Share

บทที่ 8

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
เนื่องจากเรื่องที่ตำหนักหย่างซิน อวี๋ผินจึงอารมณ์ขุ่นมัวอย่างยิ่ง เมื่อกลับถึงตำหนักจิ่นหวาก็อาละวาดอย่างหนัก

ชุ่ยอิงกลัวว่าอวี๋ผินจะโมโหจนล้มป่วยไป จึงทั้งปลอบทั้งเกลี้ยกล่อม จนในที่สุดอวี๋ผินก็ยอมไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

น่าเสียดายที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ดันมาพบกับลี่เฟยเข้า

ไม่เพียงแต่จะไม่ได้พักผ่อนหย่อนใจ แถมยังไปเจอเรื่องซวยเข้ามาอีก

ชุ่ยอิงนึกเสียใจที่พามาในตอนแรก ขณะที่กำลังร้อนใจอยู่นั้น ลี่เฟยก็ประคองมือนางกำนัลเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แล้ว

ปิ่นระย้าทองคำประดับหยกที่ข้างขมับสั่นไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของนาง ขับเน้นให้ใบหน้าที่ธรรมดาสามัญนั้นดูร้ายกาจยิ่งขึ้น

ลี่เฟยเหลือบมองอวี๋ผินที่กำลังถูกชุ่ยอิงประคองอยู่ จงใจพูดเสียงดัง “อ้าว นี่ไม่ใช่น้องหญิงอวี๋ผินจากตำหนักจิ่นหวาหรอกหรือ?”

“ได้ยินว่าเมื่อวานนี้อยู่ที่หน้าตำหนักหย่างซินถึงกับยืนไม่ตรง วันนี้กลับมีแรงออกมาเดินเล่นแล้วหรือนี่?”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ

ในวังจะมีความลับอะไรได้ นางแพศยานี่ต้องได้ยินข่าวลือมาแน่ ๆ ตั้งใจจะมาทำให้นางอับอาย

ลี่เฟยเป็นคนของไทเฮา แม้จะไร้ซึ่งความโปรดปรานและรูปโฉมที่งดงาม แต่ก็อาศัยไทเฮาหนุนหลังจึงทำตัวกร่างในวังหลังมานานหลายปี

แต่แล้วอย่างไรเล่า ลี่เฟยมีไทเฮาหนุนหลัง ส่วนนางก็มีเจียกุ้ยเฟยหนุนหลังเช่นกัน

อวี๋ผินไม่ยอมแพ้ สะบัดมือของชุ่ยอิงออกทันที ยืดหลังตรงแล้วแค่นหัวเราะเยาะ ในคำพูดแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอย่างบอกไม่ถูก

“พี่หญิงลี่เฟยนี่ข่าวสารว่องไวเสียจริงนะเพคะ วัน ๆ เอาแต่หมอบอยู่ที่หน้าประตูวังคอยฟังข่าวลือ ระวังจะโดนลมพัดจนหน้าเบี้ยวไปเสียล่ะ!”

“หากว่างมากถึงเพียงนี้ สู้ไปคัดลอกพระสูตรหลาย ๆ ม้วนถวายไทเฮาไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่ต้องมาคอยจ้องจับผิดคนอื่นอยู่ทั้งวัน คนที่ไม่รู้คงนึกว่าพี่หญิงอิจฉาที่ข้าได้รับความโปรดปราน!”

ลี่เฟยกับเจียกุ้ยเฟยต่อสู้กันมาสิบปี สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นเอ่ยถึงคำว่า “ความโปรดปราน”

เมื่อตอนนั้นเจียกุ้ยเฟยเคยพูดประโยคหนึ่งว่า “รูปโฉมของพี่หญิงลี่เฟยนี้ ช่วยให้ฝ่าบาททรงประหยัดเครื่องประทินโฉมไปได้เยอะเลยนะเพคะ” ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของทั้งหกตำหนัก

บัดนี้นังอวี๋ผินต่ำต้อยผู้นี้ก็ยังกล้ามาเหยียบย่ำจุดอ่อนของนางอีก!

ลี่เฟยหุบพัดกลมในมือลง สายตาก็พลันปรากฏความมืดมนขึ้นมาทันที

“ปากของน้องหญิงนี่ ช่างจัดจ้านยิ่งกว่าซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานเสียอีก”

นางได้ยินมาว่าอวี๋ผินมุดหัวอยู่ในครัวง่วนอยู่กับการทำอาหาร สุดท้ายก็ยกอาหารจานนี้ออกมาจนทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ

“เกรงว่าจะไม่ใช่อาหารที่ทำให้ฝ่าบาททรงสำลัก แต่เป็นตัวเจ้าที่ทำให้ฝ่าบาททรงสำลักมากกว่ากระมัง?”

อวี๋ผินตัวแข็งทื่อ ในหูมีเสียงดังหึ่ง ๆ

เพื่อเอาใจฮ่องเต้ นางแอบเทน้ำผึ้งดอกไหวลงไปในซี่โครงครึ่งกา ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จะไม่โปรดกลิ่นนี้...

เรื่องนี้นางคิดจะเก็บให้เน่าตายไปในท้อง ไม่นึกว่าวันนี้จะมาเจอลี่เฟย

แผนการของนางถูกสาวไส้ออกมาจนหมดเปลือก!

“พี่หญิงโปรดระวังคำพูดด้วยเพคะ!” อวี๋ผินจิกเล็บเข้าที่ฝ่ามืออย่างแรง บนใบหน้ากลับยิ้มเย้ายวนมากขึ้น มีเพียงน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย็นชา

“ต่อให้น้องจะย่ำแย่เพียงใด ก็ยังดีกว่าพี่หญิงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่บ่อยครั้ง ส่วนป้ายชื่อสีเขียวที่กรมวังฝ่ายในส่งไปให้คงจะฝุ่นจับเขรอะหมดแล้ว ที่น้องยังพอมีไม้ขนไก่ดี ๆ อยู่บ้าง ให้พี่หญิงยืมไปปัดฝุ่นดีหรือไม่เพคะ?”

สีหน้าของลี่เฟยก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่เช่นกัน นางจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่ ถึงคราวที่อวี๋ผินจะมานินทาแล้วหรือ!

นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ บอกตัวเองให้ใจเย็น

“มิต้องหรอก แม้ว่าข้าจะไม่ได้รับความโปรดปราน ก็ยังดีกว่านกกระจอกบางตัวที่คิดว่าตัวเองได้เกาะกิ่งไม้แล้วจะกลายเป็นหงส์มีฐานะสูงส่ง”

ในที่สุดอวี๋ผินก็ไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้อีกต่อไป

ว่าใครเป็นนกกระจอก ไม่ดูหน้าตัวเองบ้างเลย!

น้ำเสียงของนางแหลมขึ้นทันที “ข้าทำไปด้วยความจริงใจ พี่หญิงเอาแต่บิดเบือนเจตนาของคนอื่นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงไม่เป็นที่ชื่นชอบ!”

เมื่อลี่เฟยเห็นนางไม่เกรงใจ ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน โต้กลับทันที

“จริงใจหรือ? หากจริงใจจริง ๆ เมื่อคืนคงไม่เกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมเช่นนั้น น้องหญิงอวี๋ผิน นี่เจ้ากำลังสร้างความเดือดร้อนให้ฝ่าบาท หรือกำลังหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองกันแน่?”

อวี๋ผินถูกคำพูดของลี่เฟยทำเอาโกรธจนแทบจะพูดไม่ออก

แต่เรื่องเมื่อคืนก็นับว่านางขายหน้าจริง ๆ ยากที่จะโต้เถียงอะไรออกไปได้

นางไม่อยากจะทนอัปยศอยู่ที่นี่อีก จึงกัดฟันแล้วหันหลังจะจากไป แต่กลับถูกเสียงของลี่เฟยเรียกไว้

“น้องหญิงอวี๋ผิน อย่าเพิ่งรีบไปสิ ข้ายังอยากจะถามหน่อยว่า เมื่อคืนตอนที่เจ้าถูกฝ่าบาทไล่ออกมา รองเท้าหลุดหายไปข้างหนึ่งเลยหรือ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“หากพี่หญิงสงสัยใคร่รู้ถึงเพียงนั้น ก็ไปเก็บเอาเองที่หน้าตำหนักหย่างซินสิเพคะ”

อวี๋ผินแค่นเสียงเย็น

“เจ้า!” ลี่เฟยโกรธจนปลายนิ้วสั่นเทา “ช่างปากดีเสียจริง! ข้าจะคอยดูว่า เมื่อถึงเวลาที่เจียกุ้ยเฟยปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าจะยังอวดดีไปได้อีกนานแค่ไหน!”

“เช่นนั้นก็ไม่รบกวนพี่หญิงเป็นห่วงแล้ว”

อวี๋ผินจัดปอยผมข้างหู เดินผ่านร่างของลี่เฟยไป ชายกระโปรงพัดพาลมเย็นเยียบวูบหนึ่ง

ทั้งสองแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ อวี๋ผินพาชุ่ยอิงกลับมาที่ตำหนักจิ่นหวาอีกครั้ง

ความอัดอั้นตันใจสุมอยู่ในอก นางทุบทำลายเครื่องกระเบื้องไปครึ่งห้อง โกรธจนกินอะไรไม่ลงแล้ว

ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักรองฝั่งตะวันตก

เจียงหวนนั่งยอง ๆ อยู่หน้าเตาไฟ ปลายนิ้วหยิบแป้งกองสุดท้ายที่เหลืออยู่ก้นถุงออกมาดู รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก

ไม่ได้รับความโปรดปรานก็ทนได้ ถูกทุบตีด่าทอก็ทนได้

แต่ไม่มีข้าวกินนี่ทนไม่ได้แล้ว!

“นายหญิงน้อย ถังข้าวสารก็ว่างเปล่าแล้วเพคะ...” เสี่ยวเจาอุ้มถังเปล่าเข้ามาใกล้ ๆ อย่างอิดเอื้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์

“เสี่ยวเจา สวรรค์ จะฆ่าข้าให้ตายแล้ว”

เจียงหวนแหงนหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ พับแขนเสื้อขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม เปิดโอ่งดินเผาที่มุมห้อง หยิบเนื้อหมักครึ่งชิ้นที่ห่อด้วยใบบัวออกมา พร้อมกับเด็ดต้นหอมสองสามต้นที่ปลูกไว้ในกระถางเล็ก ๆ มาด้วย

ก็คงต้องแก้ขัดไปแบบนี้ก่อน ถ้ากินไม่อิ่มก็ไม่มีแรงคิดหาวิธีแก้ไขหรอกนะ

เมื่อมองดูวัตถุดิบไม่กี่อย่างที่รวบรวมมาได้อย่างยากลำบากตรงหน้า ใบหน้าของเจียงหวนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ก่อนจะคว้ากระทะขึ้นมาแล้วเริ่มทำอาหาร

ตอนที่แป้งทอดไส้เนื้อร้อน ๆ ออกจากกระทะ เสี่ยวเจาก็ถูกกลิ่นหอมยั่วจนกลืนน้ำลาย

“หอมเหลือเกิน! หอมกว่าอาหารที่บ่าวเคยได้กลิ่นที่ห้องเครื่องเสียอีก!”

เจียงหวนกระตุกมุมปาก นึกถึงอาหารที่ห้องเครื่องยกไปถวายบนโต๊ะของฮั่วหลิน

เทียบกับของพวกนั้นแล้ว จะไม่หอมได้อย่างไร?

น่าเสียดายที่วัตถุดิบหมดเกลี้ยงแล้ว ทำให้ฝีมือของนางถูกจำกัด

“กินข้าว!” เจียงหวนถอนหายใจ วางจานแป้งทอดลงบนโต๊ะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางคงจะต้องจัดจานให้สวยงาม แต่ตอนนี้?

เจียงหวนเหลือบมองขอบหน้าต่างที่ผุพัง ในใจหัวเราะเหอะ ๆ ช่างมันเถอะ

ไม่มีอารมณ์

สองนายบ่าวล้างมือเสร็จก็นั่งลงกินข้าวที่โต๊ะเตี้ย

แป้งที่กรอบนอกนุ่มในแตกกระจายในปาก น้ำจากเนื้อที่เค็มหอมและชุ่มฉ่ำก็ทะลักออกมาเต็มโพรงปากทันที

เสี่ยวเจาถูกความร้อนลวกจนต้องสูดปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมคายแป้งทอดในปากออกมา

เพียงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้วัตถุดิบหมดแล้ว สีหน้าของเสี่ยวเจาก็พลันเศร้าหมองทันที

“เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ หากสามารถซื้อวัตถุดิบเองได้โดยไม่ต้องผ่านอวี๋ผินก็คงจะดี”

“ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้ชิมฝีมือของนายหญิงน้อยอีกเมื่อไร”

คำพูดของเสี่ยวเจานี้กลับช่วยเตือนสติเจียงหวน

ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ในใจนางมีแผนการแล้ว

“ใครบอกว่าซื้อไม่ได้กันล่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 235

    “เรายังมีฎีกาที่ต้องพิจารณาอีกบางส่วน ดึกหน่อยค่อยมาเยี่ยมเจ้า”ฮั่วหลินวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวกับเจียงหวน น้ำเสียงกลับคืนสู่ความสงบในยามปกติ[นางคงจะมีความสุขมากกระมัง?][เราพยายามแสดงออกมากแล้วนะ]เจียงหวนพยายามกลั้นยิ้มและพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เพคะ ฝ่าบาทค่อยๆ เสด็จนะเพคะ”ฮั่วหลินถึงได้ลุกขึ้นแล้วออกจากตำหนักเว่ยยางไปเมื่อประตูตำหนักปิดลง ทั่วทั้งตำหนักอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเจียงหวนและเติ้งหมอม่อที่มีสีหน้าเคร่งเครียด นางคล้ายอยากจะกล่าวสิ่งใดแต่ก็ลังเลเจียงหวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าไล่ไอร้อนอย่างช้าๆเมื่อเติ้งหมอม่อเห็นว่าพระสนมของตนดูอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่านางก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หลังไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจเอ่ยปากพระสนมทรงพระปรีชาและมีเมตตา แต่ถึงอย่างไรก็ยังทรงเยาว์วัย ทั้งยังตกอยู่ในบ่วงแห่งความรัก จึงมีบางคำพูดที่นางในฐานะหมอม่อผู้ดูแลจำเป็นต้องพูด“พระสนมเพคะ” เสียงที่ถูกลดจนเบาอย่างยิ่งของเติ้งหมอม่อเต็มไปด้วยความกังวลอันเข้มข้น“พระเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อพระสนมเมื่อครู่นั้น เป็นความโปรดปรานสูงสุดอย่างหาได้ยากยิ่ง”เจี

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 234

    หลังจากเดินเล่นในสวนกับเจียงหวนไปสักพัก ฮั่วหลินก็อยู่รับประทานอาหารค่ำที่ตำหนักเว่ยยางอย่างเป็นธรรมชาติเหล่าข้าราชบริพารจัดอาหารอันงามประณีตลงบนโต๊ะทรงกลมอย่างคล่องแคล่ว พร้อมตะเกียบ จาน ชามครบถ้วนพร้อมสรรพฮั่วหลินนั่งตัวตรงอยู่ที่หัวโต๊ะ รถเข็นของเจียงหวนถูกเข็นมาอยู่ในตำแหน่งข้างกายเขาส่วนเติ้งหมอม่อก็ยืนค้อมศีรษะอยู่ใกล้ๆ อย่างเคารพ เตรียมปรนนิบัติในทุกเมื่ออาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะหมด ฮั่วหลินมิได้รีบขยับตะเกียบ แต่กวาดสายตาไปทั่วโต๊ะรอบหนึ่งแทน[หึ ให้ทำตัวเป็น ‘น้ำฝนน้ำค้าง’ ที่ตกต้องถ้วนหน้างั้นหรือ? วันนี้เราจะให้นางได้เห็นว่า “น้ำพระเมตตา” ของเราจะไปตกอยู่ที่ใด][เราจะคีบอาหารให้นางเอง แบบนี้คงชัดเจนพอแล้วกระมัง? มาดูกันว่าเติ้งหมอม่อจะมีสิ่งใดมาพูดอีก]เจียงหวนเพิ่งหยิบชามใบเล็กตรงหน้าของตนขึ้นมา ก็ได้ยินคำพูดเต็มไปด้วย “ปณิธานอันแรงกล้า” ของฮั่วหลินพอดีนางฝืนกลั้นยิ้ม หลุบตาทอดมองปลายจมูก ตาจ้องจมูกจมูกจ้องใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจากนั้นก็เห็นฮั่วหลินคีบเนื้อปลานึ่งชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้ววางลงในชามของเจียงหวนอย่างมั่นคง“ปลานี้ทั้งสดทั้งนุ่ม เจ้ากินให้มาก

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 233

    ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังมาเมื่อเจียงหวนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นฮั่วหลินไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ทางเข้าสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใด สีหน้าของเขาดำทะมึนอย่างน่ากลัว[อะไรที่เรียกว่า “มอบพระเมตตาอย่างเท่าเทียม”? เราเคยไป “เมตตา” ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด?][เหตุใดเติ้งหมอม่อจึงปรักปรำเราโดยไร้หลักฐานเช่นนี้?][เราเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดไร้ราคี กลับถูกนางพูดจนเหมือนคนเจ้าชู้ประตูดินไปเสียได้]เสียงความในใจที่เดือดดาลและเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ดังขึ้นข้างหูของเจียงหวนนางมองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮั่วหลิน พร้อมกับฟังคำบ่นในใจของเขา แล้วก็จะเกือบหัวเราะออกมาฮั่วหลินสาวเท้ายาวเข้ามา เขาตวัดตามองเติ้งหมอม่ออย่างเย็นชาแม้เติ้งหมอม่อถูกถลึงตาใส่จนงุนงง แต่ก็ยังรีบถวายคำนับ“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่สนใจนาง และหันไปมองเจียงหวนแทน“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”เจียงหวนฝืนกลั้นรอยยิ้มที่มุมปาก พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ“ทูลฝ่าบาท เติ้งหมอม่อกำลังสอนหม่อมฉันเรื่อง...เอ่อ กฎระเบียบของวังหลังเพคะ”[สอนอะไร? สอนให้นางยอม

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 232

    เจียงหวนมองนางกำนัลน้อยที่คุกเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น ในใจก็ถอนใจออกมาดูแล้วอายุยังไม่มาก ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้แบบอย่างดีๆ กันนะ?“การขโมยทรัพย์สินในวังเป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎสมควรได้รับโทษโบย 20 ครั้ง แล้วขับออกจากวัง”เจียงหวนจงใจพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็ตั้งใจกดให้ต่ำลงหลายส่วนเมื่อนางกำนัลน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบโขกศีรษะทันที หน้าผากกระแทกพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังตุบๆ“พระสนมโปรดเมตตาด้วย บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเพคะ ขอพระสนมโปรดอภัยให้บ่าวสักครั้งเถิด!”เจียงหวนเหลือบมองเติ้งหมอม่อที่ยืนอยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับรอให้ตนตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อว่า “แต่ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงลองบอกมา ว่าเหตุใดจึงต้องขโมยปิ่นปักผมของผู้อื่น?”นางกำนัลน้อยตอบอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ของบ่าวป่วยหนัก ที่บ้านไม่มีเงินซื้อยาจริงๆ บ่าวได้ยินมาว่าปิ่นของพี่อวี้เป็นเงิน จึง... จึง...”เจียงหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาตกลงบนมือที่หยาบกร้านของนางกำนัลน้อย มือคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยด้านและบาดแผลเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าทำงานหนักมาไม่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 231

    นางกำนัลน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม นางส่ายหน้าสุดกำลัง “ไม่ใช่เพคะพระสนม! เช้านี้ตอนบ่าวตื่นมาแล้วจัดเตียงพับผ้าห่ม ก็ยังไม่เห็นปิ่นปักผมอะไรเลย จะต้องมีคนใส่ร้ายบ่าวแน่เพคะ ขอพระสนมโปรดให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วยเถิดเพคะ”นางร้องไห้อย่างหนักจนลมหายใจขาดห้วง ท่าทางโดดเดี่ยวไร้คนช่วยที่น่าเวทนาของนาง ทำให้ผู้ใดพบเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกเห็นใจใบหน้าของเสี่ยวเจาเริ่มแสดงความสงสารออกมาแล้ว “พระสนม นางร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ดูแล้วไม่เหมือนเสแสร้งเลยเพคะ...”ไม่เหมือนหรือ?เจียงหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนใบหน้าของนางกำนัลน้อยครู่หนึ่งอื้ม น้ำตาเป็นของจริง ความหวาดกลัวก็เป็นของจริง แต่ความเคียดแค้นกับความลนลานในส่วนลึกของดวงตาก็เป็นของจริงเหมือนกันชาติก่อน นางเคยเห็น ‘พวกไม่ยอมหยุดงาน’ ทะเลาะหยุมหัวกับ ‘พวกหยุดงานประท้วง’ ที่ทำงานทุกวัน แกแทงฉันทีหนึ่ง ฉันแทงแกหนึ่งที สลับกันไปมาพอเจ้านายมาถึงก็จะร้องไห้โฮ อ้างว่าตัวเองเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก ถูกใส่ร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกใส่ความเหมือนตัวเอกในนิยายนางน่ะฝึกสายตามาจนมองออกหมดแล้ว โอเคไหม?แววตาของคนตรงหน้าล่อกแล่กไม่น

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 230

    เหล่านางกำนัลและขันทียืนค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม พวกเขายืนเรียงเป็นสองแถวรอคอยการคัดเลือกจากเจียงหวน โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเติ้งหมอม่ออธิบายกฎสำคัญภายในวัง หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง และข้อห้ามในการรับใช้ข้างกายเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาไม่ดังอยู่ด้านข้าง นางยังบอกเล่าที่มาของสาวใช้และขันทีพวกนี้ให้เจียงหวนฟังด้วยคำอธิบายของนางกระชับแต่ชัดเจน ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ทั้งคงไว้ซึ่งความน่ายำเกรง และแฝงไปด้วยการมองเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่งของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มา ทำให้แม้แต่เจียงหวน “ที่เปลี่ยนมาประกอบอาชีพนางสนมกลางคัน” ก็ยังฟังจนพยักหน้าติดต่อกันเพราะได้รับประโยชน์อย่างมากที่แท้การจัดการข้ารับใช้ในวังก็มีเคล็ดลับในมากมายเช่นนี้ เติ้งหมอม่อผู้นี้สมคำร่ำลือจริงๆ ทุกถ้อยคำล้วนสำคัญและตรงประเด็นอื้ม ต้องเรียนรู้จากนาง มาดูกันว่าวันหน้าผู้ใดจะกล้ารังแกนางอีก... โอ๊ะ ไม่ใช่ มาดูกันว่าผู้ใดจะกล้ามาวางก้ามก่อเรื่องในตำหนักเว่ยยางอีกต่างหากเมื่อมีคำแนะนำของเติ้งหมอม่อ เจียงหวนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกณฑ์การคัดเลือกคนของนางก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือ มีดวงตาที่กระจ่างใสซื่อตรง มือเท้าคล่อง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status