แชร์

๖ ปะทะคารม

ผู้เขียน: วอลจู
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-17 23:00:58

ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.)

บรรยากาศภายในจวนเริ่มตึงเครียดจนสัมผัสได้ เหล่าบ่าวรับใช้พากันหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

คนผู้หนึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ใจร้อนดั่งเปลวเพลิง เย็นชาเหมือนสายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้และแปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู…ส่วนอีกคนก็หาได้ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ดูแข็งกร้าวราว เกรงว่าต่อให้มีคมดาบจ่อคอก็ไม่คิดจะถอยกระมัง

พวกบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอย่างหวาดหวั่น คาดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่

ต่างจึงรีบพากันตรงดิ่งไปยังเรือนหลัก หวังว่าภรรยาอีกคนของนายท่านจะช่วยห้ามทัพได้บ้าง!

ทว่าตอนเช้าเช่นนี้ ไหนเลยไป๋หรูอี๋จะลืมตาตื่นได้หากยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดลงกลางหัวเสียก่อน…

นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ไม่หยุด ราวกับว่าหากไม่ตื่นขึ้นมาเปิด…เสียงเคาะนั่นก็คงไม่เลิกราไปง่ายๆ

ไป๋หรูอี๋ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด

แท้จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนักหนา แต่ในความคิดของนาง…หากไม่มีใครตายก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปลุกนางให้ตื่นในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ได้แน่!

ไป๋หรูอี๋สะบัดผ้าห่มลุกขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เส้นผมยุ่งเหยิงปรกหน้าผากนวล สายตาที่เพิ่งลืมตาตื่นยังพร่ามัว หากแต่ความไม่พอใจกลับชัดเจน

“หืม...มีคนตายแล้วหรืออย่างไร” น้ำเสียงหวานของนางแหบพร่าจากการนอนหลับทั้งคืน พลางเอ่ยถามบ่าวที่ยืนหน้าซีดอยู่หน้าเรือน

สาวใช้ผู้นั้นรีบค้อมกายต่ำแทบจะติดพื้น “ฮูหยินเจ้าคะ...ไม่ใช่ถึงขั้นนั้นแต่ว่า...คล้ายฮูหยินใหญ่และนายท่านมีปากเสียงกันจนทั้งจวนสะเทือน พวกบ่าวล้วนไม่กล้าเข้าไปห้ามเจ้าค่ะ!”

สายตาของนางกวาดไปยังหน้าต่าง เห็นแดดยังไม่ทันส่องผ่านยอดไม้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “หากจะฆ่ากันจริงๆ ก็ช่วยรอให้ข้าทาแป้งแต่งหน้าสักครึ่งเค่อได้หรือไม่…ข้าจะได้มีภาพจำงดงามหน่อยเวลาถูกลากไปเป็นพยาน”

เอาเถิด...เรื่องของเซินลี่ฮวานั้น นางเหนื่อยจะจัดการเต็มที หากโม่เหยียนซวี่ยังอยากเห็นนางอยู่ในจวนแห่งนี้ ก็ปล่อยให้เขาใช้ปัญญาจัดการเองมิดีกว่าหรือไม่

ไป๋หรูอี๋พลางยกมือขึ้นปิดปากหาวท่าทางเกียจคร้านก่อนจะกล่าว “จับตาดูไว้อย่าให้ผู้ใดตาย…จนกว่าข้าจะเห็นกลับตา”

 

เห็นโม่เหยียนซวี่ยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนี้ เซินลี่ฮวาก็ไม่มีอะไรจะพูดออกมาไปอีก

บนใบหน้าของนางยังคงแต้มรอยยิ้มบาง ทว่ากลับดูฝืนเสียจนคล้ายเพียงแค่ทำตามมารยาทเท่านั้นไม่มีความรู้สึกใดจริงจังเจืออยู่ในแววตาเลยด้วยซ้ำ

“…” นางเบี่ยงตัวเดินหลบไปอีกทางอย่างไม่คิดเหลียวหลัง

เดิมที เมื่อลืมตาตื่นในเช้าวันนี้นางยังอารมณ์ดีอยู่มากแต่พอมีเรื่องกับบุรุษผู้นั้นก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ความขุ่นมัวพลันตีตื้นขึ้นมาโดยไร้เหตุผลอีกครั้ง

“หึ!” โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงต่ำ ก่อนจะหมุนกาย หันขวับมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “เซินลี่ฮวา…เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด นางในตอนนี้ช่างยากจะคาดเดา…ทั้งเย็นชาและซับซ้อนราวกับกลายเป็นคนแปลกหน้าไปโดยสิ้นเชิง  หากเป็นเมื่อก่อนแค่เพียงปรายตามองก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของนางได้ทันที

ทว่าเวลานี้ แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึกนั้น เขากลับมองไม่เห็นอีกเลย…!?

เซินลี่ฮวาหยุดฝีเท้าลงชั่วครู่ ภายใต้แสงแดดอ่อนยามเช้า เงาของนางทอดยาวไปข้างหน้าดูคล้ายคนที่กำลังลังเลแต่สุดท้ายก็ไม่หันกลับไป

นางเงียบอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมา

โม่เหยียนซวี่เห็นดังนั้นยิ่งขบกรามแน่น ดวงตาคมกริบที่เคยใช้มองศึกสงครามนับร้อยแต่กลับไม่สามารถอ่านใจสตรีผู้หนึ่งตรงหน้าได้เลย

“เงียบงั้นหรือ” เขาพึมพำต่ำ

“หากข้าบอกว่าไม่คิดอะไรเลย…เกรงว่าแม่ทัพโม่คงไม่เชื่ออยู่ดี” น้ำเสียงหวานเอ่ยราบเรียบอย่างไร้อารมณ์

สายตาคมกริบจ้องมองแผ่นหลังของนางนิ่งๆ พลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังตั้งสติและอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในอก

โม่เหยียนซวี่กล่าว “เจ้าโกรธข้าอย่างงั้นหรือ…”

แท้จริงแล้ว...ไม่แน่ว่าเพราะเหตุนี้เองกระมัง

เขาปล่อยให้นางถูกมารดากลั่นแกล้งโดยไม่คิดเหลียวแล ยังพาสตรีอื่นเข้ามาในจวนโดยไม่เห็นค่านางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ…ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือการผลักไสให้นางออกไปอยู่นอกจวนให้พ้นหูพ้นตาราวกับเป็นของไร้ค่า

ส่งนางนั่งรถม้าไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ชานเมืองอยู่นานถึงเกือบสามปี…

หากนางจะโกรธเคืองและกลับมาทวงคืนบางสิ่งก็หาใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด

เซินลี่ฮวาเบนสายตาไปอีกทางอย่างเหนื่อยหน่าย

“ท่านคิดว่าข้ามีเวลามากพอจะมาโกรธท่านได้ทุกเรื่องหรือโม่เหยียนซวี่…?”

ใบหน้างดงามระบายยิ้มกว้าง ทว่ากลับเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ยังไม่จางหาย

ยามนี้...นางหาได้รู้สึกอันใดอีกแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้น หากเปรียบเป็นกระเบื้องเคลือบก็คงถูกเขวี้ยงลงกับพื้นแตกกระจายอย่างไร้เยื่อใยจนไม่อาจกลับคืนดังเดิม

นางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเหนื่อยจนไม่รู้สึกอะไรกับท่านอีกแล้ว...โม่เหยียนซวี่”

โม่เหยียนซวี่ได้ยินถ้อยคำของนางก็ชะงักไปทันที แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่พลันวูบไหวชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วเบา “เซินลี่ฮวา…”

เซินลี่ฮวาแค่นเสียงในใจ พลางปรายตามองเขาเพียงแค่หางตาอย่างเย็นชา “หึ… แม่ทัพโปรดอย่าเอ่ยนามข้าด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงเช่นนั้นเลยเถิด น่าสมเพชนัก”

พอสิ้นสุดถ้อยคำนั้น นางจึงเบี่ยงตัวหมุนกายเดินจากไปทันที โดยไม่หันกลับมามองอีกแม้แต่น้อย หากจะใช้น้ำเสียงหวานรื่นหูเช่นนั้นก็เก็บไว้ไปพูดกับสตรีผู้นั้นเถิด!

โม่เหยียนซวี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาคมกริบจ้องมองแผ่นหลังนางที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างตีวนอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก…

 

“หึ! ท่าทางขุนนางเว่ยจะอารมณ์ดีไม่น้อย…หรือเพราะได้พบสตรีงามต้องตาต้องใจเข้าแล้ว”

“เซินลี่ฮวา…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเว่ยอี้เอ่ยเรียบนิ่ง สายตาคมกริบเหลือบมองบุรุษตรงหน้า ในขณะที่ปลายนิ้วพลางหมุนวนรอบจอกน้ำชาเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ

ซ่งเหวินที่ได้ยินดังนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“คุณหนูเซินอย่างนั้นหรือ” เขาถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประหลาดใจคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

ข่าวลือที่เคยได้ยินมานั้นชัดเจนนักว่าท่านแม่ทัพโม่ถึงขั้นขับไล่ภรรยาที่แต่งเข้ามาโดยพระราชโองการออกจากจวนเพียงเพื่อเปิดทางให้หญิงคณิกาผู้หนึ่งเข้ามาแทนที่...เรื่องนั้นก็ผ่านมานานถึงสามสี่ปีแล้วมิใช่หรือ!?

“หรือว่าเจ้าตาฝาดไป” ซ่งเหวินขมวดคิ้วเอ่ยถามเสียงต่ำ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย

เขาจำได้ไม่ผิดแน่…

เว่ยอี้ยังคงหมุนจอกชาในมือเบาๆ เขาคลี่ยกยิ้มจางคล้ายไม่ยินดียินร้าย “สตรีรูปโฉมงดงามเช่นนั้น…ทั่วทั้งเมืองหลวงยังจะมีผู้ใดเทียบเคียงหรือคล้ายคลึงกัน”

ซ่งเหวินพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย “สนใจนางหรืออย่างไร”

เว่ยอี้กระตุกยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

“…”

เหอะ! ท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

ซ่งเหวินหรี่ตามองบุรุษตรงหน้า ราวกับกำลังสังเกตอะไรบางอย่างในแววตาของอีกฝ่าย “เหอะ! ตัดใจเสียเถอะ เว่ยอี้…เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสามีของนางคือโม่เหยียนซวี่ ผู้ที่ฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานสมรสให้กับมือ!”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางยกจอกชาขึ้นจิบทว่าดวงตากลับยังจับจ้องอีกฝ่ายไม่วาง

“แล้วอย่างไรกัน” เว่ยอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงความลุ่มลึก เขาเหลือบมองบุรุษตรงหน้าด้วยความจริงจัง

 “มิใช่ว่าหย่าไม่ได้แล้วเสียหน่อย…”

 

 

 

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๖ สามี ภรรยา ครองคู่

    ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๕ ไม่ผิดหวัง

    ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๔ คู่ควร

    บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๓ ลืมเลือนอดีต

    ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๒ อำนาจ

    ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด

  • ฮูหยินกลับมาแล้ว   ๒๑ เป็นอย่างที่หวัง

    “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status