า” เจียงหวนส่งสายตาให้เหอหลิง พร้อมพูดเบาๆ ขณะนั่งลงเหอหลิงที่ได้รับคำขอบคุณยินดีจนลนลาน รีบโบกมืออย่างรวดเร็ว เสียงเบาราวกับยุง“อ่า...อ่า พระสนมทรงเกรงใจเกินไปแล้วเพคะ”แม้ปากของเธอจะพูดแบบนั้น แต่ในใจกลับเบิกบานจนแทบจะมีดอกไม้บานแล้ว[ฉันได้รับรอยยิ้มจากเทพธิดาด้วย พลังรุนแรงเหลือเกิน!]การคัดลอกพระสูตรเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ภายในตำหนักเหลือเพียงเสียงพู่กันดังขวับๆเจียงหวนฝืนทำตัวเองให้แจ่มใส หยิบพู่กันขึ้นมา พยายามรวบรวมสมาธิแล้วเริ่มคัดลอกจนใจที่ปวดเอวปวดหลัง นั่งนานแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบาย จนนา
ฮั่วหลินประคองเจียงหวนไว้อย่างมั่นคง เมื่อเห็นนางสูดปากด้วยความเจ็บปวด คิ้วก็ขมวดแน่นเขาส่งเสียงออกไปด้านนอกอย่างเคร่งขรึม “หวังเต๋อกุ้ย!”หวังเต๋อกุ้ยรับคำ แล้วเดินเข้ามาน้อมกายรอรับคำสั่ง“ให้หลี่กูกูเข้ามารับใช้” ฮั่วหลินสั่ง แล้วกล่าวเสริมว่า “ให้นางไปร่วมการคัดลอกพระสูตรกับจวงเฟยด้วย ให้คอยดูแลให้ดี หากมีผู้ใดกล้าละเลย ให้รายงานเราทันที”เมื่อเจียงหวนได้ยิน ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาสามส่วนนางจำหลี่กูกูคนนั้นได้เป็นอย่างดีเลยล่ะตอนที่ยังไม่ได้ย้ายมาตำหนักเว่ยยาง อวี๋ผินคิดฉวยโอกาสสร้างความลำบากให้นาง เป็นหลี่กูกูคนนี้แหละ ที่ตีหน้าเคร่ง ใช้กฎของวังมางัดจนอวี๋ผินพูดไม่ออก และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้นางบรรยากาศรอบตัวนั่น ท่าทางเหมือนปกป้องลูกอ่อนนั่น เปรียบดั่งแสงสว่างในตอนนั้นของนางเลย“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” หวังเต๋อกุ้ยรับบัญชาแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หลี่กูกูก็เดินเข้ามาสายตาของนางมุ่งตรงไม่ล่อกแล่ก คารวะฮั่วหลินและเจียงหวนอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรพระสนมจวงเฟยเพคะ”“ไม่ต้องมากพิธี” ฮั่วหลินพยักหน้า “หวังเต๋อกุ้ยแจ้งทุกอย่างกับเ
สัตว์ป่า!ไม่ แย่ยิ่งกว่าสัตว์ป่าซะอีก!ที่ตกลงกันว่าครั้งสุดท้ายล่ะ? ฮั่วหลิน เจ้าคนโกหก พอเสร็จครั้งหนึ่งก็เอาอีกตอนนี้ดีเลย เอวแทบจะหักแล้ว ขาก็ปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่ แล้วยังจะให้นางไปคัดลอกบทสวดอีก คัดบ้าน่ะสิ?ฮั่วหลินมองท่าสูดปากแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวดของนาง ก็ลูบจมูกอย่างรู้สึกผิด ทว่าในดวงตากลับมีความพอใจวาบผ่าน[เอ่อ เมื่อคืนเราทำเกินไปหน่อยจริงๆ][แต่เรื่องเอวที่ปวดและขาอ่อนแรงนี่ เราจะรับผิดชอบจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน][ทักษะการนวดที่ตั้งใจเรียนจากหมอหลวงก่อนหน้านี้ ยามนี้จะได้นำมาใช้แล้วไม่ใช่หรือ?]"เราจะช่วยนวดให้เจ้า"ฮั่วหลินถอนหายใจราวตำหนิตัวเองทีหนึ่ง เขาเอื้อมมือไปนวดเอวของเจียงหวนอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงมีความประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด"ไม่อย่างนั้น เราให้หวังเต๋อกุ้ยไปแจ้งลากับลี่เฟยแทนเจ้าดีไหม บอกว่าวันนี้เจ้าไม่สบาย ต้องพักผ่อน?"[ผู้หญิงพวกนั้นวันๆ ทำแต่เรื่องไร้คุณธรรม บทสวดที่คัดออกมาแม้แต่พุทธองค์ก็ยังรังเกียจเลย][นางไม่ไปก็ดี จะได้ไม่ถูกบรรยากาศเป็นพิษนั่นทำให้รู้สึกไม่สบาย]"แจ้งลา?" ดวงตาของเจียงหวนเป็นประกายแบบนั้นก็ดีสิ! แบบนั้นนางก็สามา
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ เมื่อวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาใกล้มาถึง ตำหนักในก็เริ่มยุ่งและคึกคักขึ้นมาเช้าวันนี้ ในตอนที่ฟ้าเพิ่งสาง ภายในตำหนักเว่ยยางเงียบสงัดเจียงหวนหมกร่างอยู่ผ้าห่มผืนนุ่ม แขนข้างหนึ่งวางอยู่บนเอวของฮั่วหลินอย่างไม่ใส่ใจ ลมหายใจของนางยาวสม่ำเสมอทันใดนั้น มือใหญ่ที่มีรอยด้านบางๆ ก็ลูบแก้มของนางเบาๆ“เจียงหวน” เสียงไพเราะที่ทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือกระหม่อมของนางเจียงหวนย่นจมูกด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะความฝันอันแสนหวาน ปากพึมพำบางสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วซุกหน้าลงในอ้อมกอดของฮั่วหลินลึกกว่าเดิม แขนที่วางอยู่บนเอวเขาก็รัดแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยลุกไม่ขึ้น ลุกไม่ขึ้น ปิดนาฬิกาปลุกตรงไหนนะ?คนตัวน้อยในใจของนางประท้วง ปรารถนาเพียงการดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอันหอมหวานต่อไปแต่มือข้างนั้นไม่ยอมแพ้ กลับลูบไล้หน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน สัมผัสเย็นๆ จากปลายนิ้วไล้ไปตามโหนกคิ้วจนถึงพวงแก้ม ก่อนจะบีบติ่งหูของนางอย่างแผ่วเบา“ตื่นได้แล้ว” เสียงของฮั่วหลินดังใกล้ขึ้นอีก ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาไล้ผ่านเส้นผมของนางเจียงหวนถูกการรบกวนอย่างไม่ยอมถอยของเขาทำให้หงุดหงิดรำคาญ ในที่สุดก็






