ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ
“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง
“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา
“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น
“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไหมแกะสลักได้งดงามน่าซื้อเอาไปเก็บไว้ แล้วยังมีกลเก้าห่วงนั่นก็น่าสนใจ ตัวต่อเหล่านั้นฝึกเล่นเอาไว้ก็ดี” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางชี้ของในร้านให้เด็กทั้งสองแล้วจึงได้เอ่ยกับเถ้าแก่ในร้านด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ
“เถ้าแก่ส่งของทั้งหมดนั่นไปที่จวนนิ่งอันโหว ต้องจ่ายเท่าไหร่ก็บอกกับคนของข้าได้เลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้ดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองก็เปล่งประกาย โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาจนเขาหัวเราะแหะๆ ออกมาแล้วเอ่ยกับนางเพื่อให้ผู้อื่นได้ยิน
“ข้ารู้ว่าท่านอยากจะอบรมสั่งสอนไม่ให้คุณหนูและคุณชายเป็นคนฟุ้งเฟ้อจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่รู้ค่าของเงิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับคุณหนูและคุณชายก็เลยอยากจะมอบของขวัญแรกพบหน้า ขอนิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้ปฏิเสธไมตรีของข้าเลย” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่เม้มปากแน่น เขาจึงได้ขยับกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา
“พวกเขายังเด็กเจ้าก็อย่าได้เข้มงวดนักเลย”
“เรื่องบางอย่างควรจะปลูกฝังตั้งแต่เด็ก” โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำเสียงเบาแต่ก็เพียงพอให้ซ่งเหวินจิ้งได้ยินเขาจึงได้ยิ้มออกมา
“ได้ๆ ข้าไม่เถียงฮูหยินแล้ว เพียงแต่ข้าวของเหล่านี้ข้าสั่งซื้อไปแล้วก็ให้แล้วไปเถิดนะ ต่อไปคราวหน้าข้าจะไม่ทำเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของฮูหยินอีก” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางพยักพเยิดให้นางดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจของเด็กทั้งสอง โม่ชิงเยว่จึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วคิดได้ว่านางคงจะเข้มงวดกับบุตรชายและบุตรสาวจนเกินไป
“อย่าได้มีครั้งหน้าอีก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบพยักหน้าพลางตอบรับถ้อยคำของนางในทันที
“ได้ๆ ต่อไปเจ้าว่าอย่างไรข้าก็จะว่าอย่างนั้น” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งนั้นโม่ชิงเยว่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือเท่าใดนัก แต่เพราะไม่อยากจะโต้เถียงเขาต่อหน้าผู้อื่นนางจึงไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก หลังจากนั้นซ่งเหวินจิ้งก็ติดตามนางและลูกๆ เดินไปเลือกซื้อของอีกครู่หนึ่งแล้วจึงได้มาเอ่ยลากับนาง
“ข้าต้องไปทำงานให้องค์ชายรองแล้ว ช่วงนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนักขอนิ่งอันโหวฮูหยินได้โปรดระวังตัวด้วย” เมื่อเขาเอ่ยจบก็พาคนของเขาจากไปในทันที โม่ชิงเยว่จึงได้พาลูกๆ ของนางกลับจวน
เมื่อกลับถึงจวนนางจึงได้พบว่านอกจากของเล่นที่ซ่งเหวินจิ้งสั่งให้เถ้าแก่ร้านนำมาส่งแล้วยังมีเสื้อผ้าและของกินของใช้จากร้านที่นางและลูกๆ เข้าไปเดินเล่นในร้าน การที่เขาส่งข้าวของเหล่านี้มาให้แสดงให้เห็นว่าเขาได้ส่งคนติดตามนางและลูกๆ
“ทำอย่างไรกับข้าวของเหล่านี้ดีเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยถามเจ้านายอย่างทำอันใดไม่ถูก
“ช่างเถิด! ที่ควรนำไปเก็บก็นำไปเก็บเถิด ส่วนของที่กินได้ก็แจกจ่ายออกไปเถิด” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเดินไปที่ห้องทำบัญชีส่วนตัวของตนเอง
“ฮูหยินเจ้าคะ ยังมีสิ่งนี้ด้วยเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ่ยเอ่ยพลางยื่นโฉนดร้านค้าสามร้านให้โม่ชิงเยว่
“โฉนดร้านค้าบนถนนซางจื้อ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำออกมาเมื่อได้อ่านโฉนดที่ได้มาอย่างชัดเจน
“ถนนซางจื้อหรือเจ้าคะ ร้านค้าบนถนนสายนั้นมีราคาแพงมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ฮูหยินให้บ่าวไปสอบถามตั้งหลายครั้งแต่เพราะราคาสูงจนเกินไปพวกเราก็เลยพักเรื่องซื้อร้านค้าบนถนนสายนั้นไปก่อน คิดไม่ถึงว่ายามนี้เมื่อได้มากลับได้มาถึงสามร้าน” ชุ่ยเหมยเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา
“น่าเสียดายว่าสาเหตุที่ได้มาไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่ใจของข้าต้องการมากนัก” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางวางโฉนดลงไปบนโต๊ะ
“แล้วฮูหยินจะทำอย่างไรกับโฉนดร้านค้าเหล่านี้เล่าเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“ในเมื่อได้มาแล้วก็นำมาใช้เสียเถิด เอาไว้วันหน้าเมื่อข้าหาเงินได้ค่อยมอบเงินคืนให้เขาก็แล้วกัน ถึงอย่างไรยามนี้ข้าก็หลีกหนีการพึ่งพาจวนโหวแห่งนี้ไม่ได้ดังนั้นก็ใช้การพึ่งพานี้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าแล้วหลังจากนั้นสองนายบ่าวก็หารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรกับโฉนดร้านค้าที่ได้มา
ส่วนทางด้านซ่งเหวินจิ้งหลังจากที่แยกกับโม่ชิงเยว่มาแล้วเขาก็รีบย้อนกลับไปสมทบกับองค์ชายรองที่รอเขาอยู่ ยามที่องค์ชายรองได้ทอดพระเนตรเห็นซ่งเหวินจิ้งองค์ชายรองก็ทรงตรัสกับเขาด้วยพระสุรเสียงหยอกล้อในทันที
“ระมัดระวังแทบตาย แต่พอเดินผ่านมาเห็นว่าฮูหยินของเจ้าสบตากับเหยียนเซียวเนิ่นนานเกินไปหน่อยถึงกับละทิ้งหน้าที่รีบตามไปเฝ้านางด้วยตนเองเชียวหรือ”
“องค์ชายรองอย่าได้ทรงล้อกระหม่อมด้วยเรื่องนี้ หากอยากให้กระหม่อมทำงานให้ห้ามตรัสอะไรที่อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของฮูหยินของกระหม่อมโดยเด็ดขาด” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็ทรงส่ายพระพักตร์
“ตอนที่เสด็จพ่อทรงตรัสถามว่าผู้ใดยินดีที่จะแต่งกับบุตรสาวของแม่ทัพโม่ ข้าจำได้ว่านอกจากเจ้าแล้วก็ยังมีเหยียนเซียวผู้นี้ด้วยมิใช่หรือ ฮ่า ฮ่า เหวินจิ้งเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทรงอยากจะให้กระหม่อมสะสางจวนสกุลสุ่ยให้อีกหรือไม่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็รีบตรัสตอบในทันที
“แน่นอนว่าย่อมจะต้องสะสาง เหวินจิ้ง! จวนสกุลสุ่ยติดค้างเจ้าอยู่นะ หากไม่เพราะพวกเขาลักลอบไปตกลงเรื่องการแต่งสุ่ยอี้โหรวเข้าจวนลับหลังเจ้า คืนเข้าหอของเจ้าก็คงจะไม่จบลงด้วยการที่เจ้าต้องไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าตำหนักเจี้ยนคังของเสด็จพ่อเกือบทั้งคืนหรอก ดังนั้นเรื่องสะสางจวนสกุลสุ่ยหากข้าไม่ไหว้วานเจ้าก็คงจะสะสางด้วยตนเองอยู่แล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้นี้ซ่งเหวินจิ้งก็แค่นหัวเราะออกมาแล้วหันไปออกคำสั่งกับคนของตนในทันที
“สั่งการลงไป จวนสกุลสุ่ยกำเริบเสิบสานคิดวางยาทำร้ายท่านหญิงและฮูหยินของขุนนางในราชสำนัก พวกเจ้าจงไปปิดล้อมจวนสกุลสุ่ยค้นหาหลักฐานทั้งหมดแล้วนำมาให้ข้า ข้าจะได้นำหลักฐานทั้งหมดเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาท” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้คนของเขาก็แยกย้ายกันไปรวบรวมหลักฐานในทันทีก่อนหน้านี้พวกเขาส่งคนไปแทรกซึมอยู่ในจวนสกุลสุ่ยเอาไว้แล้วดังนั้นเรื่องการรวบรวมหลักฐานจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับพวกเขา
ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไ
แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเ
ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช
เสียงขยับไหว เสียงหอบหายใจและเสียงร้องครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในของรถม้า ทำให้เสี่ยวเหยาผู้เป็นสาวใช้ของสุ่ยอี้หรงวุ่นวายใจจนต้องเดินไปเดินมารอบๆ รถม้า ส่วนคนขับรถม้าและผู้ติดตามคนอื่นๆ ยามนี้ได้พากันถอยออกไปเพื่อเว้นระยะห่างจากรถม้าแล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ทุกสายตาที่จ้องมองมาที่รถม้ากลับเต็มไปด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้น ยามนี้เสี่ยวเหยาได้แต่คิดว่าเจ้านายของนางจะต้องถูกคนเล่นงานแล้วแน่ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แล้วแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดียามนี้นางจึงได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบๆ รถม้า เพื่อรอให้เจ้านายของนางได้สติกลับคืนมาเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ถูกควบขี่มาทางด้านนี้ทำให้เสี่ยวเหยารีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ยืนห่างออกไปให้รีบไปปิดทางเอาไว้ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา องครักษ์เหล่านั้นก็รีบไปดำเนินการตามคำสั่งของนางในทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใดทุกคนก็ต่างมีสีหน้าลนลานจนคนบนหลังม้ารีบเร่งรุดมายังจุดที่รถม้าที่จอดเอาไว้ในทันที“ฮูหยินเป็นอะไร เหตุใดจึงได้มาจอดรถม้าอยู่แถวนี้” คำถามของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวทำให้เสี่ยวเหยาตัวสั่นงันงกด้วยความหว
หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง“ท่านพ่
เมื่อสุ่ยฮูหยินเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทรุดลงไปเช่นนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่ายาคงจะออกฤทธิ์แล้ว เพียงแต่การที่พิษออกฤทธิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือว่าผลเสียต่อสกุลสุ่ยของนางกันแน่ นางจึงได้เอ่ยแก้ตัวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังแม้ว่าในใจจะสั่นไหวมากเพียงใดก็ตาม“นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ชาถ้วยนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอันใดส่วนสาเหตุที่ท่านสิ้นไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินต่อการออกมาข้างนอกจวนหรือเปล่า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่แสร้งลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา“ข้าหาใช่คนร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น สุ่ยฮูหยินเสียทีที่ข้าไว้ใจจึงได้ยินดีมาที่นี่ตามคำเชิญของท่าน คิดไม่ถึงว่าสกุลสุ่ยของพวกท่านจะข้างนอกสุกใสแต่ภายในเน่าเหม็น เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี๋เหนียงในจวนข้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจึงได้มีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะจวนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ต่ำตมเช่นนี้นี่เอง ชุ่ยเหมยเก็บชาถ้วยนั้นมาข้าจะนำไปให้กรมอาญาตรวจสอบ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สาวใช้ของสุ่ยฮูหยินก็รีบขัดขวางชุ่ยเหมยในทันที แต่กลับ
สายตาที่ปิดบังอารมณ์เอาไว้ไม่มิดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสังเกตสีหน้าของสุ่ยฮูหยินในทันที นางแอบเห็นว่าสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายของสุ่ยฮูหยินหายไปจึงได้หันไปส่งสายตาให้ชุ่ยเหมยซึ่งชุ่ยเหมยก็พยักหน้ารับเพื่อส่งสัญญาณว่านางรับรู้แล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันไปส่งมอบรอยยิ้มให้กับบรรดาสตรีที่อยู่ในบริเวณงาน สาวใช้ที่ติดตามติดตามนางมาต่างก็แยกย้ายกันไปมอบถุงหอมให้แก่บรรดาสตรีที่มาเป็นแขกภายในงาน ชุ่ยเหมยจึงใช้จังหวะที่เดินไปมอบถุงหอมเร้นกายไปยังทิศที่สาวใช้ข้างกายของสุ่ยฮูหยินเดินจากไป“ถุงหอมเหล่านี้ล้วนได้รับการปักลวดลายจากช่างปักที่มากฝีมือของสกุลเจียง ส่วนเครื่องหอมที่อยู่ด้านในเป็นเครื่องหอมที่ข้าลงมือปรุงเองกับมือ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้ของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาซึ่งบรรดาสตรีที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็ลังเลที่จะรับถุงหอมจากสาวใช้ของนางแต่เมื่อท่านหญิงเจียหลีรับเอาไปแล้วเอ่ยชื่นชมออกมาทำให้สตรีหลายคนรับเอาไว้ มีเพียงคนของสกุลสุ่ยและบรรดาที่สตรีที่สนิทสนมกับสกุลสุ่ยเพียงเท่านั้นที่ไม่กล้ารับถุงหอมเอาไว้ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ลอบยิ้มออกมา ด้วยนาง
จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของ
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข