“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
หลินอิงเดินตามเขาออกไปที่หน้าจวน เมื่อถึงรถม้าเขาก็หันไปบอกนางอีกครั้ง
“ขึ้นไปสิ”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อนางขึ้นไปแล้วก็พบว่า รถม้าคันนี้นางต้องนั่งไปเอง ส่วนเขาไม่นั่งไปกับนาง
“ท่าน… ไม่นั่งรถม้าไปหรือเจ้าคะ”
“ข้าขี่ม้าไปสะดวกกว่า อีกอย่าง… ช่างเถอะอย่าถามให้มากความรีบเข้าไปนั่งให้ดี ไปได้แล้วจื่อรุ่ย”
“ขอรับ”
หลินอิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่เขาไม่ยอมมานั่งรถม้าร่วมกับนาง แม้ว่าจะไม่ได้มีใจให้กับนาง แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นสามี หลินอิงอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้แต่เมื่อนึกถึงอิสระที่อยู่ในจวนตอนนี้ นางก็พยายามลืมความรู้สึกนี้ไป
“อย่างน้อยก็มีที่ให้นอน มีอาหารให้กินครบทุกมื้อไม่อดอยาก เรื่องอื่นก็ช่างมันเถอะ”
วังหลวงต้าเฟิง
รถม้าเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานหน้าท้องพระโรง หลิวเว่ยหยางเดินลงจากม้าและมารับนางที่ด้านหน้า พวกเขาเดินเข้าไปในท้องพระโรงเล็กพร้อมกัน ซึ่งในวันนี้มีขุนนางหลายคนรออยู่ เพื่อเป็นสักขีพยานในการรับมอบตำแหน่งฮูหยินตราตั้งตามกฎ และยังมีอีกหลายคนที่ได้รับพระราชทานรางวัลในวันนี้ด้วย
“ทูลท่านอ๋อง แม่ทัพหลิวและฮูหยินมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้งหร่วนอวี้” ชิงอ๋องโดยตำแหน่ง ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ พระองค์เป็นอ๋องปกครองเมืองต้าเฟิง ร่วมกับแม่ทัพหลิวเว่ยหยาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง เป็นพระนัดดาของฮ่องเต้ เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามา ท่านอ๋องจึงวางป้ายคำสั่งของเมิ่งหลินอิงและหันไปมองทั้งคู่
“หลิวเว่ยหยาง”
“เมิ่งหลินอิง”
""ถวายบังคมท่านอ๋อง ขอทรงพระเจริญพันปี พัน ๆ ปี""
“ลุกขึ้นเถอะ”
""ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ / เพคะ""
เมื่อหลินอิงเงยหน้าขึ้น ท่านอ๋องก็ต้องตะลึงไปในทันที เขาทราบว่าแม่ทัพหลิวผู้นี้แต่งงานกับบุตรของเมิงฉี แต่ไม่คิดว่านางจะมีใบหน้างดงามกว่าคนที่เขากำลังจะทาบทามมาเป็นพระชายารอง
‘เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน หากรู้ว่าบุตรสาวสกุลเมิ่งมีคนงามเช่นนี้ ข้าคงจะรีบตัดสินใจเลือกนาง ก่อนที่จะส่งไปที่จวนแม่ทัพของหลิวเว่ยหยาง’
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ จริงสิข้ารู้แล้วขอบใจมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เมิ่งหลินอิง ฮูหยินแม่ทัพพิทักษ์ดินแดนหลิวเว่ยหยาง วันนี้ที่เรียกพวกเจ้าเข้าวังมา ก็เพื่อจะมอบตราตั้งระดับสี่ให้ ในฐานะที่สกุลเมิ่งช่วยเหลือราชสำนักและกองทัพของเมืองต้าเฟิงของเรา สนับสนุนเสบียงและยาเพื่อบรรเทาภัยในกองทัพ ที่กำลังจะทำศึกในอีกสิบวันข้างหน้า”
“เมิ่งหลินอิงรับตราตั้ง”
นางหันไปมองหลิวเว่ยหยางที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ เขามิได้ทำสีหน้าอื่นนอกจากวางเฉย นางเดินไปตรงหน้าพระพักตร์ และรับถาดที่วางตราประทับพร้อมกับหนังสือแต่งตั้งไว้ เมื่อนางรับมา ท่านอ๋องกลับไม่ยอมปล่อย
“เมิ่งหลินอิง… เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเลยเล่า”
หลินอิงตกใจเมื่อท่านอ๋องตรัสถามเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มหันไปมองแต่ก็มิได้แสดงอาการใด ส่วนขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง ต่างส่ายศีรษะกับกิริยาเช่นนี้ ซึ่งท่านอ๋องมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อพบหญิงงาม
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉัน…”
นางดึงถาดที่มีตราตั้งอยู่ออกมาได้ และเดินกลับไปหาท่านแม่ทัพทันที เขามิได้ช่วยหรือรู้สึกอะไรกับท่าทางสั่นกลัวจนใบหน้าซีดเซียวของนาง ทำเพียงแค่พาเดินกลับไปที่นั่ง เพื่อดื่มฉลองเท่านั้น
“คนสารเลว”
“เขาได้ยินนะ เจ้าพูดเบาลงหน่อย”
หลินอิงยิ่งมองความเย็นชา ของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางก็ยิ่งรู้สึกโกรธและน้อยใจมากขึ้น เขาไม่แม้แต่จะช่วยนางเลยด้วยซ้ำ ต่อหน้าท่านอ๋อง หลิวเว่ยหยางเองก็ไม่ต่างกับขุนนางคนอื่น ๆ สินะ
“เอาล่ะในเมื่องานพิธีการอื่น ๆ ก็จบลงแล้ว วันนี้ข้าขอดื่มให้กับฮูหยินตราตั้งทุกคน เพื่อแสดงความยินดี ดื่ม!”
หลินอิงแทบจะไม่มีแรงยกจอกสุราขึ้นมา มือนางเย็นจนสั่นเพราะความกลัวเมื่อครู่ แต่แม่ทัพหลิวกลับหันมาตำหนินาง
“ไม่ได้ยินหรือ ต่อให้ต้องแกล้งยกจอกเปล่า เจ้าก็ต้องยกขึ้นมา เร็วเข้า”
หลินอิงพลันกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้ายไปกว่าการเมินเฉยของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางอีกแล้ว ในเวลานี้หวังเพียงแค่ให้เขาเป็นกิ่งไม้ที่ให้นางเกาะชั่วคราว แต่ก็ดูจะเป็นเพียงกิ่งที่หักตามลมและพร้อมจะหักมาทับนางตายให้เร็วขึ้นเสียมากกว่า
“จริงสิแม่ทัพหลิว เจ้าพึ่งแต่งงานใหม่ แต่เหตุใดดูสีหน้าไม่ค่อยพอใจเลยเล่า หรือว่าไม่พึงใจกับงานแต่งที่ข้ามอบให้”
แม่ทัพหนุ่มวางจอกสุราลง ราวกับข่มอารมณ์เอาไว้เต็มที่ เขาหันไปยิ้มเย็น ๆ ให้กับผู้ที่ถามและคำนับอีกครั้ง
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่มีความสุขมาก จนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ต่างหาก ขอบพระทัยที่ทรงกังวลแต่กระหม่อมและฮูหยิน พวกเรารักใคร่กันดี”
“งั้นหรือ ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่พึ่งใจ หากเป็นเช่นนั้นวันนี้จะได้ตัดสินใจขอฮูหยินของเจ้ามาแทน ฮ่า ๆ ดูเจ้าสิ ข้าแค่ล้อเล่น ล้อเล่นน่ะ อย่าคิดจริงจังสิ ดื่ม…”
“ท่านอ๋องทรงมีอารมณ์หยอกล้อเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะออกศึกแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อแม่ทัพหลิวเอ่ยขึ้น ทั้งห้องโถงจัดเลี้ยงก็เงียบกันหมด เจิ้งหร่วนอวี้กัดกรามแน่นและยิ้มน่าเกลียดออกมา หลิวเว่ยหยางเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้ ทั้งคู่กำลังใช้สายตาทำศึกที่ไร้ดาบกันอยู่เงียบ ๆ
“หึหึ แม่ทัพหลิว แม้ว่าจวนฮูหยินของเจ้า จะช่วยเหลือกองทัพสร้างคณูปการมากมาย จนได้รับตำแหน่งฮูหยินตราตั้ง แต่เจ้าคงไม่ลืมสินะว่าหน้าที่ออกศึกนี้เป็นของผู้ใด”
หลินอิงได้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ นางรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง ทุกเวลาที่อยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะเหมือนเป็นการพูดคุยกันปกติ แต่ดูเหมือนท่านอ๋องจะไม่คิดที่จะปล่อยแม่ทัพหลิวไปเลยแม้แต่น้อย
“จริงสิข้าได้ข่าวมาอีกว่า ฮูหยินที่เจ้าแต่งเข้าจวนมา ที่จริงนางเป็นบุตรของอนุอีกคนในจวนสินะ”
เมื่อเริ่มเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น หลินอิงที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจานอาหารตรงหน้าก็เริ่มโกรธ ท่านอ๋องผู้นี้ไม่เพียงไม่ให้เกียรติแม่ทัพหลิว แต่เริ่มจะพานมาถึงนางด้วย เสียงซุบซิบดังขึ้น เพราะท่านอ๋องเลือกจะใช้หัวข้อนี้ โจมตีแม่ทัพหลิว เพราะเขาเถียงไม่ชนะ
“แย่จริงเจ้าโกรธเสียแล้วหรือเว่ยหยาง ไม่เอาน่าข้าก็แค่…ล้อเล่นเท่านั้น เมิ่งหลินอิงเจ้าคิดว่าอย่างไร การที่เจ้าแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพ แลกกับการช่วยเหลือเพื่อให้ได้ตราตั้งนี้ เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่”
นางหันไปเห็นหลิวเว่ยหยางกำหมัดแน่น เขาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วกับการดูถูกของท่านอ๋อง นางจึงรีบลุกขึ้นมาและคุกเข่าตรงหน้าท่านอ๋อง
“เจ้าจะไปไหน”
“ปล่อยข้า”
“เมิ่งหลินอิง นี่เจ้าจะทำอะไร”
“ทูลท่านอ๋อง พระองค์ทรงกล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องที่พระองค์ตรัสมาทั้งหมด ล้วนไม่มีสิ่งใดที่ตรัสผิดเลยแม้แต่น้อย”
“ฮ่า ๆ ใช่หรือไม่ข้าเองก็รู้ดี เจ้ายอมรับเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“เพียงแต่ว่า… เงื่อนไขนี้เป็นข้อตกลงระหว่างบิดาของหม่อมฉัน กับทางการซึ่งเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและราษฎร"
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่เมิ่งหลินอิง”
"หม่อมฉันเห็นว่า แม่ทัพหลิวเห็นแก่บ้านเมืองและราษฎรเป็นหลัก ดังนั้นเขาจึงยอมที่จะเสียสละตัวเอง ในสิ่งที่คนขี้ขลาดบางคนไม่มีทางกล้าทำ ท่านอ๋องเห็นด้วยกับหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ”
รสรักที่นางมิเคยได้ลิ้มลอง เมื่อท่านแม่ทัพเริ่มลาดเลื้อยนิ้วสากไปตามเรือนร่างของนาง และหยุดที่ปทุมคู่สวยอีกครั้ง นางก็รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้ว“อย่าเกร็งมาก ข้าจะค่อย ๆ เข้าไป”“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”เพียงแค่แท่งร้อนที่ทั้งใหญ่และดุดันนั้นสอดเข้ามา หลินอิงก็เริ่มจิกนิ้วมาที่ไหล่กว้างของเขา นางรู้สึกเจ็บและประหม่าเล็กน้อย แต่เขาก็มิได้ทำให้นางทรมานอยู่นาน เพราะหลังจากความเจ็บในสัมผัสแรก จากนั้นทั้งคู่ก็หลงลืมวันเวลาอยู่บนเตียงอุ่น ท่ามกลางเสียงร่ำร้องฉลองชัยชนะในคืนนี้“อื้อ…ทะ ท่านพี่ อื้อ”จูบหนักแน่นและพร้อมจะดูดกลืนนางได้ทั้งตัว ถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลินอิงแทบจะรับศึกรักนี้ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่เขาจับนางเปลี่ยนท่า ยกขาขึ้นพาดบ่า จับให้นอนตะแคงโดยมีเขาสวมกอดอยู่ด้านหลัง แรงกระแทกมาแต่ละครั้งหนักแน่นและดุดันสมกับเป็นขุนศึกผู้กล้า เสียงลมหายใจร้อนรดมาที่ซอกคอ ตามด้วยริมฝีปากเย็นที่ฝังแน่นตามลงมา“ข้า…อ๊าาา ท่านพี่เจ้าคะ”มีเพียงเสียงลมหายใจแหบต่ำของเขาเป็นคำตอบ ว่านางยังพักไม่ได้ หากเขาไม่อนุญาต ร่างบางเกร็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาส่งนางไปถึงฝั่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองพึ่งจะคำรามออกม
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ เว่ยหยางหันไปมองที่ยอดเขาซึ่งเขาเคยพานางมา และเขาก็เห็นว่าผู้ที่ยิงธนูช่วยเขาเมื่อครู่นี้ มิใช่ทหารของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเล็งได้ตรงจุดแต่กำลังก็มิได้ทำให้ฆ่าคนตายได้ แค่หยุดพวกเขาเอาไว้ได้เท่านั้น“เมิ่งหลินอิง เจ้านี่อยู่เฉยไม่ได้เลยจริง ๆ”ค่ายทหารเมื่อกองทัพเริ่มทยอยเข้ามาในค่ายทหาร แม่ทัพหลิวก็ถูกนำมาที่กระโจมเพื่อทำแผลทันที หลินอิงวิ่งเข้ามาหลังจากที่ท่านหมอทำแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว“จากนี้คงต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาเช้าเย็น อาการอย่างอื่นไม่มีอะไรหนักหนามากขอรับ”“ขอบคุณท่านหมอ”เมื่อหมอและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว เพราะเย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่ชนะศึก และทุกคนจะได้กลับบ้าน จึงทำให้ไม่มีใครอยากจะอยู่แต่ในกระโจม หลินอิงเดินเข้ามา และมองไปที่เว่ยหยางซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกข้าว่าแผลที่ไหล่ของท่านไม่ลึกมาก แค่ใส่ยาก็หาย”“วันนี้เจ้าไปไหนมา”“ข้า…”“อย่าได้คิดจะโกหกข้าเชียว กุนซือเผิงช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ”“ท่านโกรธข้าหรือ”“เจ้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย หากว่ามิใช่กองทัพของข้าแล้วละก็”“แต่ที่นั่นทั้งสูงและปลอดภัย กองทัพที่เหลือ
วันถัดมา“ท่านแม่ทัพ ท่านมั่นใจแล้วหรือที่จะ เอ่อ…”“กุนซือ ท่านคิดว่าแผนการนี้มีอะไรต้องแก้ไขงั้นหรือ หากว่าท่านมีแผนการอื่น ที่ดีกว่าแผนที่ฮูหยินขอข้าเสนอมา ก็พูดออกมาได้เลย”“แม้ว่าจะดูรอบคอบ แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้ศัตรูเชื่อว่าเรื่องนี้มิใช่กลลวง”“เรื่องนั้นง่ายมาก เราต้องปล่อยข่าวออกไป และให้พวกเขาปล้นเสบียงไปก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาจะเชื่อข่าวเรื่องนี้ทันที”“อะไรนะ เราต้องเสียเสบียงให้ข้าศึกก่อนงั้นหรือ ท่านแม่ทัพนี่มันจะไม่เสี่ยงไปสักหน่อยหรือ”นางกองหวังพูดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าต้องใช้เสบียงจริงในการหลอกล่อ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา แต่กุนซือเผิงอิ้งกลับตบพัด และหันมายิ้มให้กับแม่ทัพหลิวและฮูหยิน“จะตกปลา หากไม่ใช้เหยื่อก็คงไม่ได้ปลาใหญ่ ข้าเข้าใจแผนการของฮูหยินแล้ว นี่ช่างเป็นการพลิกกลยุทธ์ทางการค้ามาใช้กับกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”“ขอบคุณท่านกุนซือ เช่นนั้นแผนการที่เหลือเราก็เร่งวางแผนกันได้แล้วสินะ”“แน่นอนขอรับ”“เช่นนั้นข้าออกไปก่อน”“ไม่ต้องหรอก เจ้าเป็นคนคิดแผนนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ที่จะรู้แผนการทั้งหมด มาเถอะ”แม่ทัพหลิวโอบเอวนางมาที่โต๊ะซึ่งมีแผนที่อยู่ พวกเขาใช้เว
เสียงทุ้มต่ำของหลิวเว่ยหยาง ทำให้นางจำได้ในทันที นางทิ้งกระบอกและมองเขาชัด ๆ อีกครั้ง จื่อรั่วถูกสั่งให้ออกไปรอข้างนอก หลังจากยืนตกตะลึงไปกับน้ำที่สาดออกมาโดนทั้งคู่ “ทะ ท่านแม่ทัพ!”"ข้าเอง"นางโผเข้ากอดเขาในทันที เว่ยหยางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของนางก็รู้ว่าที่จริงแล้ว ฮูหยินของเขากลัวมากเพียงใด อีกอย่างตัวนางที่สั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด“ข้าเองหลินอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ตะ ตัวท่านเปียกไปหมด ข้าขอโทษ ข้าคิดว่าท่านเป็น…เป็น…”“เจ้าใจเย็นก่อน ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นเจ้าอย่าตกใจ เดิมทีแค่คิดจะแวะมาหาเจ้าเท่านั้น แต่ดูท่าตอนนี้คงต้องเปลี่ยนชุดเสียแล้ว”หลินอิงรีบหันไปเตรียมชุดใหม่ให้เขา ระหว่างที่แม่ทัพหลิวเดินไปอาบน้ำที่ห้องด้านหลัง เมื่อเดินออกมาก็เห็นหลินอิงวางชุดใหม่ให้เขา นางกำลังสาละวนทำบางอย่างอยู่ข้างนอก เมื่อเขาเปลี่ยนชุดเสร็จจึงได้เห็นหมั่นโถวที่พึ่งนึ่งออกมาใหม่ ๆ กับหมูแดดเดียวที่แค่เห็นก็รู้สึกน้ำลายสอ“นี่เจ้าเตรียมให้ข้าหรือ”“เจ้าค่ะ ในครัวมีแป้งเหลืออยู่นิดหน่อย ข้าก็เลยรีบไปนึ่งมาให้ ท่านรีบกินก่อนเถอะ”เขานั่งลงและเริ่มกินอีกครั้ง ศึกที่ยืดเยื้อมาหลายวันทำให้เ
“รอบ ๆ ค่ายหรือ แล้วจะไม่เป็นอันตรายหรือเจ้าคะ”“ไม่หรอก รอบ ๆ บริเวณนี้มีทหารอารักขา อีกอย่างที่นี่เป็นเขตของเยี่ยนตู ไปกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”นางเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เมื่อเดินออกมาจื่อรั่วก็ถูกสั่งให้เตรียมม้า เขาก็เตรียมมาสองตัว แม่ทัพหลิวจึงหันมาบอกเขาอีกครั้ง“แค่ตัวเดียวก็พอ ไม่ต้องตามข้าไปหรอก สั่งให้คนเฝ้าที่นี่ดี ๆ ก็พอ”“ขอรับ”จื่อรั่วแอบยิ้ม เมื่อเห็นท่านแม่ทัพและฮูหยิน ที่เอาแต่เดินก้มหน้าเพราะเขาบอกว่าจะใช้ม้าแค่ตัวเดียว นางถูกเขาจูงมือไปที่ม้าตัวโปรดของเขาเอง ก่อนจะอุ้มนางขึ้นไปนั่งและตามขึ้นไปอย่างชำนาญ“จับเอาไว้ให้แน่น แต่อย่าไปดึงแผงคอมันแรงเล่า หากมันเจ็บเดี๋ยวจะวุ่นวาย”“เจ้าค่ะ”เสียงที่กระซิบอยู่ข้างกกหู ยิ่งทำให้หลินอิงรู้สึกวูบวาบจนหมดแรง เขาพานางขี่ม้าออกจากค่าย ตรงไปยังเชิงเขาข้าง ๆ ค่าย ซึ่งแต่เดิมค่ายทหารก็อยู่บนเนินเขาอยู่แล้ว เพื่อมองเห็นศัตรูได้ในระยะไกล เมื่อขึ้นเขาไปอีกไม่นานก็ถึงยอดเขาที่มีต้นไม้ใหญ่และต้นน้ำที่ไหลผ่านด้านหลังค่ายทหาร “สวยมากเลย”“คิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องชอบที่นี่ ข้าเองก็ชอบมาที่นี่เวลาที่ต้องการคิดอะไรบางอย่าง”“ท่านมีอะไรที่คิดไม่ต
“ท่านอย่าโทษคนอื่น เรื่องนี้ข้าคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่มาแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องห้ามด้วย”“แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่เจ้าเดินทางมา จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้าขนส่งเสบียง แต่ขากลับไปเจ้าคิดหรือว่าข่าวจะไม่เล็ดลอดออกไป”“ข้า… ไม่ทันคิดเรื่องนี้ แต่ข้ามีอาวุธ มีคนคุ้มกันข้าขี่ม้าเป็นแล้วก็…”“เหลวไหล! คิดว่าเพียงเท่านี้จะรักษาชีวิตเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ช่างโง่เขลายิ่งนัก”หลินอิงนิ่งไปเมื่อเขาพูดเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าเขาพูดออกมาก็มีความจริงที่นางคิดไม่ถึง แต่ที่สุดแล้วเขามีทางเลือกจะใช้วิธีพูดที่ดีกว่านี้ได้ แต่กลับไม่ทำ“หลินอิง ข้า…ไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านจะสั่งการเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว”“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวก่อน เสร็จแล้วจะได้มานอนพักผ่อน เจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว”นางลุกขึ้นทันที เขาจะเดินมาจับตัวนาง แต่หลินอิงเดินเลี่ยงออกมาทันที เป็นครั้งแรกที่เว่ยหยางรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูกนางเมินเฉย แต่พอนึกย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจที่นางโกรธ“วันนี้มีเนื้อกินแล้ว เจ้ากินมาก ๆ หน่อยร่างกายจะได้อบอุ่น”“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ระหว่างทางข้าเองก็ไม่ได้อดถึงขนาดขาดแคลนอา