Share

บทที่ 6

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
“นายหญิงน้อยผู้แสนดีของบ่าว นี่มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังจะคิดเรื่องกินอยู่อีกหรือ!”

เมื่อเสี่ยวเจาได้ยินว่านางยังคงคิดถึงหม้อเหล็กใบใหญ่นั่นอยู่ ก็ร้อนใจจนเดินวนไปวนมา

พวกคนในวังหลังเลือกปฏิบัติกับคนอื่นตามฐานะ ไม่ใช่เพิ่งจะเป็นแค่วันสองวันนี้ พอมีเรื่องไม่สบอารมณ์เข้าหน่อย ก็เอานายหญิงน้อยของนางมาเป็นที่ระบาย

ตอนนี้อุตส่าห์ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ไม่ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน แต่กลับจะมาจุดไฟทำกับข้าวตอนร้อน ๆ เนี่ยนะ???

“หากปล่อยให้อวี๋ผินได้รับความโปรดปรานขึ้นมา หางของนางได้ชี้ขึ้นฟ้าจนทิ่มหน้านายหญิงน้อยแน่เพคะ”

เจียงหวนเท้าคางมองนางอย่างเฉยเมย

“พูดจบแล้วหรือยัง?”

เสี่ยวเจาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“เช่นนั้นก็รีบไปยกหม้อเหล็กมาเถอะ”

เสี่ยวเจาแทบจะมืดไปแปดด้าน เหตุใดนายหญิงน้อยของนางถึงได้ดื้อรั้นพูดอะไรก็ไม่ฟังเช่นนี้!

เจียงหวนกลับแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ ตอนนี้นางถูกกักบริเวณ จะให้ทำอย่างไรได้อีก?

จะให้ร้องไห้ฟูมฟายไปอ้อนวอนฮั่วหลินอย่างนั้นหรือ?

เกรงว่าน้ำมูกน้ำตายังไม่ทันได้เช็ดให้แห้ง ผ้าแพรขาวคงได้มาพันรอบคอตายเสียก่อน

“ไหน ๆ ก็ออกไปไม่ได้แล้ว สู้เติมท้องให้อิ่มก่อนดีกว่า”

ขณะพูด นางก็หยิบขนมจากในจานขึ้นมาอีกชิ้นแล้วยัดเข้าปาก จนแก้มตุ่ยเหมือนกระรอกที่กำลังแอบกินอาหาร

เสี่ยวเจายังคงทำหน้าเศร้า มองเจียงหวนตาแป๋ว

เจียงหวนจึงต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย

“ถ้าข้ากินไม่อิ่ม ผอมโซจนดูซูบซีดแล้ว อวี๋ผินจะไม่หัวเราะจนปากจะฉีกถึงหูเลยหรือ?”

“พอฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นว่าข้างกายมีหญิงแก่หน้าโทรมอยู่คนหนึ่ง เกิดไม่พอพระทัยขึ้นมาแล้วสั่งให้ข้าไปอยู่ตำหนักเย็น ชีวิตครึ่งหลังของพวกเราสองคนก็จบสิ้นกันพอดี”

ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจเจียงหวนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

นางไม่ได้อยากจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย!

ชาติที่แล้วดูละคร ในวังหลังมีสตรีมากมายเท่าไรที่ต้องตายเพราะแย่งชิงความโปรดปราน ส่วนนางก็เป็นแค่คนที่อยากใช้ชีวิตไปวัน ๆ

แก่งแย่งชิงดีในวัง?

ไม่ ๆ ๆ นั่นไม่เหมาะกับนาง!

ทางที่ดีที่สุดคือให้ฮ่องเต้ลืมนางไปให้หมดสิ้น ปล่อยให้นางอยู่ในตำหนักเล็ก ๆ แห่งนี้ ทุกวันได้ไปทำอาหารกินกับเสี่ยวเจาที่ครัวเล็ก แค่นี้นางก็พอใจมากแล้ว!

สายตาของเสี่ยวเจาสั่นไหว ถูกเจียงหวนเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน ในที่สุดก็ยอมพาเจียงหวนไปดูหม้อเหล็กที่นางเฝ้ารอคอย

ทันทีที่เข้าครัวเล็ก เจียงหวนก็รู้สึกสบายใจดุจปลาได้น้ำ นางมองหม้อเหล็กที่เสี่ยวเจาซื้อกลับมาแล้ว รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“เสี่ยวเจา เจ้าไปอุ้มห่านอ้วน ๆ มาตัวหนึ่ง วันนี้ข้าจะทำห่านตุ๋นในหม้อเหล็ก”

เสี่ยวเจาได้ยินแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็อุ้มห่านอ้วนกลมกลับมาหนึ่งตัว

เจียงหวนรับห่านมา บิดคอห่านเบา ๆ จัดการถอนขน ผ่าท้อง ควักเครื่องในออกมาอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางชำนาญราวกับเป็นแม่ครัวมาหลายปี

“พระสนม ฝีมือของท่านถ้าไปอยู่ข้างนอกวัง รับรองว่าเปิดภัตตาคารหรูได้สบายเลยเพคะ”

ดวงตาของเสี่ยวเจาเป็นประกาย แทบจะเข้าไปช่วยไม่ทัน ได้แต่อยู่ข้าง ๆ และกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก

เจียงหวนรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย มือก็ขยับอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย นางก็เลี้ยงดูตัวเองเป็นอย่างดี

จะลำบากใครก็ช่างเถอะ แต่ปากท้องตัวเองต้องมาก่อน

หม้อเหล็กถูกเผาบนเตาไฟจนแดงฉาน เจียงหวนเทน้ำมันงาสองสามช้อนลงไป น้ำมันเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ

นางเทชิ้นห่านที่หั่นไว้ลงไปในหม้อ ใช้ตะหลิวผัดไปมา เนื้อห่านส่งเสียง “ฉ่า ๆ ” อยู่ในหม้อ กลิ่นหอมเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วครัว

หนึ่งเค่อต่อมา เจียงหวนเปิดฝาหม้อ ห่านตุ๋นหม้อเหล็กที่ร้อนระอุส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ นางตักห่านตุ๋นใส่ชามใบใหญ่ แล้วโรยหน้าด้วยผักชีซอย

“กินข้าวได้!”

นับตั้งแต่เจียงหวนทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ก็มักจะพาเสี่ยวเจามาดื่มกินด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เสี่ยวเจาก็คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของเจียงหวนในช่วงนี้แล้ว

นางตักข้าวสวยมาสองชาม นั่งลงที่โต๊ะเตี้ยในครัวแล้วกินข้าวกับเจียงหวน

เสี่ยวเจารีบคีบเนื้อห่านขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำ

“นายหญิงน้อย เนื้อห่านนี้นุ่มมากเลยเพคะ!”

เจียงหวนก็คีบเนื้อห่านขึ้นมาหนึ่งชิ้น กัดเข้าไปเบา ๆ

เนื้อห่านสดใหม่นุ่มชุ่มฉ่ำ มันฝรั่งและแครอทก็นุ่มละมุนเข้าเนื้อ น้ำซอสเข้มข้นกลมกล่อม

ต้องเป็นอาหารจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้านเราถึงจะกินอร่อย!

“ห่านตุ๋นหม้อเหล็กนี่ ช่วยให้หายอยากจริง ๆ ” เจียงหวนถอนหายใจอย่างพึงพอใจ

เสี่ยวเจากินข้าวคำหนึ่งกับข้าวคำหนึ่ง กินอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มตุ่ย “พระสนมเพคะ ห่านตุ๋นหม้อเหล็กที่ท่านทำนี้ หากฝ่าบาทได้ลองชิม จะต้องทรงโปรดแน่ ๆ เพคะ!”

เมื่อนึกถึงเสียงในใจของฮ่องเต้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจียงหวนก็ก้มหน้าก้มตากัดเนื้อห่านคำใหญ่เข้าไปอีกคำ

แม้แต่ข้าวร้อน ๆ ยังไม่ได้กิน ท้องก็ว่างอยู่ตลอดเวลา

อันที่จริง การเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา

สองนายบ่าวนั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ย กินไปคุยไปอย่างสบายอารมณ์

อีกด้านหนึ่ง อวี๋ผินที่ได้พูดคุยกับฮ่องเต้เพราะบัวลอยถ้วยเดียว ก็ไม่มีอารมณ์จะไปสนใจเจียงหวนอีก เอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความโปรดปรานมากยิ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งจะสาง อวี๋ผินก็ให้ชุ่ยอิงปรนนิบัติล้างหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็พาคนมุ่งหน้าไปยังห้องครัวอย่างกระตือรือร้น

บรรดานางกำนัลในครัวเห็นดังนั้น ก็รีบวางมือจากงานของตน แล้วคุกเข่าลงทำความเคารพ

“บ่าวคารวะอวี๋ผิน”

อวี๋ผินเชิดคางขึ้น ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกนาง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะพูดคุยกับคนพวกนี้ด้วยซ้ำ

ชุ่ยอิงก้าวไปข้างหน้า โบกมือให้เหล่านางกำนัลในครัว “เอาละ พวกเจ้าออกไปให้หมด”

เมื่อนายหญิงมีคำสั่ง เหล่านางกำนัลจะกล้าไม่ฟังได้อย่างไร รีบขานรับแล้วออกจากห้องครัวไปทันที

ในห้องครัวเหลือเพียงอวี๋ผินและชุ่ยอิงสองคน ก่อนหน้านี้อวี๋ผินก็เคยมาทำอาหารที่นี่แล้ว จึงพอจะรู้ว่าวัตถุดิบเก็บไว้ที่ไหน

นางสั่งให้ชุ่ยอิงนำแป้งข้าวเหนียวมา ล้างมือของตนเองจนสะอาด แล้วก็เริ่มลงมือทำบัวลอย

ชุ่ยอิงเห็นดังนั้นก็รีบกล่าวว่า “พระสนมเพคะ ท่านสูงศักดิ์เพียงนี้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้บ่าวทำดีกว่านะเพคะ”

“ไม่ได้” อวี๋ผินส่ายหน้าอย่างแน่วแน่

นี่คืออนาคตของนาง จะให้คนอื่นทำนางไม่วางใจ

เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของฮ่องเต้ตอนที่นางนำบัวลอยไปถวายเมื่อวานนี้ มุมปากของอวี๋ผินก็ยกสูงขึ้น ในใจรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาททรงโปรดบัวลอยที่ข้าทำ แน่นอนว่าข้าต้องลงมือทำด้วยตนเอง มีเพียงทำเช่นนี้ จึงจะแสดงถึงความจริงใจของข้าได้”

“พระสนมตรัสได้ถูกต้องที่สุดเพคะ” ชุ่ยอิงยืนยิ้มประจบอยู่ข้าง ๆ “ฝีมือของบ่าวจะไปเทียบกับพระสนมได้อย่างไร เป็นบ่าวที่โง่เขลาเองเพคะ”

อวี๋ผินอารมณ์ดี จึงไม่ถือสาหาความกับชุ่ยอิง เอาแต่จดจ่ออยู่กับการทำบัวลอย

นางเทแป้งข้าวเหนียวลงในชามอย่างไม่ค่อยชำนาญนัก เติมน้ำอุ่นในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วใช้มือนวดช้า ๆ ไม่นานบัวลอยลูกเล็ก ๆ ก็ปั้นเสร็จเรียบร้อย

ชุ่ยอิงคอยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ ไม่ลืมที่จะเอ่ยชม

“ฝีมือของพระสนมช่างประณีตบรรจงนัก แม้แต่การปั้นบัวลอยยังงดงามถึงเพียงนี้”

อวี๋ผินอารมณ์ดี มือก็ขยับเบาขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งเค่อต่อมา บัวลอยถ้วยหนึ่งก็ทำเสร็จออกมาจากหม้อ

นางยกบัวลอยที่ต้มเสร็จแล้ว จากนั้นกลับไปแต่งหน้าทำผมที่ห้องอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามชุ่ยอิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่างซิน

หวังเต๋อกุ้ยเมื่อทราบความประสงค์ของอวี๋ผิน ก็เข้าไปทูลรายงานต่อฮั่วหลิน

ฮั่วหลินเพียงแค่เหลือบพระเนตรขึ้นเล็กน้อย สีพระพักตร์เย็นชาและเฉยเมย

เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการว่าราชการ ยังไม่ได้เสวยอะไรเลย อวี๋ผินมาได้ถูกเวลาพอดี!

“ให้เข้ามา”

อวี๋ผินที่อยู่หน้าประตูได้รับคำอนุญาต ก็จัดปอยผมข้างหูของตนเอง รับบัวลอยมาจากมือของชุ่ยอิง แล้วบิดสะโพกเดินเข้าไปในประตูด้วยท่าทางเย้ายวน

“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ต้มบัวลอย เปลี่ยนไส้ใหม่แล้วเพคะ เมื่อนึกว่าฝ่าบาทเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการว่าราชการ ยังไม่ได้เสวยอะไร จึงรีบนำมาถวายทันที”

ฮั่วหลินพยักพระพักตร์เบา ๆ พยักพเยิดไปทางหวังเต๋อกุ้ย

หลังจากที่หวังเต๋อกุ้ยใช้เข็มเงินทดสอบทีละอย่างแล้ว จึงค่อยยกไปถวายเบื้องพระพักตร์ฮั่วหลิน

“เชิญฝ่าบาทเสวยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮั่วหลินรับถ้วยเล็กมา ครั้งนี้บัวลอยดูใหญ่กว่าครั้งที่แล้วอยู่บ้าง

เขาตักบัวลอยขึ้นมาหนึ่งลูกใส่เข้าพระโอษฐ์

ไส้หวานเกินไป แป้งก็หนาไปหน่อย

เจียงหวนเป็นอะไรไป เหตุใดถึงทำแบบขอไปทีมากขึ้นทุกวัน?

ถึงแม้จะไม่โปรด แต่เพราะหิวมาตลอดทั้งเช้า ฮั่วหลินก็ยังทรงเสวยบัวลอยสองสามลูกในถ้วยลงไปจนหมด

“พอใช้ได้”

ยังคงเป็นคำวิจารณ์สองคำที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่กลับทำให้อวี๋ผินยิ่งมั่นใจมากขึ้น

ฝ่าบาททรงโปรดบัวลอยจริง ๆ แถมยังเป็นบัวลอยที่นางทำเองกับมือ มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นฝ่าบาทตรัสถึงเจียงหวนเลย

“ฝ่าบาททรงโปรดก็ดีแล้วเพคะ”

สายตาของอวี๋ผินฉายแววยินดีเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มกว้างกว่าเดิม

ที่แท้การจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทนั้นช่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ดูท่าว่านางจะต้องพยายามให้มากขึ้น ทำอาหารให้ฝ่าบาทเสวยเยอะ ๆ เสียแล้ว
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 235

    “เรายังมีฎีกาที่ต้องพิจารณาอีกบางส่วน ดึกหน่อยค่อยมาเยี่ยมเจ้า”ฮั่วหลินวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวกับเจียงหวน น้ำเสียงกลับคืนสู่ความสงบในยามปกติ[นางคงจะมีความสุขมากกระมัง?][เราพยายามแสดงออกมากแล้วนะ]เจียงหวนพยายามกลั้นยิ้มและพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เพคะ ฝ่าบาทค่อยๆ เสด็จนะเพคะ”ฮั่วหลินถึงได้ลุกขึ้นแล้วออกจากตำหนักเว่ยยางไปเมื่อประตูตำหนักปิดลง ทั่วทั้งตำหนักอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเจียงหวนและเติ้งหมอม่อที่มีสีหน้าเคร่งเครียด นางคล้ายอยากจะกล่าวสิ่งใดแต่ก็ลังเลเจียงหวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าไล่ไอร้อนอย่างช้าๆเมื่อเติ้งหมอม่อเห็นว่าพระสนมของตนดูอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่านางก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หลังไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจเอ่ยปากพระสนมทรงพระปรีชาและมีเมตตา แต่ถึงอย่างไรก็ยังทรงเยาว์วัย ทั้งยังตกอยู่ในบ่วงแห่งความรัก จึงมีบางคำพูดที่นางในฐานะหมอม่อผู้ดูแลจำเป็นต้องพูด“พระสนมเพคะ” เสียงที่ถูกลดจนเบาอย่างยิ่งของเติ้งหมอม่อเต็มไปด้วยความกังวลอันเข้มข้น“พระเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อพระสนมเมื่อครู่นั้น เป็นความโปรดปรานสูงสุดอย่างหาได้ยากยิ่ง”เจี

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 234

    หลังจากเดินเล่นในสวนกับเจียงหวนไปสักพัก ฮั่วหลินก็อยู่รับประทานอาหารค่ำที่ตำหนักเว่ยยางอย่างเป็นธรรมชาติเหล่าข้าราชบริพารจัดอาหารอันงามประณีตลงบนโต๊ะทรงกลมอย่างคล่องแคล่ว พร้อมตะเกียบ จาน ชามครบถ้วนพร้อมสรรพฮั่วหลินนั่งตัวตรงอยู่ที่หัวโต๊ะ รถเข็นของเจียงหวนถูกเข็นมาอยู่ในตำแหน่งข้างกายเขาส่วนเติ้งหมอม่อก็ยืนค้อมศีรษะอยู่ใกล้ๆ อย่างเคารพ เตรียมปรนนิบัติในทุกเมื่ออาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะหมด ฮั่วหลินมิได้รีบขยับตะเกียบ แต่กวาดสายตาไปทั่วโต๊ะรอบหนึ่งแทน[หึ ให้ทำตัวเป็น ‘น้ำฝนน้ำค้าง’ ที่ตกต้องถ้วนหน้างั้นหรือ? วันนี้เราจะให้นางได้เห็นว่า “น้ำพระเมตตา” ของเราจะไปตกอยู่ที่ใด][เราจะคีบอาหารให้นางเอง แบบนี้คงชัดเจนพอแล้วกระมัง? มาดูกันว่าเติ้งหมอม่อจะมีสิ่งใดมาพูดอีก]เจียงหวนเพิ่งหยิบชามใบเล็กตรงหน้าของตนขึ้นมา ก็ได้ยินคำพูดเต็มไปด้วย “ปณิธานอันแรงกล้า” ของฮั่วหลินพอดีนางฝืนกลั้นยิ้ม หลุบตาทอดมองปลายจมูก ตาจ้องจมูกจมูกจ้องใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจากนั้นก็เห็นฮั่วหลินคีบเนื้อปลานึ่งชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้ววางลงในชามของเจียงหวนอย่างมั่นคง“ปลานี้ทั้งสดทั้งนุ่ม เจ้ากินให้มาก

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 233

    ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังมาเมื่อเจียงหวนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นฮั่วหลินไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ทางเข้าสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใด สีหน้าของเขาดำทะมึนอย่างน่ากลัว[อะไรที่เรียกว่า “มอบพระเมตตาอย่างเท่าเทียม”? เราเคยไป “เมตตา” ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด?][เหตุใดเติ้งหมอม่อจึงปรักปรำเราโดยไร้หลักฐานเช่นนี้?][เราเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดไร้ราคี กลับถูกนางพูดจนเหมือนคนเจ้าชู้ประตูดินไปเสียได้]เสียงความในใจที่เดือดดาลและเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ดังขึ้นข้างหูของเจียงหวนนางมองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮั่วหลิน พร้อมกับฟังคำบ่นในใจของเขา แล้วก็จะเกือบหัวเราะออกมาฮั่วหลินสาวเท้ายาวเข้ามา เขาตวัดตามองเติ้งหมอม่ออย่างเย็นชาแม้เติ้งหมอม่อถูกถลึงตาใส่จนงุนงง แต่ก็ยังรีบถวายคำนับ“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่สนใจนาง และหันไปมองเจียงหวนแทน“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”เจียงหวนฝืนกลั้นรอยยิ้มที่มุมปาก พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ“ทูลฝ่าบาท เติ้งหมอม่อกำลังสอนหม่อมฉันเรื่อง...เอ่อ กฎระเบียบของวังหลังเพคะ”[สอนอะไร? สอนให้นางยอม

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 232

    เจียงหวนมองนางกำนัลน้อยที่คุกเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น ในใจก็ถอนใจออกมาดูแล้วอายุยังไม่มาก ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้แบบอย่างดีๆ กันนะ?“การขโมยทรัพย์สินในวังเป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎสมควรได้รับโทษโบย 20 ครั้ง แล้วขับออกจากวัง”เจียงหวนจงใจพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็ตั้งใจกดให้ต่ำลงหลายส่วนเมื่อนางกำนัลน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบโขกศีรษะทันที หน้าผากกระแทกพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังตุบๆ“พระสนมโปรดเมตตาด้วย บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเพคะ ขอพระสนมโปรดอภัยให้บ่าวสักครั้งเถิด!”เจียงหวนเหลือบมองเติ้งหมอม่อที่ยืนอยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับรอให้ตนตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อว่า “แต่ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงลองบอกมา ว่าเหตุใดจึงต้องขโมยปิ่นปักผมของผู้อื่น?”นางกำนัลน้อยตอบอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ของบ่าวป่วยหนัก ที่บ้านไม่มีเงินซื้อยาจริงๆ บ่าวได้ยินมาว่าปิ่นของพี่อวี้เป็นเงิน จึง... จึง...”เจียงหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาตกลงบนมือที่หยาบกร้านของนางกำนัลน้อย มือคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยด้านและบาดแผลเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าทำงานหนักมาไม่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 231

    นางกำนัลน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม นางส่ายหน้าสุดกำลัง “ไม่ใช่เพคะพระสนม! เช้านี้ตอนบ่าวตื่นมาแล้วจัดเตียงพับผ้าห่ม ก็ยังไม่เห็นปิ่นปักผมอะไรเลย จะต้องมีคนใส่ร้ายบ่าวแน่เพคะ ขอพระสนมโปรดให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วยเถิดเพคะ”นางร้องไห้อย่างหนักจนลมหายใจขาดห้วง ท่าทางโดดเดี่ยวไร้คนช่วยที่น่าเวทนาของนาง ทำให้ผู้ใดพบเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกเห็นใจใบหน้าของเสี่ยวเจาเริ่มแสดงความสงสารออกมาแล้ว “พระสนม นางร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ดูแล้วไม่เหมือนเสแสร้งเลยเพคะ...”ไม่เหมือนหรือ?เจียงหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนใบหน้าของนางกำนัลน้อยครู่หนึ่งอื้ม น้ำตาเป็นของจริง ความหวาดกลัวก็เป็นของจริง แต่ความเคียดแค้นกับความลนลานในส่วนลึกของดวงตาก็เป็นของจริงเหมือนกันชาติก่อน นางเคยเห็น ‘พวกไม่ยอมหยุดงาน’ ทะเลาะหยุมหัวกับ ‘พวกหยุดงานประท้วง’ ที่ทำงานทุกวัน แกแทงฉันทีหนึ่ง ฉันแทงแกหนึ่งที สลับกันไปมาพอเจ้านายมาถึงก็จะร้องไห้โฮ อ้างว่าตัวเองเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก ถูกใส่ร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกใส่ความเหมือนตัวเอกในนิยายนางน่ะฝึกสายตามาจนมองออกหมดแล้ว โอเคไหม?แววตาของคนตรงหน้าล่อกแล่กไม่น

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 230

    เหล่านางกำนัลและขันทียืนค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม พวกเขายืนเรียงเป็นสองแถวรอคอยการคัดเลือกจากเจียงหวน โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเติ้งหมอม่ออธิบายกฎสำคัญภายในวัง หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง และข้อห้ามในการรับใช้ข้างกายเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาไม่ดังอยู่ด้านข้าง นางยังบอกเล่าที่มาของสาวใช้และขันทีพวกนี้ให้เจียงหวนฟังด้วยคำอธิบายของนางกระชับแต่ชัดเจน ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ทั้งคงไว้ซึ่งความน่ายำเกรง และแฝงไปด้วยการมองเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่งของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มา ทำให้แม้แต่เจียงหวน “ที่เปลี่ยนมาประกอบอาชีพนางสนมกลางคัน” ก็ยังฟังจนพยักหน้าติดต่อกันเพราะได้รับประโยชน์อย่างมากที่แท้การจัดการข้ารับใช้ในวังก็มีเคล็ดลับในมากมายเช่นนี้ เติ้งหมอม่อผู้นี้สมคำร่ำลือจริงๆ ทุกถ้อยคำล้วนสำคัญและตรงประเด็นอื้ม ต้องเรียนรู้จากนาง มาดูกันว่าวันหน้าผู้ใดจะกล้ารังแกนางอีก... โอ๊ะ ไม่ใช่ มาดูกันว่าผู้ใดจะกล้ามาวางก้ามก่อเรื่องในตำหนักเว่ยยางอีกต่างหากเมื่อมีคำแนะนำของเติ้งหมอม่อ เจียงหวนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกณฑ์การคัดเลือกคนของนางก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือ มีดวงตาที่กระจ่างใสซื่อตรง มือเท้าคล่อง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status