ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.)
บรรยากาศภายในจวนเริ่มตึงเครียดจนสัมผัสได้ เหล่าบ่าวรับใช้พากันหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง คนผู้หนึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ใจร้อนดั่งเปลวเพลิง เย็นชาเหมือนสายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้และแปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู…ส่วนอีกคนก็หาได้ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ดูแข็งกร้าวราว เกรงว่าต่อให้มีคมดาบจ่อคอก็ไม่คิดจะถอยกระมัง พวกบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอย่างหวาดหวั่น คาดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ ต่างจึงรีบพากันตรงดิ่งไปยังเรือนหลัก หวังว่าภรรยาอีกคนของนายท่านจะช่วยห้ามทัพได้บ้าง! ทว่าตอนเช้าเช่นนี้ ไหนเลยไป๋หรูอี๋จะลืมตาตื่นได้หากยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดลงกลางหัวเสียก่อน… นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ไม่หยุด ราวกับว่าหากไม่ตื่นขึ้นมาเปิด…เสียงเคาะนั่นก็คงไม่เลิกราไปง่ายๆ ไป๋หรูอี๋ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด แท้จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนักหนา แต่ในความคิดของนาง…หากไม่มีใครตายก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปลุกนางให้ตื่นในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ได้แน่! ไป๋หรูอี๋สะบัดผ้าห่มลุกขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เส้นผมยุ่งเหยิงปรกหน้าผากนวล สายตาที่เพิ่งลืมตาตื่นยังพร่ามัว หากแต่ความไม่พอใจกลับชัดเจน “หืม...มีคนตายแล้วหรืออย่างไร” น้ำเสียงหวานของนางแหบพร่าจากการนอนหลับทั้งคืน พลางเอ่ยถามบ่าวที่ยืนหน้าซีดอยู่หน้าเรือน สาวใช้ผู้นั้นรีบค้อมกายต่ำแทบจะติดพื้น “ฮูหยินเจ้าคะ...ไม่ใช่ถึงขั้นนั้นแต่ว่า...คล้ายฮูหยินใหญ่และนายท่านมีปากเสียงกันจนทั้งจวนสะเทือน พวกบ่าวล้วนไม่กล้าเข้าไปห้ามเจ้าค่ะ!” สายตาของนางกวาดไปยังหน้าต่าง เห็นแดดยังไม่ทันส่องผ่านยอดไม้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “หากจะฆ่ากันจริงๆ ก็ช่วยรอให้ข้าทาแป้งแต่งหน้าสักครึ่งเค่อได้หรือไม่…ข้าจะได้มีภาพจำงดงามหน่อยเวลาถูกลากไปเป็นพยาน” เอาเถิด...เรื่องของเซินลี่ฮวานั้น นางเหนื่อยจะจัดการเต็มที หากโม่เหยียนซวี่ยังอยากเห็นนางอยู่ในจวนแห่งนี้ ก็ปล่อยให้เขาใช้ปัญญาจัดการเองมิดีกว่าหรือไม่ ไป๋หรูอี๋พลางยกมือขึ้นปิดปากหาวท่าทางเกียจคร้านก่อนจะกล่าว “จับตาดูไว้อย่าให้ผู้ใดตาย…จนกว่าข้าจะเห็นกลับตา” เห็นโม่เหยียนซวี่ยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนี้ เซินลี่ฮวาก็ไม่มีอะไรจะพูดออกมาไปอีก บนใบหน้าของนางยังคงแต้มรอยยิ้มบาง ทว่ากลับดูฝืนเสียจนคล้ายเพียงแค่ทำตามมารยาทเท่านั้นไม่มีความรู้สึกใดจริงจังเจืออยู่ในแววตาเลยด้วยซ้ำ “…” นางเบี่ยงตัวเดินหลบไปอีกทางอย่างไม่คิดเหลียวหลัง เดิมที เมื่อลืมตาตื่นในเช้าวันนี้นางยังอารมณ์ดีอยู่มากแต่พอมีเรื่องกับบุรุษผู้นั้นก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ความขุ่นมัวพลันตีตื้นขึ้นมาโดยไร้เหตุผลอีกครั้ง “หึ!” โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงต่ำ ก่อนจะหมุนกาย หันขวับมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “เซินลี่ฮวา…เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด นางในตอนนี้ช่างยากจะคาดเดา…ทั้งเย็นชาและซับซ้อนราวกับกลายเป็นคนแปลกหน้าไปโดยสิ้นเชิง หากเป็นเมื่อก่อนแค่เพียงปรายตามองก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของนางได้ทันที ทว่าเวลานี้ แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึกนั้น เขากลับมองไม่เห็นอีกเลย…!? เซินลี่ฮวาหยุดฝีเท้าลงชั่วครู่ ภายใต้แสงแดดอ่อนยามเช้า เงาของนางทอดยาวไปข้างหน้าดูคล้ายคนที่กำลังลังเลแต่สุดท้ายก็ไม่หันกลับไป นางเงียบอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมา โม่เหยียนซวี่เห็นดังนั้นยิ่งขบกรามแน่น ดวงตาคมกริบที่เคยใช้มองศึกสงครามนับร้อยแต่กลับไม่สามารถอ่านใจสตรีผู้หนึ่งตรงหน้าได้เลย “เงียบงั้นหรือ” เขาพึมพำต่ำ “หากข้าบอกว่าไม่คิดอะไรเลย…เกรงว่าแม่ทัพโม่คงไม่เชื่ออยู่ดี” น้ำเสียงหวานเอ่ยราบเรียบอย่างไร้อารมณ์ สายตาคมกริบจ้องมองแผ่นหลังของนางนิ่งๆ พลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังตั้งสติและอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในอก โม่เหยียนซวี่กล่าว “เจ้าโกรธข้าอย่างงั้นหรือ…” แท้จริงแล้ว...ไม่แน่ว่าเพราะเหตุนี้เองกระมัง เขาปล่อยให้นางถูกมารดากลั่นแกล้งโดยไม่คิดเหลียวแล ยังพาสตรีอื่นเข้ามาในจวนโดยไม่เห็นค่านางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ…ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือการผลักไสให้นางออกไปอยู่นอกจวนให้พ้นหูพ้นตาราวกับเป็นของไร้ค่า ส่งนางนั่งรถม้าไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ชานเมืองอยู่นานถึงเกือบสามปี… หากนางจะโกรธเคืองและกลับมาทวงคืนบางสิ่งก็หาใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เซินลี่ฮวาเบนสายตาไปอีกทางอย่างเหนื่อยหน่าย “ท่านคิดว่าข้ามีเวลามากพอจะมาโกรธท่านได้ทุกเรื่องหรือโม่เหยียนซวี่…?” ใบหน้างดงามระบายยิ้มกว้าง ทว่ากลับเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ยังไม่จางหาย ยามนี้...นางหาได้รู้สึกอันใดอีกแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้น หากเปรียบเป็นกระเบื้องเคลือบก็คงถูกเขวี้ยงลงกับพื้นแตกกระจายอย่างไร้เยื่อใยจนไม่อาจกลับคืนดังเดิม นางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเหนื่อยจนไม่รู้สึกอะไรกับท่านอีกแล้ว...โม่เหยียนซวี่” โม่เหยียนซวี่ได้ยินถ้อยคำของนางก็ชะงักไปทันที แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่พลันวูบไหวชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วเบา “เซินลี่ฮวา…” เซินลี่ฮวาแค่นเสียงในใจ พลางปรายตามองเขาเพียงแค่หางตาอย่างเย็นชา “หึ… แม่ทัพโปรดอย่าเอ่ยนามข้าด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงเช่นนั้นเลยเถิด น่าสมเพชนัก” พอสิ้นสุดถ้อยคำนั้น นางจึงเบี่ยงตัวหมุนกายเดินจากไปทันที โดยไม่หันกลับมามองอีกแม้แต่น้อย หากจะใช้น้ำเสียงหวานรื่นหูเช่นนั้นก็เก็บไว้ไปพูดกับสตรีผู้นั้นเถิด! โม่เหยียนซวี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาคมกริบจ้องมองแผ่นหลังนางที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างตีวนอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก… “หึ! ท่าทางขุนนางเว่ยจะอารมณ์ดีไม่น้อย…หรือเพราะได้พบสตรีงามต้องตาต้องใจเข้าแล้ว” “เซินลี่ฮวา…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเว่ยอี้เอ่ยเรียบนิ่ง สายตาคมกริบเหลือบมองบุรุษตรงหน้า ในขณะที่ปลายนิ้วพลางหมุนวนรอบจอกน้ำชาเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ ซ่งเหวินที่ได้ยินดังนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณหนูเซินอย่างนั้นหรือ” เขาถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประหลาดใจคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ข่าวลือที่เคยได้ยินมานั้นชัดเจนนักว่าท่านแม่ทัพโม่ถึงขั้นขับไล่ภรรยาที่แต่งเข้ามาโดยพระราชโองการออกจากจวนเพียงเพื่อเปิดทางให้หญิงคณิกาผู้หนึ่งเข้ามาแทนที่...เรื่องนั้นก็ผ่านมานานถึงสามสี่ปีแล้วมิใช่หรือ!? “หรือว่าเจ้าตาฝาดไป” ซ่งเหวินขมวดคิ้วเอ่ยถามเสียงต่ำ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาจำได้ไม่ผิดแน่… เว่ยอี้ยังคงหมุนจอกชาในมือเบาๆ เขาคลี่ยกยิ้มจางคล้ายไม่ยินดียินร้าย “สตรีรูปโฉมงดงามเช่นนั้น…ทั่วทั้งเมืองหลวงยังจะมีผู้ใดเทียบเคียงหรือคล้ายคลึงกัน” ซ่งเหวินพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย “สนใจนางหรืออย่างไร” เว่ยอี้กระตุกยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “…” เหอะ! ท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ซ่งเหวินหรี่ตามองบุรุษตรงหน้า ราวกับกำลังสังเกตอะไรบางอย่างในแววตาของอีกฝ่าย “เหอะ! ตัดใจเสียเถอะ เว่ยอี้…เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสามีของนางคือโม่เหยียนซวี่ ผู้ที่ฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานสมรสให้กับมือ!” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางยกจอกชาขึ้นจิบทว่าดวงตากลับยังจับจ้องอีกฝ่ายไม่วาง “แล้วอย่างไรกัน” เว่ยอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงความลุ่มลึก เขาเหลือบมองบุรุษตรงหน้าด้วยความจริงจัง “มิใช่ว่าหย่าไม่ได้แล้วเสียหน่อย…”ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.)บรรยากาศภายในจวนเริ่มตึงเครียดจนสัมผัสได้ เหล่าบ่าวรับใช้พากันหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงคนผู้หนึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ใจร้อนดั่งเปลวเพลิง เย็นชาเหมือนสายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้และแปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู…ส่วนอีกคนก็หาได้ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ดูแข็งกร้าวราว เกรงว่าต่อให้มีคมดาบจ่อคอก็ไม่คิดจะถอยกระมังพวกบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอย่างหวาดหวั่น คาดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างจึงรีบพากันตรงดิ่งไปยังเรือนหลัก หวังว่าภรรยาอีกคนของนายท่านจะช่วยห้ามทัพได้บ้าง!ทว่าตอนเช้าเช่นนี้ ไหนเลยไป๋หรูอี๋จะลืมตาตื่นได้หากยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดลงกลางหัวเสียก่อน…นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ไม่หยุด ราวกับว่าหากไม่ตื่นขึ้นมาเปิด…เสียงเคาะนั่นก็คงไม่เลิกราไปง่ายๆไป๋หรูอี๋ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิดแท้จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนักหนา แต่ในความคิดของนาง…หากไม่มีใครตายก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปลุกนางให้ตื่นในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ได้แน่!ไป๋หรูอี๋สะบัดผ้าห่มลุกขึ้นด้วย
แม้ว่า เซินลี่ฮวาจะได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทให้แต่งกับโม่เหยียนซวี่…ทว่าก็มิใช่ว่านางจะต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ว่ากันตามตรงแล้ว เซินลี่ฮวานับเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้มีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังเพียบพร้อมในทุกด้านนางหาใช่สตรีสามัญธรรมดาไม่…แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์โดยแท้มิหนำซ้ำด้วยสถานะของเซินลี่ฮวา ไม่เพียงแค่เป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก..นางยังเป็นหลานสาวของพระสนมในวังหลวงอีกด้วยยังจะมีผู้ใดกล้าหมิ่นเกียรติได้ง่ายๆเพียงเพราะโม่เหยียนซวี่หาได้มีใจรักใคร่ต่อนางอย่างลึกล้ำ เขาจึงหันไปคว้าสตรีต่ำต้อยจากหอนางโลมข้ามหน้าข้ามตานางไป ไม่สนใจไยดีและไม่แม้แต่จะเห็นความไม่ยุติธรรมที่นางได้รับหึ! ยามนี้มารดากลับมาสะสางความแค้นแล้วหากเขาคิดจะผลักไสนางเช่นนี้…ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอมหลีกทางให้อีกต่อไป!“คิดจะทิ้งนางเพื่อไปยกย่องสตรีใดก็เชิญเถิด...แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองความสงบสุขไปตลอด”ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นแฝงความเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้แต่เถ้าแก่โรงไม้มองเห็นแล้วยังต้องสะดุ้งและกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากเหตุใดเพียงแค่มองแวบเดียว
วันนี้เพียงแค่ฮูหยินใหญ่กลับมาถึงจวนได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทว่าทุกสิ่งภายในจวนสกุลโม่กลับแปรเปลี่ยนไปราวกับผ่านไปนานนับสิบปีโม่เหยียนซวี่ค่อยๆ ประคองร่างของไป๋หรูอี๋วางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เขาก้มตัวถอดรองเท้าให้นางด้วยมือของตนเองก่อนจะจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงยกผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีทะนุถนอมราวกับกลัวว่านางเจ็บระบมไป๋หรูอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าแขนเขาไว้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่หม่นแสงเงยขึ้นสบสายตาบุรุษตรงหน้าอย่างสงสาร“เป็นความผิดของข้าเอง…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ราวกับว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ“หึ! นี่หาใช่ความผิดของเจ้า” เขากัดฟันกรอดตอบออกมายามนี้ภายในใจของโม่เหยียนซวี่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นรุนแรงราวจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ สตรีผู้นั้น…นางกล้าดียิ่งนักไม่เพียงแต่ย่างเท้ากลับมาจวนหน้าตาเฉย ยังบังอาจอวดดีแสดงอำนาจเหนือผู้ใดในฐานะภรรยาพระราชทานนางคิดหรือว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้งั้นรึ!?สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายแววกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เสมือนกับพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในพริบตาเดียว“…”ไป๋หรูอี๋มองสามีตาปริบๆ พอเห็นท่าที
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ…ความอึดอัดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วบริเวณเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ดวงตาคู่งามหลุบมองสตรีผู้นั้นเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดหลบเลี่ยงนางเอ่ยเสียงหวาน “วันนี้ข้าเดินทางไกลนัก…ยามนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยรีบจัดเตรียมเรือนนอนให้มารดาพักผ่อนเสีย”โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ดวงตาคมกริบเพ่งมองนางตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน…เซินลี่ฮวา”ไฉนเลยเข้าจะรู้…ว่าสตรีผู้นี้กลับมาเพราะเหตุใด แล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก!“กลับไป…ข้าควรกลับไปที่ใดหรือสามี” นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ ใบหน้าคนงามเรียบเฉยไร้ความเกรงกลัวใดๆ“เซินลี่ฮวา! เจ้ามิสิทธิ์กลับมาเหยียบที่นี่อีก ตั้งแต่วันนั้น…เมื่อสามปีก่อน!” น้ำเสียงทุ้มตะคอกก้องดังลั่นไปทั่วด้วยความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่คะบอกจนยากเกินจะควบคุมเซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลางหัวเราะเบา ๆเหอะ!...บุรุษผู้นี้โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ“ข้าเป็นภรรยาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้…มิอาจหย่าขาดได้ตามใจ” นางกล่
หากเป็นเมื่อสามปีก่อน เซินลี่ฮวาคงมิได้มีความกล้าเท่านี้ เพียงแค่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่...หยาดน้ำตาใสก็พลันไหลรินอาบแก้มทันทีเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว นางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับในอกที่รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว...แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาดต่างหากหลังจากที่โม่เหยียนซวี่ไล่นางออกจากจวนไปแล้ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสตรีผู้นั้นอย่างมีความสุข...โดยไม่รู้สึกผิดใดเลยเชียวหรือ!?หึ...นางอยากเห็นนักว่าเขาจะทำหน้าเช่นไร เมื่อภรรยาที่เคยขับไล่ราวกับสิ่งไร้ค่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง!พอนึกแล้ว…เซินลี่ฮวาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์“รีบไปกันเถอะผิงอัน…ข้าคิดถึงสามียิ่งนัก”เดิมทีบรรยากาศยามนี้ก็มืดครึ้มด้วยหมอกเมฆตั้งเค้าราวกับพายุใหญ่กำลังจะกระหน่ำลงมา ทว่าดูเหมือนว่า...จวนสกุลโม่คงเผชิญเข้ากับพายุลูกใหญ่เข้าให้จริงๆ แล้วเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าจวน ต่างจับจ้องแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ที่กำลังย่างเท้าเข้าไปด้านใน…บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความตึงเครียด แล้วรีบแซงหน้าอีกฝ่ายไปอย่างร้อนรนอย่
วันนี้ตลอดทั้งวันท้องฟ้าแจ่มใสมีแสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณจนร้อนอบอ้าวแต่เพียงชั่วพริบตาเมื่อยามพลบค่ำ เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดมิดสนิทราวกับพายุกำลังจะพัดพาฝนห่าใหญ่มาสาดกระหน่ำสายลมแรงพัดกระหน่ำจนทุกสิ่งจนปลิวว่อน เสียงลากล้อรถม้าค่อยๆ ลากตามพื้นมาดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ อย่างน่าหวาดกลัวจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลโม่สาวใช้พลางเร่งรีบลงจากลงม้าก่อนจะยื่นมือออกไปประคองผู้เป็นนายหญิงอย่างรวดเร็วเซินลี่ฮวาในชุดผ้าไหมสีครามเข้มประดับด้วยลวดลายดอกเหมย นางก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังโดยมีสาวใช้คอยประคองเอาไว้สตรีที่ถูกสามีทอดทิ้ง ไฉนคิดว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้อารมณ์ฉายออกมาแต่ดวงตาคู่งามกลับสื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงอดีตที่ปวดร้าวและความโกรธที่รอวันสะสางเอาคืนหึ! สามีที่ดีไหนเลยจะทอดทิ้งภรรยาแล้วยกย่องสตรีอื่นทันทีที่ได้เห็น คนงานชายเฝ้าหน้าประตูพลางเบิกตาโพลงกว้างทันที ท่าทางประหนึ่งว่ากำลังเห็นผีก็ไม่ปาน“นั่นคือฮูหยิน...ภรรยาของแม่ทัพโม่ใช่หรือไม่”เมื่อสาวใช้ของเซินลี่ฮวาได้ฟังแล้ว ผิงอันพลางหันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวางทันที นางส่งเสียงฮึดฮ