Share

บทที่ 2 ดูแลตนเองและลูก

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-20 12:13:47

เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด

“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง

“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”

“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้

“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง

“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็กๆ ของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

“แม่กำลังจะหายดี พวกเจ้าไม่ต้องกังวลนะ อีกไม่นานแม่ก็จะหายแล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้เด็กทั้งสองก็พยักหน้า

“ข้าคิดว่าท่านแม่จะตายเสียแล้ว” เมื่อซ่งจื่อเยว่พูดเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า

“แม่จะไม่ตาย แม่จะต้องอยู่เลี้ยงดูพวกเจ้าจนเติบใหญ่ให้ได้” นางพูดพลางยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา แต่ซ่งจื่อเยว่กลับขยับตัวหนี

“ท่านแม่เป็นไข้อยู่...” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ

“ใช่แล้วแม่เป็นไข้อยู่ พวกเราต้องอย่าใกล้ชิดกันมาก ถ้าอย่างนั้นแม่จะนั่งอยู่ตรงนี้รอพี่ชุ่ยเหมยก็แล้วกันนะ” โม่ชิงเยว่พูดพลางค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น แล้วเกาะผนังเดินไปนั่งบนเก้าอี้ สายลมอันเหน็บหนาวที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างทำให้นางต้องสั่นสะท้านออกมาเมื่อร่างกายปะทะเข้ากับความหนาวเย็น ซ่งจื่อเหยารีบขยับตัวแล้วเดินมาดึงหน้าต่างปิดให้สนิท ส่วนซ่งจื่อเยว่กำลังลากผ้าห่มที่ทั้งหนาและหนักมาหานาง ซ่งจื่อเหยาปิดหน้าต่างจนสนิทดีแล้วนางก็ไปช่วยน้องชายฝาแฝดของนางลากผ้าห่มที่ทั้งหนาและหนักมาห่มให้มารดาของพวกเขา

“ขอบใจมาก พวกเจ้าช่างดีจริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้เด็กทั้งสองก็ต่างยิ้มออกมา แม้ว่าจะเป็นเด็กฝาแฝดชายหญิง แต่ใบหน้าน้อยๆ ของคนทั้งคู่แทบจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้รูป เรียวปากเล็กและเรียวบาง โครงหน้านี้ไม่ใช่ของนางแต่กลับถอดแบบมาจากพ่อของพวกเขามาทุกกระเบียดนิ้ว

นิ่งอันโหว ซ่งเหวินจิ้งคือแม่ทัพแดนใต้ที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการประทานสมรสให้ ตอนที่ได้รับราชโองการโม่ชิงเยว่ที่พึ่งจะสูญเสียบิดาจิตใจยังเคว้งคว้างก็พลันคิดว่าตนเองกำลังจะมีที่พึ่งพาแล้ว แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือในวันที่นางแต่งงานทางจวนสกุลซ่งก็แต่งอนุเข้ามาในวันเดียวกัน สามียังไม่ทันได้ร่วมหอก็ถูกตามไปที่เรือนฝูโซ่วแล้วก็ไม่ได้กลับมาทั้งคืน พอเช้าวันรุ่งขึ้นยามที่นางไปคารวะน้ำชาแม่สามี จึงได้รู้ว่าคืนนั้นสามีของนางไม่ได้อยู่ที่เรือนฝูโซ่วอย่างที่นางเข้าใจ แต่กลับไปอยู่กับอี๋เหนียงสกุลสุ่ยที่เรือนของนาง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดใจมากเพียงใดแต่โม่ชิงเยว่ก็จำต้องพยายามกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้

“พี่หญิงอี้โหรวช่างดีนักไม่คำนึงว่าเป็นวันมงคลของตนเอง มาเฝ้าดูแลท่านแม่เป็นอย่างดีพี่ใหญ่เห็นใจในความกตัญญูของนางจึงอาสาไปส่งที่เรือน แล้วหลังจากนั้น... ท่านก็คิดเอาเองก็แล้วกัน” นี่คือคำพูดของซ่งเหวินหนิง น้องสาวของสามีที่นางพึ่งได้พบหน้า ตอนนั้นนางจึงพึ่งจะรู้ว่าอี๋เหนียงสกุลสุ่ยแท้จริงแล้วคือเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของสามี เพราะราชโองการฉบับนั้นทำให้แผนการที่ทั้งสองจวนวางแผนเอาไว้ต้องสั่นคลอนแล้วผลสุดท้ายสุ่ยอี้โหรวก็ต้องลดฐานะของตนเองแต่งเข้ามาเป็นอนุ

ในเมื่อตนเองคือคนที่เข้ามาแทรกระหว่างกลางและทำลายวาสนาของผู้อื่นโม่ชิงเยว่จึงไม่คิดจะแย่งชิงความสนใจกับผู้อื่น นางก็อยู่ของนาง ส่วนสุ่ยอี้โหรวก็อยู่ในที่ของนาง เพียงแต่ความรังเกียจที่แม่สามีมอบให้มานางจะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ ในเมื่อนางต้องอาศัยอยู่ภายใต้จวนแห่งนี้ เพียงแต่ยิ่งเอาอกเอาใจนางก็ยิ่งถูกตั้งแง่รังเกียจ ยิ่งมีคนคอยเปรียบเทียบนางก็ยิ่งดูย่ำแย่ในสายตาของคนทั้งจวน ส่วนสามีของนางน่ะหรือน้อยครั้งนักที่จะได้อยู่ร่วมกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางคือฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของเขา นางคิดว่าเขาคงจะไม่มีวันย่างกรายเข้าไปในเรือนของนางแน่

โม่เหิงผู้เป็นบิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่ทิศอุดร พอเขาล้มป่วยและตายจากไปกองทัพของเขาก็ไร้คนคอยควบคุม นิ่งอันโหวในฐานะที่เป็นบุตรเขยจึงเหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปดูแลจัดการความเรียบร้อยในกองทัพ นี่คือเหตุผลหลักที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการพระราชทานการสมรสในครั้งนี้ นางที่เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในกระดานหมากแห่งอำนาจของบุรุษจะสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้ ทำได้แค่เพียงใช้ชีวิตเป็นฮูหยินจวนโหวที่สามีไม่โปรดปราน แม่สามีรังเกียจ มีน้องสาวของสามีคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ อีกทั้งยังมีอนุหน้าตางดงามมาคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี โม่ชิงเยว่จึงอาศัยอยู่จวนโหวแห่งนี้อย่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งพอสามีนำทัพไปออกรบชีวิตของนางก็ยิ่งย่ำแย่ หนำซ้ำยังตั้งครรภ์ตอนที่สามีไม่อยู่แน่นอนว่าย่อมจะต้องเกิดคำครหา แม่สามีที่เดิมทีคิดจะหาเรื่องนางอยู่แล้วย่อมจะต้องใช้เรื่องนี้โยนบาปมาใส่ศีรษะนางและลูกที่ยังไม่เกิด แม้ว่านางจะบอกแล้วว่าเด็กในครรภ์ของนางได้มาจากตอนก่อนที่สามีจะออกรบก็หามีใครเชื่อนางไม่ นางจึงถูกส่งมาอยู่ในเรือนเหมันต์ที่ทั้งเหน็บหนาวและห่างไกล

ทางเรือนใหญ่ตัดการช่วยเหลือนางทุกทาง มีเพียงชุ่ยเหมยที่ติดตามนางมาเพียงเท่านั้นที่คอยช่วยดูแลนางและลูก เพราะคิดว่ายามที่สามีกลับมานางคงจะหลุดพ้นจากมลทินในครั้งนี้ได้นางจึงสู้อดทนเลี้ยงลูกอย่างยากลำบาก เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองปีแล้วแต่สามีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมายามนี้นางเริ่มคิดได้แล้ว จะทนรอเขาไปอีกทำไมในเมื่อนางเองก็สามารถเลี้ยงดูลูกๆ ได้ เพียงแต่ตอนนี้นางคงต้องรีบดูแลร่างกายของตนเองให้หายดีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกๆ แล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status