Home / รักโบราณ / ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์ / บทที่ 3 ชุ่ยเหมยสาวใช้ผู้ภักดี

Share

บทที่ 3 ชุ่ยเหมยสาวใช้ผู้ภักดี

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-20 12:14:10

ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไข

ช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่า

ตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามีจึงไม่คิดจะกลืนน้ำลายตนเองด้วยการมาอุ้มหลานชายที่ตนเองประกาศว่าเกิดจากชายชู้กลับไปเลี้ยงดู ดังนั้นซ่งจื่อเยว่จึงยังคงได้อยู่กับนางที่เรือนแห่งนี้และถูกตราหน้าว่าเป็นลูกของชายชู้จากคนทั้งจวน

แน่นอนว่าเรื่องที่นางถูกกล่าวหาว่าคบชู้ผู้คนภายนอกต่างไม่รับรู้ รู้แค่เพียงว่าจวนโหวแห่งนี้ยังคงถูกปกครองโดยฮูหยินผู้เฒ่า โดยมีอี๋เหนียงจากสุ่ยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ามาคอยช่วยเหลือ ส่วนนางที่เป็นฮูหยินของท่านโหวนั้นเพราะสุขภาพไม่ค่อยดีจึงได้เก็บตัวพักรักษาตัวอยู่แต่ในจวนตั้งแต่แต่งเข้ามาไม่เคยย่างเท้าออกจากจวนเลยสักก้าว นานวันเข้าผู้คนที่อยู่นอกจวนก็ต่างลืมไปแล้วว่าในจวนแห่งนี้ยังมีนางอยู่ แม้แต่เรื่องที่นางมีลูกผู้คนในจวนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกไป ฐานะของลูกๆ ของนางนั้นไม่ชัดเจนผู้คนในจวนต่างก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่ง นานวันเข้าผู้คนในจวนก็แทบจะไม่มีผู้ใดในจวนกล้าพูดถึงฮูหยินของจวนเช่นนางอีก

“ฮูหยินบ่าวต้มยาให้ท่านแล้ว ท่านดื่มสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยพูดพลางวางถ้วยยาเอาไว้ตรงหน้าของโม่ชิงเยว่ นางเอื้อมมือไปยกถ้วยยาขึ้นมาดื่มความขมของยาทำให้นางรู้สึกยากจะทานทน แต่เมื่อคิดถึงสภาพร่างกายของตนเองในยามนี้นางก็รีบกลืนยาขมๆ ถ้วยนั้นลงคอไปจนหมด

“เจ้าเองก็รีบกินข้าวเถอะ ประเดี๋ยวจะหายร้อนหรอก” โม่ชิงเยว่ชี้ให้ชุ่ยเหมยนั่งร่วมโต๊ะกับนางและลูก สาวใช้ผู้นี้ท่านพ่อของนางมอบให้นางตอนที่นางมีอายุได้สิบขวบ จะเรียกว่าสาวใช้ก็ไม่ถูกต้องนักต้องเรียกนางว่าผู้คุ้มกันจึงจะเหมาะสมกว่า แต่เพราะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับนางนานวันเข้ากลิ่นอายชาวยุทธ์ของชุ่ยเหมยก็จางหายไป ยามนี้ชุ่ยเหมยก็มีลักษณะเหมือนกับสาวใช้ทั่วๆ ไปที่มีวิชายุทธ์ติดตัวเพียงเท่านั้น

“บ่าวสลัดคนของสุ่ยอี๋เหนียงได้ที่ร้านขายยา ดูเหมือนพวกเขาจะดีใจกันมากที่ได้รู้ว่าฮูหยินป่วยหนัก” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา

“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินที่ได้รับราชโองการพระราชทานสมรสให้ หากข้าไม่ตายมีหรือนางจะได้ขึ้นเป็นภรรยาเอก ต่อให้พวกนางใส่ร้ายข้าเรื่องที่ข้าตั้งครรภ์ตอนสามีไม่อยู่ แต่ทุกคนต่างก็รับรู้กันดีว่าหากนับวันจริงๆ แล้วลูกของข้าไม่มีทางเป็นลูกชู้ ตอนนี้พวกนางก็แค่ถือโอกาสรังแกข้าในยามที่ท่านโหวไม่อยู่เพียงเท่านั้น” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า

“ฮูหยินอย่าได้คิดมากเลย หากท่านโหวกลับมาเมื่อไหร่สถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นเองเจ้าคะ” นี่คือคำพูดที่ชุ่ยเหมยใช้ปลอบใจนางจนติดปาก

“ก็ไม่แน่ว่าเขากลับมาแล้วจะดีขึ้น เผลอๆ อาจจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่แม่ของเขากำจัดตัวยุ่งยากเช่นข้าในช่วงที่เขาไม่อยู่ ส่วนลูกๆ ของข้าถ้าหากพ่อของพวกเขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไปก็คงจะสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคุณหนูและคุณชายของสกุลใหญ่ทั่วไปได้” โม่ชิงเยว่พูดพลางยิ้มออกมาพลางจ้องมองซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ที่กำลังกินข้าวด้วยความเอ็นดู

“เพียงแต่พวกเราไม่อาจจะตั้งความหวังไว้ที่เขาได้อีกแล้ว ต่อให้เขากลับมาข้าก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดเช่นไรต่อลูกของข้า หากวันหน้าเขามีลูกกับสุ่ยอี้โหรวลูกๆ ของข้าจะเป็นเช่นไรก็สุดรู้ แทนที่จะรอร้องขอความเมตตาจากเขามิสู้ข้าทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้นด้วยน้ำมือของตนเองจะไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพยักหน้าด้วยความยินดี

“บ่าวก็จะช่วยฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะสั่งให้บ่าวทำอะไรบ่าวยินดีจะลงมือทำเพื่อท่าน”

“เช่นนั้นยามนี้เจ้าก็จงไปกินอาหารให้อิ่มท้องก่อนเถิด แล้วหลังจากนั้นพวกเราค่อยมาปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อ” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยจึงได้ไปนั่งลงบนโต๊ะและกินอาหารร่วมกับเด็กๆ

แม้จะบอกกับชุ่ยเหมยว่าหลังนางกินอาหารอิ่มแล้วค่อยมาปรึกษากันว่าจะทำเช่นไร่ต่อไป แต่พอชุ่ยเหมยกินอาหารจนอิ่มแล้วจึงได้พบว่าโม่ชิงเยว่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ไปด้วยความอ่อนเพลียแล้ว นางจึงได้ค่อยๆ ประคองโม่ชิงเยว่เข้าไปในห้องพักเพื่อที่โม่ชิงเยว่จะได้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างสะดวกสบาย

“ข้าเผลอหลับไปหรือ” โม่ชิงเยว่ลืมตาขึ้นมาถามด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ

“เจ้าค่ะ ข้าจะพาท่านไปนอนพักนะเจ้าคะ เมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยพูดคุยกันเจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โม่ชิงเยว่จึงได้พยักหน้ารับ แล้วก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่รู้เลยสักนิดว่ายามนี้มีสายตาสามคู่กำลังจ้องมองนางอยู่ด้วยความห่วงใย

“ท่านแม่จะหายดีใช่ไหม” ซ่งจื่อเยว่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล ชุ่ยเหมยจึงได้ปลอบเจ้านายตัวน้อยด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

“เพื่อคุณหนูทั้งสองแล้ว ฮูหยินจะต้องหายดีแน่เจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ นางติดตามโม่ชิงเยว่มาได้แปดปีแล้ว ทั้งในช่วงเวลาที่โม่ชิงเยว่มีความสุขมากที่สุดและในช่วงที่โม่ชิงเยว่ตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ชุ่ยเหมยล้วนอยู่กับนางด้วยทุกช่วงเวลา ยามนี้จิตใจของเจ้านายอ่อนแอและบอบช้ำอย่างหนักนางย่อมรู้ดี แต่นางเชื่อว่าคนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างนายหญิงจะต้องไม่ยินยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเป็นแน่

หากเป็นสตรีอื่นยามนี้คงจะถูกดินกลบหน้าตั้งแต่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าใส่ความว่าเจ้านายของนางคบชู้ไปแล้ว แต่นายหญิงของนางกลับไม่ยอมแพ้ ทั้งอ้างชื่อเสียงของจวนนิ่งอันโหว ทั้งอ้างบารมีของฝ่าบาทที่ทรงพระราชทานสมรสให้ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะฉวยโอกาสตอนที่ท่านโหวไม่อยู่กำจัดฮูหยินมากเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือขั้นรุนแรงอยู่ดี สิ่งที่ทำได้ก็แค่เพียงขับไล่ให้มาอยู่เรือนเปลี่ยวร้างที่อยู่ท้ายจวนอย่างเรือนเหมันต์เพียงเท่านั้น แถมยังกลั่นแกล้งด้วยการไม่ส่งของกินของใช้มาให้ ตั้งใจสร้างความลำบากให้แก่เจ้านายของนาง โชคดีที่เรือนแห่งนี้อยู่ห่างไกลผู้คน นางจึงสามารถเล็ดลอดออกไปหาซื้อข้าวของมาไว้ใช้สำหรับดำรงชีพได้อย่างไม่ทุกข์ยากและลำบากเท่าใดนัก

มีเพียงช่วงสองสามเดือนมานี้ที่เงินเก็บและเครื่องประดับของเจ้านายของนางเริ่มจะร่อยหรอ อีกทั้งเจ้านายของนางยังล้มป่วยทำให้ความเป็นอยู่เริ่มขัดสน แต่แล้วเมื่อเช้านี้เจ้านายของนางก็สามารถหาทางออกได้อีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนว่าเจ้านายของนางไม่คิดจะรอคอยเพื่อขอความเมตตาจากท่านโหวอีกด้วย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 10 การหย่าร้าง

    ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 9 ลงทัณฑ์

    เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 8 เล่นงานคน

    ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 7 หมายปองชีวิต

    ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 6 ความเหน็ดเหนื่อยของท่านโหว

    อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 5 ผ้าปักสกุลเจียง

    เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 4 บำรุงร่างกาย

    ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 3 ชุ่ยเหมยสาวใช้ผู้ภักดี

    ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไขช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่าตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามี

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 2 ดูแลตนเองและลูก

    เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็ก

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status