ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง
“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา
“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอ
ชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีและมีทักษะการเอาตัวรอดที่ไม่ธรรมดา พอเห็นว่าได้เวลามื้อกลางวันแล้วโม่ชิงเยว่ก็ชวนเด็กๆ เข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมตัวกินมื้อกลางวัน พอตั้งโต๊ะเสร็จชุ่ยเหมยก็กลับมาถึงเรือนในทันทีราวกับนกรู้นางจ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน นั่งลงดื่มน้ำชาแล้วกินข้าวด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสงบนัก พอเด็กๆ แยกย้ายไปนอนกลางวันแล้ว ชุ่ยเหมยจึงได้เอ่ยรายงานสถานการณ์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
“สุ่ยอี๋เหนียงถูกลากตัวไปที่หอลงทัณฑ์ นางไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลยสักนิด อีกทั้งไม่มีโอกาสได้ขอความช่วยเหลือจากสกุลสุ่ยเลยด้วย ยามนี้นางและสาวใช้ล้วนถูกตัดเส้นเอ็นมือและเท้ากลายเป็นคนพิการไปแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยเล่าพลางกลืนน้ำลาย ในใจก็ได้แต่คิดถึงช่วงเวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเคยคิดจะลงมือกับนายหญิงของตน
“เจ้ากำลังคิดว่า ข้าโชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้คิดจะลงโทษข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า
“ใช่ว่านางไม่เคยคิด แต่ข้าไม่ได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวงเฉกเช่นที่นางใส่ร้ายนี่ นอกจากจะไม่มีหลักฐานแล้วเด็กในท้องของข้านางก็รู้ดีว่าเป็นหลานของนางเอง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ บ่าวไม่เข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าเลยสักนิด ในเมื่อรู้ว่าฮูหยินตั้งครรภ์หลานของนางแล้วเหตุใดนางจึงได้ลงมือกับท่านเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
“ข้าเป็นที่รังเกียจในสายตาของนางก็ล้วนเป็นเพราะชาติกำเนิดของข้า บิดาเป็นแม่ทัพก็จริงแต่เขานั้นมาจากชนชั้นกลางที่บังเอิญเชี่ยวชาญเรื่องการศึก ส่วนท่านแม่ของข้าเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ก็จริงแต่ก็เป็นสกุลของพ่อค้า ไม่อาจจะสร้างความมีหน้ามีตาให้แก่บุตรชายของนางได้ ในเมื่อเป็นราชโองการพระราชทานงานมงคลนางไม่มีสิทธิ์ที่จะยกเลิกหรือปฏิเสธลูกสะใภ้เช่นข้า ทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับข้าแต่งเข้าจวนมาด้วยจิตใจอันบอบช้ำ ส่วนสุ่ยอี้โหรวนั้นนางไม่เหมือนข้า เป็นถึงบุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการ มีท่านอาเป็นถึงฮองเฮา การที่นางยอมแต่งเข้ามาเป็นอนุของบุตรชายย่อมจะเป็นการกู้หน้าให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าได้เป็นอย่างดี” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยขมวดคิ้ว
“การที่นางใส่ความข้าเดิมทีก็เพราะอยากจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย แต่ถึงอย่างไรนางก็ไร้หลักฐานที่จะเล่นงานข้าหากลูกชายของนางกลับมาแล้วพบว่าข้าถูกนางเล่นงานอย่างไร้หลักฐานเขาจะต้องมีปากเสียงกับนางเรื่องนี้แน่ มีเพียงการบีบบังคับให้ข้าตายทางอ้อมเพียงเท่านั้นที่นางสามารถทำได้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยจึงได้พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ การถูกส่งตัวมาอยู่ในเรือนอันเปลี่ยวร้างและห่างไกล ถูกตัดขาดทั้งเสบียงอาหารและยารักษาโรค ถ้าฮูหยินของนางเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ที่บอบบางราวกับกิ่งหลิวหากไม่ป่วยตายก็คงจะทนรับความยากลำบากและแบกรับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ไม่ไหวจนต้องฆ่าตัวตายไปเอง ยิ่งในขณะที่ตั้งครรภ์ด้วยแล้วยิ่งมีโอกาสสูงที่จะสิ้นใจ ขนาดคุณหนูของนางที่มีร่างกายแข็งแกร่งราวกับวัว ยังเกือบจะไปเฝ้ายมบาลมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกก็คือตอนที่คลอดคุณหนูและคุณชาย ส่วนครั้งที่สองก็คือการล้มป่วยหนักเมื่อไม่นานมานี้
“ส่วนสุ่ยอี้โหรวนั้นไม่เหมือนกัน ยิ่งฮูหยินผู้เฒ่ามีความภาคภูมิใจในตัวลูกสะใภ้มากเท่าไหร่ ยามที่รู้ตัวว่าถูกหักหลังความโกรธแค้นและความเสียใจก็ยิ่งมากเป็นเท่าตัว ในเมื่อมีพร้อมทั้งพยานและหลักฐาน อีกทั้งความมีหน้ามีตาที่เคยได้รับจากสุ่ยอี้โหรวนั้นถูกฉีกกระชากออกมาอย่างไม่เหลือชิ้นดีก็เป็นเรื่องปกติที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะลงมือจัดการขั้นรุนแรง การที่สุ่ยอี้โหรวยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้น่าจะเพราะยังหวั่นเกรงว่าบุตรชายจะรับไม่ได้ที่นางในดวงใจของเขาตาย หรือไม่ก็หวั่นเกรงว่าสกุลสุ่ยจะเอาเรื่อง” โม่ชิงเยว่เอยพลางร้อง เฮอะ! ออกมาเมื่อคิดว่าสามีของนางจะมีท่าทีเช่นไรหากรู้ว่าคนรักของตนถูกตัดเส้นเอ็นเพราะคบชู้
“หากข้าเดาไม่ผิด อีกไม่นานสุ่ยอี้โหรวก็คงจะป่วยตายอยู่ในศาลบรรพชนแห่งนั้นนั่นแหละ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ ชุ่ยเหมยก็พลันส่ายหน้า
“สตรีในเรือนหลังมีความโหดเหี้ยมที่ไม่ธรรมดา มิน่าเล่าโม่ฮูหยินจึงได้สั่งสอนให้ท่านพยายามเจียมเนื้อเจียมตัว วางตัวเป็นกุลสตรีที่ดีและที่สำคัญต้องพยายามเข้ากับแม่สามีให้ได้” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ
“เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนั้น แต่พอตนเองเคยเฉียดเข้าใกล้ประตูนรกมาแล้วข้าจึงพึ่งจะคิดได้ ชีวิตนี้เหตุใดจะต้องพึ่งพาความโปรดปรานของผู้อื่น ในเมื่อเข้ากับแม่สามีไม่ได้ก็ทำให้มันแตกหักกันไปเสียเลยสิกับสามีก็เช่นกัน ต่อให้เป็นสมรสพระราชทานแล้วอย่างไร แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกือบถึงแก่ความตายเช่นนี้ข้าคิดว่าฝ่าบาทไม่มีทางไม่เห็นด้วยกับการหย่าร้างหรอก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าแม้จะคิดว่าสตรีในแคว้นเหลียนหากผู้ใดถูกสามีหย่าร้างชั่วชีวิตหลังจากนั้นล้วนจะหลีกหนีความตายไม่พ้น แต่หากเป็นนายหญิงของนางไม่แน่ว่าต่อให้ผ่านการหย่าร้างไปแล้วย่อมจะต้องสามารถสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับตนเองได้แน่
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ