เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที
“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที
“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเตียงของนางทั้งสามคนล้วนคุ้นตาอีกทั้งเนื้อตัวของพวกเขาก็เปลือยเปล่า สีหน้าของพวกเขาบ่งบอกได้ว่าไม่น่าจะมีลมหายใจแล้ว กระบี่ที่วางอยู่บนเตียงทำให้นางตื่นตระหนกนางรีบหยิบกระบี่ขึ้นมาดูแล้วจ้องมองบาดแผลบนร่างกายของสามคนนั้น ในใจของนางก็ได้แต่คิดว่า ‘แย่แล้ว ข้าถูกเล่นงานกลับแล้ว’
“อี้โหรว! เหตุใดจึงได้ทำเรื่องงามหน้าเช่นนี้” เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวรีบหลั่งน้ำตาออกมาในทันที ในใจก็ได้แต่ตื่นตระหนกและคิดว่า ว่าแย่แล้วนางถูกผู้อื่นพบเห็นในสภาพนี้ต่อให้ปลิดชีพของตนเองก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากมลทินนี้แน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้มาถึงเรือนของนางอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“ท่านแม่ข้าถูกผู้อื่นใส่ร้าย” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว
“ผู้ใดจะใส่ร้ายเจ้ากัน ทำชั่วในเรือนแล้วยังคิดจะป้ายสีผู้อื่นอีกหรือ” เสียงตวาดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวส่ายหน้า
“จะต้องเป็นโม่ชิงเยว่แน่ๆ เจ้าค่ะ นางเกลียดชังข้าก็เลยป้ายสีข้า” เมื่อสุ่ยอี้โหรวพูดเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ขมวดคิ้ว เฉินมามาที่ยืนอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือนในทันที
“แค่ตัวนางกับลูกยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วจะกล้าลักลอบวางแผนเล่นงานสุ่ยอี๋เหนียงได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” เสียงของเฉินมามาทำให้สุ่ยอี้โหรวหันไปจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ ยามปกติมามาผู้นี้มักมักจะปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่เคยมีปากมีเสียงแล้วเหตุใดวันนี้จึงได้กล้าพูดจายั่วยุออกมาได้เช่นนี้
ส่วนเฉินมามานั้นยามนี้นางทำสีหน้าสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เมื่อเช้านี้สาวใช้ของเรือนเหมันต์นำเงินมาให้นางถุงใหญ่ บอกให้นางพาฮูหยินผู้เฒ่ามาที่เรือนของสุ่ยอี๋เหนียงแต่เช้าก็พอ ยิ่งถ้าทำให้สุ่ยอี๋เหนียงได้รับโทษทัณฑ์ในฐานะที่คบชู้ได้นางก็จะได้รับเงินอีกก้อนในภายหลัง แม้ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่านางจะได้รับเงินอีกก้อนจริงหรือไม่ แต่เงินที่นางได้มาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางกล้าทดลองพูดจาเข้าข้างคนของเรือนเหมันต์ดู
“สุ่ยอี้โหรว เสียทีที่เป็นคุณหนูจากจวนของเจ้ากรมพิธีการ ถือโอกาสที่ลูกชายของข้าไม่อยู่คบชู้เช่นนี้ คอยดูนะข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี!” ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนตัวสั่น นางทั้งไว้ใจทั้งเอ็นดูสตรีผู้นี้แต่ยามนี้กลับถูกหักหลังต่อหน้าต่อตาแล้วจะไม่ให้นางโมโหโกรธาได้อย่างไร
“ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าคะ” สุ่ยอี้โหรวส่ายหน้าพลางร้องไห้ออกมา ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นว่าในมือของนางยังคงถือกระบี่อยู่ มีชายหนุ่มเนื้อตัวเปล่าเปลือยที่นอนอยู่บนเตียงของนางและดูเหมือนว่าพวกเขาไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรีบสั่งให้คนช่วยกันจับตัวของสุ่ยอี้โหรวในทันที
“ยังไม่รีบจับตัวนางเอาไว้อีกจะให้นางมาฆ่าปิดปากข้าด้วยอีกคนหรืออย่างไร” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้บรรดาสาวใช้ในเรือนต่างหันไปจ้องมองกัน ช่วงสามปีมานี้อำนาจการควบคุมเรือนล้วนอยู่ในมือของสุ่ยอี้โหรว แต่ยามนี้ผู้ออกคำสั่งคือฮูหยินผู้เฒ่าพวกนางจึงไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่
“ยังไม่รีบลงมืออีก อย่าลืมสิว่าฐานะของนางเป็นแค่เพียงอนุเท่านั้น ผู้ที่เป็นใหญ่อย่างแท้จริงในจวนแห่งนี้ไม่ใช่นาง” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยจบพวกนางก็รีบพุ่งตัวเข้าไปแย่งกระบี่ในมือของสุ่ยอี้โหรวแล้วช่วยกันจับตัวของสุ่ยอี้โหรวเอาไว้ในทันที
“ท่านแม่ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ” สุ่ยอี้โหรวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฐานะของนางเป็นแค่เพียงอนุหากถูกตัดสินว่าคบชู้สู่ชายขึ้นมาจริงๆ คงได้ถูกลงโทษด้วยกฎประจำสกุลแน่
“อย่ามาแก้ตัว หลักฐานก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด เมื่อเช้านี้นางตั้งใจว่าจะมาตำหนิสุ่ยอี้โหรวเรื่องที่สุ่ยอี้โหรวใช้เงินไปซื้อของสิ้นเปลืองจำพวกผ้าปักที่สุดแสนจะมีราคาแพงเหล่านั้นให้บุตรสาวของนาง คิดไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึงเรือนจะพบว่าอนุของลูกชายจะอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้แถมยังลงมือฆ่าคนปิดปากต่อหน้านางอีกด้วย
“เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไป ลงโทษนางตามกฎของสกุลในทันที โบยตีให้หลาบจำตัดเส้นเอ็นมือและเท้าให้หมดแล้วโยนเข้าศาลบรรพชนเสีย” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้โหรวก็ตวาดออกมาในทันที
“ไม่ได้นะ ท่านจะมาตัดสินโทษข้าเช่นนี้ไม่ได้ นี่มันเป็นเรื่องที่จงใจใส่ร้ายกันชัดๆ ท่านมองไม่ออกหรือท่านแม่” ถ้อยคำประโยคนี้โม่ชิงเยว่เคยใช้ในตอนที่นางถูกใส่ความว่าตั้งครรภ์ลูกของชายอื่นและนางก็รอดพ้นจากการถูกลงทัณฑ์ไปอย่างลอยนวล สุ่ยอี้โหรวจึงได้นำมาใช้บ้าง
“ทำไมจะไม่ได้ หลักฐานก็เห็นกันอยู่คาตา สุ่ยอี้โหรวเจ้ามันผู้ดีจอมปลอมโดยแท้ ฉากหน้าก็วางตนสูงส่งแต่ฉากหลังช่างเน่าเฟะน่าขยะแขยงสิ้นดี ข้าน่าจะสังหรณ์ใจสักนิดว่าทำไมคุณหนูสกุลใหญ่เช่นเจ้าจึงได้ยอมลดตัวลงมาเป็นแค่เพียงอนุ ที่แท้ก็เพราะเจ้ามันเน่าเฟะมาก่อนแล้วจึงได้มักน้อยเช่นนี้” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวตวาดออกมาในทันที
“หยุดนะ นังแก่โง่เง่า ข้าถูกใส่ร้ายเจ้ามองไม่ออกหรือ คนสติดีที่ไหนจะนำศพผู้ชายถึงสามคนมาไว้บนเตียงเช่นนี้” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
“ได้! ข้าโง่ ข้ามันโง่ที่นำเจ้าเข้าจวน ลูกชายของข้าทะเลาะกับข้าก็เพราะข้าแต่งเจ้าเข้ามาให้เขา แล้วยามนี้เจ้ายังกล้ามาสวมเขาให้เขาอีก เจ้าทำให้ข้ารู้สึกเวทนาตนเองจริงๆ ยังไม่รีบจับตัวนางไปที่หอลงทัณฑ์อีก” ประโยคหลังฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งบรรดาสาวใช้ด้วยน้ำเสียงดุดัน "รีบลงมือสิ!"
“พวกเจ้ากล้าหรือ ข้าคือบุตรสาวเจ้ากรมพิธีการและเป็นหลานสาวสายตรงขององค์ฮองเฮานะ” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา
“เรื่องงามหน้าที่เจ้าทำ สกุลสุ่ยต่างหากที่จะต้องมาขอขมาข้า แล้วข้ายังจะต้องเกรงกลัวสกุลสุ่ยของพวกเจ้าอีกหรือ นำตัวนางไป” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ สุ่ยอี้โหรวก็หันไปออกคำสั่งกับตงฮวาในทันที
“เจ้ารีบไปบอกท่านพ่อ ว่าข้าถูกคนในจวนนี้เล่นงาน” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวแม้ว่าจะไม่ดังมากนักแต่เฉินมามากลับได้ยินอย่างชัดเจน
“จับตัวสาวใช้นางนั้นเอาไว้ ฮูหยินถ้านางออกไปส่งข่าวได้เจ้ากรมพิธีการคงจะต้องยื่นมือเข้ามาสร้างความวุ่นวายในจวนของพวกเราแน่ ถึงยามนั้นเรื่องชั่วร้ายเหล่านี้ก็คงจะไม่รอดพ้นหูตาของคนนอก” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“จับตัวนางไว้ บุรุษสามคนนี้ข้าจำหน้าได้ พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทข้างกายสุ่ยอี้โหรว พวกเขาวนเวียนข้างกายนางมาโดยตลอดและสาวใช้นางนี้ก็น่าจะรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องชั่วช้านี้ จับตัวนางไปที่หอลงทัณฑ์ด้วย ตัดเส้นเอ็นมือ เส้นเอ็นเท้าและตัดลิ้นของนางออกด้วย แล้วจับนางโยนเข้าไปในหอบรรพชนเพื่อเป็นการลงโทษที่รู้เห็นเป็นใจให้นายของนางทำชั่ว” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ตงฮวาทำท่าจะวิ่งหนีแต่กลับถูกจับตัวเอาไว้ได้
“ยังมีผู้ใดรู้เห็นเป็นใจอีกไหม หากข้ารู้ว่ามีผู้ใดกล้าเล็ดลอดออกจากจวนไปแพร่งพรายเรื่องในจวนให้ผู้อื่นรู้ รับรองได้เลยว่าข้าจะทำให้พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลยตลอดชีวิต” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้บรรดาสาวใช้ภายในเรือนก็ต่างเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนสุ่ยอี้โหรวและสาวใช้ของนางยามนี้ถูกลากตัวไปที่หอลงทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ
ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา
อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ
เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค
ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไขช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่าตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามี
เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็ก