ตอนที่
[1] สตรีโง่งม ลู่หรงซิน บุตรสาวของอดีตฮูหยินเอกผู้ล่วงลับไปแล้วของเสนาบดีลู่ นางเป็นคนหัวอ่อน ไม่ว่าแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาผู้นั้นจะว่าเช่นไรก็เชื่อไปเสียหมดจนตนเองแทบจะกลายเป็นตัวตลก จนกระทั่งโดนหลอกสร้างสถานการณ์ให้ไปพบกับบุรุษผู้หนึ่ง ฉูหวังหมิ่น เบื้องหน้าเป็นบัณฑิตหน้าซื่อท่าทางใจดี เขาเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือเล็ก ๆ ในตรอกเมืองหลวง แต่เบื้องหลังคือผีพนันและลุ่มหลงในสตรีเร่าร้อนมากมาย เขาทำทีเข้ามาช่วยเหลือลู่หรงซินในตอนที่พบเจอเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่น สุดท้ายก็ได้พูดคุยกันทำให้จากนั้นทั้งคู่ต่างก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน และลู่หรงซินก็กลายเป็นสตรีโง่งมยิ่งขึ้นหลังจากนั้น ฉู่หวังหมิ่นคือคนที่เมิ่งเจียอีและลู่ซูเจียว มารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาส่งมาเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่ลู่หรงซินไม่รู้! ที่จริงแล้วทั้งคู่ต้องการให้ฉู่หวังหมิ่นทำให้ลู่หรงซินแปดเปื้อนและสุดท้ายนางก็ต้องตบแต่งออกไปกับเขา แต่ทว่าจู่ ๆ เหตุการณ์ก็พลิกผันเมื่อฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้แม่ทัพผู้มากฝีมืออย่าง เซวียหลิงจ้าน กับบุตรีของเสนาบดีลู่และฮูหยินเอก เพราะเขามีคุณความดีในการปราบพวกนอกด่านที่แข็งข้อต่อชายแดนของแคว้นฝั่งตะวันตกไว้ได้สำเร็จ เดิมทีตระกูลลู่ก็คงไม่รู้สึกติดขัดอันใด ออกจะรู้สึกดีมากเสียด้วยซ้ำ ตระกูลเซวียนั้นสร้างผลงานต่อแคว้นมากมาย แม้บุรุษทั้งตระกูลจะตายในสงครามใหญ่เมื่อหลายปีก่อนและสตรีในจวนก็ยังออกไปช่วยสู้รบจนสุดท้ายก็ตายตกไปตามกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือเซวียหลิงจ้านที่มากฝีมือ สามารถนำพาตระกูลเติบโตให้ยิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิมด้วยตัวคนเดียวและเป็นที่ไว้วางใจกับฝ่าบาทเป็นอย่างมาก ทรัพย์สมบัติในจวนก็มากมาย อีกทั้งหากแต่งเข้าก็ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าให้กวนใจ จะกลายเป็นนายหญิงของจวนแต่เพียงผู้เดียว แต่ทว่าพวกเขาตัดสินใจเลือกข้างแล้ว และยังมีแผนการใหญ่ในภายภาคหน้า หากถึงยามนั้นตระกูลเซวียก็ไม่นับว่าเป็นอันใด ฉะนั้นการเล่นเล่ห์สับเปลี่ยนเจ้าสาวจึงเกิดขึ้น และฝ่าบาทก็ไม่ทันได้คัดค้านอันใด บุตรีของภรรยาเอก ที่เดิมควรเป็นลู่ซูเจียว กลับกลายเป็นลู่หรงซิน ที่เป็นบุตรีภรรยาเอกเช่นกัน แต่เป็นในอดีตก็ไม่นับว่าผิดอันใด แท้จริงแล้วนี่เป็นเกมการเมืองโดยแท้จริง ฝ่าบาทรู้ดีว่าองค์ชายสามมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง และเตรียมการหลายอย่างเพื่อที่จะขึ้นเป็นผู้ครองบัลลังก์ต่อไป และรากฐานที่จะทำให้แข็งแกร่งได้ นั่นก็คือการหาตระกูลที่มีอำนาจเข้ามาส่งเสริมกัน ตระกูลลู่เป็นตระกูลใหญ่และมีอำนาจเพราะเสนาบดีลู่ก็มีบทบาทในท้องพระโรงไม่น้อย และลู่ลี่หมิงก็เลือกข้างองค์ชายสาม ดังนั้น ลู่ซูเจียว จึงถูกวางตัวในกระดานนี้ในฐานะพระชายาขององค์ชายสามแล้ว หรือไม่ก็อาจจะข้ามขั้นไปเป็นฮองเฮาเลยก็เป็นได้ ถึงจะรู้ว่าหนทางข้างหน้าตนจะอยู่เหนือผู้คนเพียงใดแต่ถึงอย่างนั้นในใจของลู่ซูเจียวก็ไม่สงบนัก เซวียหลิงจ้านขึ้นชื่อว่ารูปงามที่สุดในแคว้น แต่บุรุษผู้นั้นกำลังจะเป็นของลู่หรงซิน สตรีไร้ค่า พี่สาวที่นางเกลียดที่สุด! สิ่งที่พอจะบรรเทาความคิดริษยาในใจของนางลงได้นั่นคือ เซวียหลิงจ้านมีลูกติด แม้จะไม่ใช่ลูกที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นลูก หากแต่งเข้าไปก็ต้องกลายเป็นมารดาเลี้ยง ต้องคอยเลี้ยงลูกคนอื่น หน้าที่นั้นนางไม่ต้องการสักนิด! ก่อนวันมงคลลู่หรงซินไม่ยินยอมร้องไห้ออกมาเสียชุดใหญ่ เสนาบดีลู่จบเกือบจะง้างมื้อตบหน้าบุตรสาวที่เขาไม่ไยดีผู้นี้เสียแล้วแต่ผู้เป็นภรรยาใช้สายตาห้ามปรามไว้ “ข้าสัญญาว่าหากเจ้าแต่งออกไปกับแม่ทัพเซวียแล้ว ข้าจะหาทางให้เจ้าได้หย่ากับเขาในเร็ววัน แล้วเจ้าจะได้ไปอยู่กับคุณชายฉู่เร็ว ๆ” “จริงหรือเจ้าคะ แต่หากคุณชายฉู่รู้เข้าคงต้องโกรธข้ามากแน่” ลู่หรงซินที่คราแรกจะยินยอมแต่เมื่อนึกถึงหน้าบุรุษที่ตนมีใจก็ส่ายหน้าน้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเสียงหนึ่งกลับดังขึ้น “ข้ายินยอม” “คะ…คุณชายฉู่” “คุณหนูลู่ นี่เป็นเรื่องสำคัญ ราชโองการของฝ่าบาทไม่อาจขัดได้ แต่หากหย่านั้นสามารถทำได้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะรอท่าน” ฉู่หวังหมิ่นส่งสายตาเชื่อมั่นไปให้หญิงสาว “ท่านจะไม่รังเกียจข้าใช่หรือไม่” “ไม่ ข้าไม่มีวันรังเกียจท่าน” และเพราะเหตุนี้ทำให้ลู่หรงซินขึ้นเกี้ยวแดงมงคลไปในหลายวันต่อมา แต่ผู้ใดจะรู้ เมื่อแต่งไปก็ไม่มีท่าทีว่าเมิ่งเจียอีจะช่วยเหลือให้นางหย่าแต่อย่างใด คนรักก็ขาดการติดต่อไปตั้งแต่ยามนั้น ราวกับเขาตัดนางออกไปโดยสิ้นเชิง แต่ในใจก็ยังไม่เชื่อว่าเขาจะทำเช่นนั้น คุณชายฉู่เป็นคนดี ไม่มีทางทิ้งนางแน่ คิดได้ดังนั้น จึงรวบรวมความกล้าไปหาเซวียหลิงจ้านที่กลับบ้านมาในรอบสามเดือนตั้งแต่แต่งงานกันไป “ทะ…ท่าน…แม่ทัพ…ท่านไม่ชอบข้า…ข้าก็ไม่ชอบท่าน…เช่นนั้น ท่านหย่าให้ข้าเถิด” แม้จะหวาดกลัวด้วยนิสัยทุนเดิม แต่จำต้องกล่าวออกไปเพราะอยากออกไปใช้ชีวิตกับบุรุษอันเป็นที่รัก เซวียหลิงจ้านมองฮูหยินที่ตนเพิ่งตบแต่งเข้ามาแต่ยังไม่ได้เข้าหอกันเมื่อสามเดือนก่อนด้วยสายตายากจะคาดเดา เขาไม่ทันจะกล่าวอันใด ก็มีคนมารายงานบางอย่างเสียก่อน และหลังจากนั้นลู่หรงซินก็ไม่ได้พบเจอเขาอีก จนความอดทนของนางสิ้นสุดลง จึงได้แอบออกจากจวนไปหาฉู่หวังหมิ่น อยากให้เขาช่วยหาทาง เมื่อไปถึงร้านหนังสือของเขากลับพบว่ามันปิดสนิท แต่นางมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ในนั้นจึงได้แอบเข้าไป แต่แล้วภาพตรงหน้ากลับทำให้นางตัวแข็งทื่อ ไม่นานดวงตาก็คลอไปด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นทาง “คุณชายฉู่!” ฉู่หวังหมิ่นและสตรีอีกคนกำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่ม ทั้งคู่อยู่ในสภาพไร้อาภรณ์ปิดกาย คราแรกฉู่หวังหมิ่นตกใจเป็นอย่างมาก พยายามที่จะอธิบายบางอย่าง แต่เมื่อนางไม่ยอมฟังทั้งยังจะเข้าไปทำร้ายสตรีของเขา ความอดทนจึงสิ้นสุดลง เพียะ! “ลู่หรงซิน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” “…..” “สตรีจืดชืดเช่นเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาทำร้ายจี้เออร์ของข้า!!” “ฮึก ๆ เพราะเหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้” ลู่หรงซินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ แต่ฉู่หวังหมิ่นคิดว่า ไหน ๆ งานของเขาก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกับสตรีผู้นี้อีกต่อไป “เพราะข้าไม่เคยชอบเจ้า ไม่ได้ชอบเจ้าตั้งแต่แรก หากไม่ใช่เพราะลู่ฮูหยินให้เงินข้ามามาก มีหรือข้าจะสนใจเจ้า” “ฮึก” “แม้จะงดงามแต่ก็จืดชืดไร้เสน่ห์สิ้นดี ไหนจะนิสัยขี้ขลาดเอาแต่หวาดกลัว แต่ที่ข้ายังพอทนได้ อีกอย่างก็เพราะเจ้าไม่ตระหนี่สินเดิมของมารดาเจ้าอย่างไรเล่า ข้าถึงมีเงินเอามาซื้ออาภรณ์สวย ๆ ให้จี้เออร์ของข้าได้ เจ้าน่ะเทียบจี้เออร์ของข้าไม่ได้สักนิด เจ้า….” “หยุดนะ!!” ลู่หรงซินฟังเขากล่าวต่อไปไม่ได้อีก มันทำร้ายจิตใจของนางเกินไป จึงได้วิ่งออกมาจากร้านและตรงกลับไปที่จวนตระกูลเซวียทันที จากนั้นจึงตัดสินใจจบชีวิตตนเองเพราะผิดหวังในความรักครั้งนี้ บอกแล้วว่านางโง่งม โรสในยามนี้เกลียดลู่หรงซินเป็นอย่างมาก ไม่นานโรสก็ต้องกุมหัวกับภาพที่เห็นในหัวและภาพที่เห็นในโรงหนังลึกลับนั่นอีกครั้ง ระหว่างที่ความคิดกำลังทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ โรสหรือลู่หรงซินในยามนี้ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น “ฮูหยิน ข้าวของท่านข้าวางไว้หน้าประตูนะเจ้าคะ!” เสียงนั้นกระแทกกระทั้นราวกับคนไม่พอใจ ไม่นานก็จะได้ยินเสียงวางบางอย่างลงพื้นด้วยเสียงที่ดังเช่นกัน แม้ตอนนี้จะไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มจัดการชีวิตใหม่นี้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดในตอนนี้คือ จัดการบ่าวรับใช้ที่มันเอาแต่ข้าวบูดมาให้ลู่หรงซินกินทุกวันก่อน!!ตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ