Share

บทที่ 7

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หลังจากกลับตำหนักแล้ว อวี๋ผินก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตอนกลางวันนางก็ทำอาหารอีกสองสามอย่างส่งไปให้ฮ่องเต้

รสชาติธรรมดา แต่ก็ดีกว่าตรงที่เป็นอาหารร้อน ๆ !

คีบคำนี้ก็เป็นกับข้าวร้อน ๆ คีบคำนั้นก็เป็นกับข้าวร้อน ๆ !

ฮั่วหลินทรงยื่นตะเกียบไปคีบไม่หยุด เสวยอย่างสง่างามและเชื่องช้า

ต้องอย่างนี้สิ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น มีแต่อาหารในคุกเท่านั้นแหละที่เย็นชืด!

อวี๋ผินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทเพคะ หากพระองค์ทรงโปรด คืนนี้หม่อมฉันจะลงมือเตรียมเครื่องเสวยให้พระองค์ด้วยตนเองนะเพคะ”

ฮั่วหลินทรงลดสายพระเนตรลง เป็นเพราะเขาไม่เคยเรียกอวี๋ผินมาเข้าเฝ้าเลย นางถึงได้จงใจเล่นตัวกับเขา ไม่ยอมแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา?

เมื่อนึกถึงบัวลอยที่เจียงหวนทำในวันนั้น ฮั่วหลินก็อยากจะลองชิมดูว่า อวี๋ผินผู้ที่สามารถสอนเจียงหวนได้นั้น จะมีฝีมือดีเลิศเพียงใด

ฮั่วหลินทรงวางตะเกียบลง ใช้ผ้าที่ขันทีส่งมาให้เช็ดพระหัตถ์

“คืนนี้ เจ้ามาที่ตำหนักหย่างซิน”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้น ในใจก็รู้สึกดีใจจนแทบคลั่ง แต่บนใบหน้ายังคงรักษากิริยาสำรวมไว้ ขานรับเสียงเบา “เพคะ ฝ่าบาท”

...

ไม่นาน ม่านราตรีก็มาเยือน

อวี๋ผินสวมชุดชาววังที่งดงามหรูหรา ชายกระโปรงปักลวดลายสลับซับซ้อน แต่เนื้อผ้ากลับบางเบาอย่างยิ่ง จนสามารถมองเห็นผิวด้านในได้ราง ๆ

นางยืนอยู่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์ แต่งหน้าอย่างพิถีพิถัน เพื่อที่จะได้แสดงด้านที่งดงามที่สุดของตนเองให้ฮั่วหลินได้ทอดพระเนตร

“พระสนม ท่านช่างงดงามเหลือเกินเพคะ ฝ่าบาทจะต้องทรงโปรดอย่างแน่นอน” ชุ่ยอิงยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยชมไม่หยุดปาก

อวี๋ผินยิ้มเล็กน้อย สายตาฉายแววภาคภูมิใจ

“ชุ่ยอิง ไปยกซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานจานนั้นมา” อวี๋ผินออกคำสั่ง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเด็ดขาดที่ไม่อาจปฏิเสธ

ชุ่ยอิงรับคำทันที ยกซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานสีแดงฉ่ำวาวจานหนึ่งเข้ามา

อาหารจานนี้เป็นสิ่งที่อวี๋ผินตั้งใจเตรียมให้ฮั่วหลินเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่เลือกใช้ซี่โครงชั้นดี ยังเติมเครื่องปรุงรสสูตรพิเศษลงไปด้วย หวังว่าจะทำให้ฮั่วหลินพอพระทัย

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ขันทีจากกรมวังฝ่ายในก็มาถึง ประกาศเรียกอวี๋ผินให้ไปถวายตัว

อวี๋ผินรับเสื้อคลุมจากมือของชุ่ยอิง มาคลุมผิวที่มองเห็นอยู่รำไรไว้ใต้เสื้อคลุม จากนั้นจึงถือกล่องอาหารตามขันที มุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่างซิน

ระหว่างทาง อารมณ์ของอวี๋ผินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ ราวกับได้มองเห็นความสำเร็จในคืนนี้แล้ว

ภายในตำหนักหย่างซินอบอวลไปด้วยกลิ่นอำพันทะเล ขณะที่อวี๋ผินถือกล่องอาหารก้าวข้ามธรณีประตู นางก็จงใจถอดเสื้อคลุมออก แล้วยังดึงเสื้อตัวนอกที่เป็นผ้าโปร่งลงอีกครึ่งนิ้ว

วันนี้นางตั้งใจอบร่ำด้วยเครื่องหอมเหอฮวนที่ดินแดนฝั่งตะวันตกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ กลิ่นหอมหวานเลี่ยนผสมกับกลิ่นซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน อบอวลจนหวังเต๋อกุ้ยยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ฝ่าบาท~” อวี๋ผินลากเสียงยาว เดินโยกย้ายส่ายสะโพกมาอยู่เบื้องหน้าฮั่วหลิน

“หม่อมฉันลงมือทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานด้วยตนเอง ฝ่าบาทลองชิมดูสิเพคะ?”

ขณะที่เลื่อนจานกระเบื้องไปเบื้องหน้า ร่างอันอรชรของอวี๋ผินก็ไม่ทันระวัง

น้ำซอสกระเด็นลงบนฎีกา ทำให้ตัวอักษรสองสามตัวบนนั้นย้อมเป็นสีน้ำตาลเข้ม

ฮั่วหลินขมวดพระขนงอย่างแทบจะไม่ให้ใครสังเกตได้ ภายใต้แสงเทียนริบหรี่ ดวงพระเนตรที่ดำสนิทราวกับน้ำหมึกคู่นั้นมองไม่ออกว่าทรงรู้สึกเช่นไร

เมื่อจ้องมองซี่โครงที่มันวาวจานนั้น ขมับของเขาก็เต้นตุบ ๆ

เขาวางฎีกาลง เอนกายไปด้านหลัง พิงกับเก้าอี้ไม้แดง

อวี๋ผินนี่ไปตกท่อระบายน้ำแล้วใช้เครื่องหอมอาบน้ำสิบรอบหรืออย่างไร?

เหม็นจนปวดหัวไปหมดแล้ว!

แต่ว่า...

สายพระเนตรของฮั่วหลินเหลือบไปเล็กน้อย จับจ้องอยู่ที่ชามซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานอย่างเย็นชา

ฝีมือที่ดีกว่าเจียงหวน มันเป็นอย่างไรกันแน่?

เห็นแก่อาหาร ฮั่วหลินก็อดทนแล้วอดทนอีก หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบซี่โครงชิ้นหนึ่ง แล้วกัดเข้าไป

เนื้อหมูที่เคลือบด้วยน้ำเชื่อมและมีกลิ่นคาวระเบิดออกในพระโอษฐ์ ลูกกระเดือกของฮั่วหลินขยับขึ้นลงอย่างยากลำบากสองครั้ง

ต่อมรับรสถูกโจมตีอย่างรุนแรง จนดวงพระเนตรพลอยเบิกค้างไปด้วย

นี่มันของที่คนทำขึ้นมาได้จริง ๆ หรือ?

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอของที่รสชาติแย่กว่าข้าวเย็นชืดของห้องเครื่องเสียอีก สตรีผู้นี้เป็นนักฆ่าหรือไร?

สวรรค์! เราทำผิดอะไรไป? เหตุใดจึงต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้!

ทว่าอวี๋ผินกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วของนางไต่ขึ้นมาถึงเข็มขัดหยกของฮั่วหลินแล้ว

“ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าจากราชกิจ มิสู้ให้หม่อมฉันนวดพระอังสาให้ดีหรือไม่...” นางจงใจโน้มตัวลงมา เสื้อบริเวณไหล่เลื่อนหลุด เผยให้เห็นเสื้อชั้นในสีชมพูครึ่งหนึ่งจากคอเสื้อที่หลวมโพรก

แปะ...

ตะเกียบงาช้างถูกฟาดลงบนโต๊ะ ไม่หนักไม่เบา แต่เสียงกลับดังชัดเจนอย่างยิ่ง

ฮั่วหลินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แสงจันทร์และแสงเทียนสาดส่องผสมผสานกัน ขับเน้นให้พระวรกายที่สูงใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งดูสง่างามและน่าเกรงขามมากขึ้น

อวี๋ผินไม่ทันตั้งตัว สบเข้ากับดวงพระเนตรที่เย็นเยียบของเขา ก็ตกใจจนตัวสั่น

อาการตัวสั่นนั้นกลับทำให้จานซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานบนโต๊ะคว่ำลง น้ำซอสกระเด็นไปทั่ว ทิ้งรอยด่างดวงไว้บนอาภรณ์ของนาง

“หวังเต๋อกุ้ย”

ฮั่วหลินไม่แม้แต่จะทอดพระเนตรนาง ทรงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังให้ น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอำมหิต

“เอาของสกปรกนี่ทั้งคนทั้งจานโยนออกไป”

อวี๋ผินตกใจจนหน้าซีดเผือด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงเปลี่ยนสีพระพักตร์กะทันหันเช่นนี้

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย หม่อมฉันไม่ทราบว่าทำสิ่งใดให้ฝ่าบาททรงกริ้ว...”

นางคลานเข้าไปใกล้ฮั่วหลิน ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าฉลองพระองค์ของฮั่วหลิน เพื่อรั้งเขาไว้

ฮั่วหลินทรงสะบัดชายฉลองพระองค์ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเฉยเมย ขมับเริ่มมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่ออกไป อยากจะตายอยู่ที่นี่หรือ?”

น้ำเสียงนี้เด็ดขาดนัก อวี๋ผินคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อได้ยินคำขาดสุดท้าย ก็ได้แต่นิ่งงันอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นระริก

ฮั่วหลินไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย “หวังเต๋อกุ้ย หูหนวกหรือ?”

หวังเต๋อกุ้ยตัวสั่นงันงก ขานรับไม่หยุด แล้วรีบเรียกคนเข้ามา

อวี๋ผินตกใจจนเดินไม่เป็น สุดท้ายจึงถูกหมอม่อรับใช้ร่างใหญ่สองคนหิ้วปีกแล้วลากออกจากตำหนักหย่างซินไป

มวยผมของนางหลุดลุ่ย ชุดกระโปรงผ้าไหมเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำซอส รองเท้าปักข้างหนึ่งก็ไม่รู้ว่าหลุดหายไปตอนไหน

มีขันทีเฝ้ายามตอนกลางคืนถือโคมไฟเดินผ่านมา แสงไฟที่ไม่สว่างนักกลับส่องให้เห็นสภาพอันน่าสมเพชของนางได้อย่างชัดเจน

เรื่องราวนี้อึกทึกครึกโครมเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกิดขึ้นในวังที่ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีคนจับตามองอยู่แล้ว

วันรุ่งขึ้น ข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับการถวายตัวของอวี๋ผินก็แพร่สะพัดไปทั่ว

“ได้ยินหรือยัง? ซี่โครงของอวี๋ผินทำเอาฝ่าบาททรงคลื่นไส้จนอาเจียนเลยนะ!”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ว่ากันว่านางถอดเสื้อผ้าเพื่อยั่วยวน จึงถูกฝ่าบาทขับไล่ออกไปอย่างรุนแรง!”

“ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดปรานวังหลังมานานแล้ว แต่นางกลับคิดว่าตนเองเป็นข้อยกเว้น น่าสงสารจริง ๆ ”

...

ตำหนักรองฝั่งตะวันตก เจียงหวนกำลังย่างมันเทศด้วยไฟถ่าน เสี่ยวเจาที่อยู่ข้าง ๆ เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ สีหน้าดีใจจนเก็บไม่อยู่

“ฮ่า ๆ ๆ นายหญิงน้อย บ่าวยังได้ยินมาอีกว่าตอนที่อวี๋ผินถูกลากกลับตำหนัก เสื้อตัวนอกที่เป็นผ้าโปร่งของนางยังถูกเกี่ยวจนขาดไปหลายแห่ง สภาพน่าสมเพชเหลือเกินเพคะ”

เจียงหวนได้แต่จุดเทียนไว้อาลัยให้อวี๋ผินในใจ

บอกหน่อยเถิด จะหาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันไปหาเรื่องฮ่องเต้ที่อารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้น นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?

เจียงหวนไม่เข้าใจ นางเอาแต่ย่างมันเทศต่อไป

“เรื่องพวกนี้เจ้าพูดให้ข้าฟังก็พอแล้ว แต่อย่าให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด”

เดี๋ยวจะถูกนำไปสร้างเรื่องอีก นางยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีนะ...

เสี่ยวเจายิ้มร่าพลางขานรับ “นายหญิงน้อยวางใจเถิด บ่าวรู้ว่าควรทำอย่างไร”

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฮั่วหลินไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนสองนายบ่าวคู่นั้นเลย

เขาหิวจนปวดท้องบิด แต่บนโต๊ะกลับมีเพียงพระกระยาหารเจที่เย็นชืดกองอยู่

ใบผักสีเหลืองเหี่ยวแช่อยู่ในน้ำแกงขุ่น ๆ เต้าหู้ก็มีสีขาวอมเทาอย่างน่าประหลาด ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีเพียงน้อยนิด

เขาเป็นฮ่องเต้! เหตุใดจึงต้องเสวยแต่ของพวกนี้!

เงินที่คนในห้องเครื่องได้รับทุกวัน เอาไปให้หมากินหมดแล้วหรือไร?

หรือว่ามีคนยักยอกเงินในท้องพระคลัง ยักยอกจนแม้แต่จะทำอาหารร้อน ๆ ให้เขาสักมื้อก็ยังทำไม่ได้!

ฮั่วหลินนวดขมับ

อดทนคีบผักขึ้นเสวย รสชาติจืดชืดจนแทบจะถือตะเกียบเงินในพระหัตถ์ไว้ไม่ไหว

ในหัวของเขาค่อย ๆ ปรากฏภาพบัวลอยที่เจียงหวนถือในคืนนั้น

ผ่านไปหลายวันแล้ว ร่างกายของเจียงหวนน่าจะหายดีแล้วกระมัง?

เขาสามารถเรียกเจียงหวนมาอีกครั้งได้แล้วใช่หรือไม่
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 235

    “เรายังมีฎีกาที่ต้องพิจารณาอีกบางส่วน ดึกหน่อยค่อยมาเยี่ยมเจ้า”ฮั่วหลินวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวกับเจียงหวน น้ำเสียงกลับคืนสู่ความสงบในยามปกติ[นางคงจะมีความสุขมากกระมัง?][เราพยายามแสดงออกมากแล้วนะ]เจียงหวนพยายามกลั้นยิ้มและพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เพคะ ฝ่าบาทค่อยๆ เสด็จนะเพคะ”ฮั่วหลินถึงได้ลุกขึ้นแล้วออกจากตำหนักเว่ยยางไปเมื่อประตูตำหนักปิดลง ทั่วทั้งตำหนักอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเจียงหวนและเติ้งหมอม่อที่มีสีหน้าเคร่งเครียด นางคล้ายอยากจะกล่าวสิ่งใดแต่ก็ลังเลเจียงหวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าไล่ไอร้อนอย่างช้าๆเมื่อเติ้งหมอม่อเห็นว่าพระสนมของตนดูอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่านางก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หลังไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจเอ่ยปากพระสนมทรงพระปรีชาและมีเมตตา แต่ถึงอย่างไรก็ยังทรงเยาว์วัย ทั้งยังตกอยู่ในบ่วงแห่งความรัก จึงมีบางคำพูดที่นางในฐานะหมอม่อผู้ดูแลจำเป็นต้องพูด“พระสนมเพคะ” เสียงที่ถูกลดจนเบาอย่างยิ่งของเติ้งหมอม่อเต็มไปด้วยความกังวลอันเข้มข้น“พระเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อพระสนมเมื่อครู่นั้น เป็นความโปรดปรานสูงสุดอย่างหาได้ยากยิ่ง”เจี

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 234

    หลังจากเดินเล่นในสวนกับเจียงหวนไปสักพัก ฮั่วหลินก็อยู่รับประทานอาหารค่ำที่ตำหนักเว่ยยางอย่างเป็นธรรมชาติเหล่าข้าราชบริพารจัดอาหารอันงามประณีตลงบนโต๊ะทรงกลมอย่างคล่องแคล่ว พร้อมตะเกียบ จาน ชามครบถ้วนพร้อมสรรพฮั่วหลินนั่งตัวตรงอยู่ที่หัวโต๊ะ รถเข็นของเจียงหวนถูกเข็นมาอยู่ในตำแหน่งข้างกายเขาส่วนเติ้งหมอม่อก็ยืนค้อมศีรษะอยู่ใกล้ๆ อย่างเคารพ เตรียมปรนนิบัติในทุกเมื่ออาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะหมด ฮั่วหลินมิได้รีบขยับตะเกียบ แต่กวาดสายตาไปทั่วโต๊ะรอบหนึ่งแทน[หึ ให้ทำตัวเป็น ‘น้ำฝนน้ำค้าง’ ที่ตกต้องถ้วนหน้างั้นหรือ? วันนี้เราจะให้นางได้เห็นว่า “น้ำพระเมตตา” ของเราจะไปตกอยู่ที่ใด][เราจะคีบอาหารให้นางเอง แบบนี้คงชัดเจนพอแล้วกระมัง? มาดูกันว่าเติ้งหมอม่อจะมีสิ่งใดมาพูดอีก]เจียงหวนเพิ่งหยิบชามใบเล็กตรงหน้าของตนขึ้นมา ก็ได้ยินคำพูดเต็มไปด้วย “ปณิธานอันแรงกล้า” ของฮั่วหลินพอดีนางฝืนกลั้นยิ้ม หลุบตาทอดมองปลายจมูก ตาจ้องจมูกจมูกจ้องใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจากนั้นก็เห็นฮั่วหลินคีบเนื้อปลานึ่งชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้ววางลงในชามของเจียงหวนอย่างมั่นคง“ปลานี้ทั้งสดทั้งนุ่ม เจ้ากินให้มาก

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 233

    ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังมาเมื่อเจียงหวนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นฮั่วหลินไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ทางเข้าสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใด สีหน้าของเขาดำทะมึนอย่างน่ากลัว[อะไรที่เรียกว่า “มอบพระเมตตาอย่างเท่าเทียม”? เราเคยไป “เมตตา” ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด?][เหตุใดเติ้งหมอม่อจึงปรักปรำเราโดยไร้หลักฐานเช่นนี้?][เราเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดไร้ราคี กลับถูกนางพูดจนเหมือนคนเจ้าชู้ประตูดินไปเสียได้]เสียงความในใจที่เดือดดาลและเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ดังขึ้นข้างหูของเจียงหวนนางมองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮั่วหลิน พร้อมกับฟังคำบ่นในใจของเขา แล้วก็จะเกือบหัวเราะออกมาฮั่วหลินสาวเท้ายาวเข้ามา เขาตวัดตามองเติ้งหมอม่ออย่างเย็นชาแม้เติ้งหมอม่อถูกถลึงตาใส่จนงุนงง แต่ก็ยังรีบถวายคำนับ“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่สนใจนาง และหันไปมองเจียงหวนแทน“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”เจียงหวนฝืนกลั้นรอยยิ้มที่มุมปาก พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ“ทูลฝ่าบาท เติ้งหมอม่อกำลังสอนหม่อมฉันเรื่อง...เอ่อ กฎระเบียบของวังหลังเพคะ”[สอนอะไร? สอนให้นางยอม

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 232

    เจียงหวนมองนางกำนัลน้อยที่คุกเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น ในใจก็ถอนใจออกมาดูแล้วอายุยังไม่มาก ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้แบบอย่างดีๆ กันนะ?“การขโมยทรัพย์สินในวังเป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎสมควรได้รับโทษโบย 20 ครั้ง แล้วขับออกจากวัง”เจียงหวนจงใจพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็ตั้งใจกดให้ต่ำลงหลายส่วนเมื่อนางกำนัลน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบโขกศีรษะทันที หน้าผากกระแทกพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังตุบๆ“พระสนมโปรดเมตตาด้วย บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเพคะ ขอพระสนมโปรดอภัยให้บ่าวสักครั้งเถิด!”เจียงหวนเหลือบมองเติ้งหมอม่อที่ยืนอยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับรอให้ตนตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อว่า “แต่ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงลองบอกมา ว่าเหตุใดจึงต้องขโมยปิ่นปักผมของผู้อื่น?”นางกำนัลน้อยตอบอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ของบ่าวป่วยหนัก ที่บ้านไม่มีเงินซื้อยาจริงๆ บ่าวได้ยินมาว่าปิ่นของพี่อวี้เป็นเงิน จึง... จึง...”เจียงหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาตกลงบนมือที่หยาบกร้านของนางกำนัลน้อย มือคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยด้านและบาดแผลเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าทำงานหนักมาไม่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 231

    นางกำนัลน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม นางส่ายหน้าสุดกำลัง “ไม่ใช่เพคะพระสนม! เช้านี้ตอนบ่าวตื่นมาแล้วจัดเตียงพับผ้าห่ม ก็ยังไม่เห็นปิ่นปักผมอะไรเลย จะต้องมีคนใส่ร้ายบ่าวแน่เพคะ ขอพระสนมโปรดให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วยเถิดเพคะ”นางร้องไห้อย่างหนักจนลมหายใจขาดห้วง ท่าทางโดดเดี่ยวไร้คนช่วยที่น่าเวทนาของนาง ทำให้ผู้ใดพบเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกเห็นใจใบหน้าของเสี่ยวเจาเริ่มแสดงความสงสารออกมาแล้ว “พระสนม นางร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ดูแล้วไม่เหมือนเสแสร้งเลยเพคะ...”ไม่เหมือนหรือ?เจียงหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนใบหน้าของนางกำนัลน้อยครู่หนึ่งอื้ม น้ำตาเป็นของจริง ความหวาดกลัวก็เป็นของจริง แต่ความเคียดแค้นกับความลนลานในส่วนลึกของดวงตาก็เป็นของจริงเหมือนกันชาติก่อน นางเคยเห็น ‘พวกไม่ยอมหยุดงาน’ ทะเลาะหยุมหัวกับ ‘พวกหยุดงานประท้วง’ ที่ทำงานทุกวัน แกแทงฉันทีหนึ่ง ฉันแทงแกหนึ่งที สลับกันไปมาพอเจ้านายมาถึงก็จะร้องไห้โฮ อ้างว่าตัวเองเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก ถูกใส่ร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกใส่ความเหมือนตัวเอกในนิยายนางน่ะฝึกสายตามาจนมองออกหมดแล้ว โอเคไหม?แววตาของคนตรงหน้าล่อกแล่กไม่น

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 230

    เหล่านางกำนัลและขันทียืนค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม พวกเขายืนเรียงเป็นสองแถวรอคอยการคัดเลือกจากเจียงหวน โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเติ้งหมอม่ออธิบายกฎสำคัญภายในวัง หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง และข้อห้ามในการรับใช้ข้างกายเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาไม่ดังอยู่ด้านข้าง นางยังบอกเล่าที่มาของสาวใช้และขันทีพวกนี้ให้เจียงหวนฟังด้วยคำอธิบายของนางกระชับแต่ชัดเจน ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ทั้งคงไว้ซึ่งความน่ายำเกรง และแฝงไปด้วยการมองเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่งของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มา ทำให้แม้แต่เจียงหวน “ที่เปลี่ยนมาประกอบอาชีพนางสนมกลางคัน” ก็ยังฟังจนพยักหน้าติดต่อกันเพราะได้รับประโยชน์อย่างมากที่แท้การจัดการข้ารับใช้ในวังก็มีเคล็ดลับในมากมายเช่นนี้ เติ้งหมอม่อผู้นี้สมคำร่ำลือจริงๆ ทุกถ้อยคำล้วนสำคัญและตรงประเด็นอื้ม ต้องเรียนรู้จากนาง มาดูกันว่าวันหน้าผู้ใดจะกล้ารังแกนางอีก... โอ๊ะ ไม่ใช่ มาดูกันว่าผู้ใดจะกล้ามาวางก้ามก่อเรื่องในตำหนักเว่ยยางอีกต่างหากเมื่อมีคำแนะนำของเติ้งหมอม่อ เจียงหวนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกณฑ์การคัดเลือกคนของนางก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือ มีดวงตาที่กระจ่างใสซื่อตรง มือเท้าคล่อง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status